สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังปาดน้ำตาและฟังคนรับใช้รายงานถึงสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ด้านนอก นางเพียงเสียใจที่ตนไม่ใช่สามัญชนธรรมดาคนหนึ่งและไม่สามารถออกไปร่วมสนุกได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวที่นักเล่าเรื่องเล่านั้นคนรับใช้ได้กลับมาเล่าให้ฟัง ทำเอานางก็สะเทือนใจอย่างลึกซึ้งเพียงแต่ว่าเหตุผลที่นางร้องไห้ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นและความสุขข้างนอก แต่เป็นเพราะได้ยินว่าซ่งซีซีขังตัวเองอยู่ในห้องหลังจากที่นางกลับมาและไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบาย การกลับมาพบกันอีกครั้งไม่มีนาง เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของนางไม่ได้เสียชีวิตในสงครามครั้งเดียวกันกับพวกเขา"มานี่!" สนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกสะใภ้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อคารวะนาง และโบกมือให้นาง "มานั่งข้างๆ เสด็จแม่สิ"ซ่งซีซียืนขึ้นและเดินไปข้างหน้านาง แต่กลับถูกสนมฮุ่ยไทเฟยลากเข้าไปในอ้อมแขนของนางสนมฮุ่ยไทเฟยนั่งอยู่ นางดึงไปแบบนั้นทำให้ซ่งซีซีต้องคุกเข่าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นร่างก็ถูกกิดแน่น และเสียงของแม่สามีก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ "เจ้าสามารถเห็นข้าเป็นท่านแม่ของเจ้าไปตลอด เป็นญาติเจ้า
จวนองค์หญิงเซียนหนิงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ตระกูลขุนนางมารวมตัวกันมากที่สุดในเมืองหลวง ผู้คนเรียกสถานนี้ว่าถนนแห่งอำนาจ และอยู่ห่างจากถนนอวี่เจียเพียงสามสี่ลี้ยิ่งกว่านั้น จวนองค์หญิงและจวนเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก และเดินไปก็ไม่นาน แน่นอนว่าไทเฟยไม่ต้องการเดินอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไปที่นั่นด้วเกี้ยวมีคนประจำอยู่ในจวนองค์หญิงแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ไทเฮามอบให้ทำหน้าที่ทำความสะอาดและจัดการสวน ไม้กระถาง ดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกได้โดยตรงมีไม่น้อยแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเซียนหนิงถือว่าไม่เลวเลย คฤหาสน์มีขนาดใหญ่มาก อาคารในลานหน้าดูหรูหรามาก และเรือนลานหลังก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสว่างไสวมีการขุดทะเลสาบในสวน โดยมีศาลา หินภูเขาและสะพาน มีน้ำไหลเชี่ยว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เย็นชาและแข็งกระด้างอย่างกับอาคารต่างๆ ในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์เหือนภาคใต้มากกว่าเรือนของเซียนหนิง ตั้งชื่อว่าเรือนฝูเฟิงซึ่งเป็นชื่อที่ดี เพราะฉายาของฉีลิ่วคือเฟิง ฝูเฟิง แปลว่าสามีและภรรยาที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ฝูมีความหมายช่วยเหลือกัน)พอเดินเข้าไปก็เห็นว่า
หลังจากความครึกครื้นข้างนอกหยุดลง นอกจากชายหนุ่นจากซูโจวสองคนนั้น คนอื่นๆ ก็กลับบ้านของตนเองไปหมด ส่วนหวังเอ๋อและหวังหวู่ อาจารย์หยูพาพวกเขาไปพักที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพักชั่วคราว รอพรุ่งนี้ฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าพอเจ้าสิบเอ็ดฝางก้าวเข้าไปในตระกูลฝาง น้ำตาของนางลู่ก็ไม่หยุดไหล กอดลูกพลางร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบจะเป็นลมอีกครั้งทุกคนร้องไห้ในขณะเดียวกันก็ชักชวน และในที่สุดก็ช่วยพยุงนางลู่ให้นั่งดีๆ เพื่อให้ทุกคนพูดคุยกันได้ดีๆตระกูลฝางเหลือบุรุษไม่มากแล้ว ทั้งสามบ้านได้สละชีวิตคนไปไม่น้อย การกลับมาของเจ้าสิบเอ็ดฝางเป็นการปลอบใจทุกคนในครอบครัวฝางเขาคำนับผู้ใหญ่ในบ้านทีละคน ผู้เฒ่ามีอายุสูงสุดคือคนท่านผู้เฒ่าจากบ้านสาม เขาร้องไห้ และทุกคนก็หลั่งน้ำตาไปพร้อมกับเขาได้ถามถึงสถานการณ์คร่าวๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝางฮูหยินพาลูกกลับห้องเพื่อพูดคุยกันต่อ มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้าสิบเอ็ดให้ชัดเจนหลังจากที่นางลู่กลับถึงห้อง นางให้คนข้างๆ ออกไปหมด มองดูบุตรชายก็ยังคงรู้สึกไม่จริงอยู่นางถอนหายใจยาวๆ "เรื่องภรรยาของเจ้า ท่านพี่ของเจ้าน่าจะได้บอกเจ้าที่เขตหนานเจียงมาก่อน แต่แม
วันรุ่งขึ้น กู้ชิงหลานและสาวใช้มาคืนม้าถึงที่และยังมอบรางวัลให้ด้วย หัวหน้าลู่ได้พบกับพวกนาง พวกนางรออยู่พักหนึ่งแต่ไม่เห็นซ่งซีซี จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปตอนที่จากไปนั้นก็เจอกับเสิ่นว่านจือพอดี เสิ่นว่านจือกล่าวกับกู้ชิงหลานอย่างเป็นมิตร "คุณหนูหลินมาคืนม้าหรือ ช่วงนี้ที่จวนอ๋องค่อนข้างยุ่ง ไว้หาเวลาว่างๆ ค่อยคุยกับเจ้า และหารือเรื่องศิลปะการต่อสู้ด้วย"กู้ชิงหลานคารวะ "ขอบคุณคุณหนูเสิ่นที่ไม่รังเกียจข้า อีกสักพักข้าจะหาเวลากลับมาเยี่ยมใหม่เจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือยิ้มพลางยกมือขึ้น "เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าก็ยุ่งเหมือนกัน"เซียงกุ้ยและกู้ชิงหลานจากไปแล้วขึ้นรถม้า เซียงกุ้ยพึมพำ "ทำไมต้องอ้อมแบบนี้ด้วยล่ะ วันนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องไม่พบเจ้า แต่คุณหนูเสิ่นดูค่อนข้างกระตือรือร้น ข้าว่าเจ้าควรเริ่มจากนางก่อน จากนั้นก็สามารถเข้าออกจวนอ๋องอย่างตามอำเภอใจ งั้นก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จ"นี่ต้องอ้อมไปอ้อมมา ทำให้เซียงกุ้ยไม่พอใจมาก และพูดอย่างใจเย็น "แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะไม่เชื่อฟัง แต่นางก็ทำอะไรอย่างเด็ดขาด ทว่าดูเจ้าสิทำอะไรได้ช้ามาก เจ้ายังจะให้แม่ของเจ้าออกมาหรือไม่"กู้ชิงหลานพูดขอ
ในวันที่แปดของเดือนสิงหาคม เซียนหนิงได้ออกเรือนการที่องค์หญิงออกเรือนแตกต่างจากสตรีตระกูลชั้นสูงทั่วไป เซียนหนิงและสนมฮุ่ยไทเฟยได้กลับวังในคืนก่อนวันแต่งงาน ส่วนซ่งซีซีก็ติดตามไปด้วยเช่นกันองค์หญิงฮุ่ยเจิงและองค์หญิงหมิ่นชิงคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน โดยพยายามบรรเทาความเครียดเรื่องการแต่งงานของน้องเซียนหนิง และยังสอนเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีเข้ากับฝู้หม่าและครอบครัวของฝู้หม่าอีกด้วยองค์หญิงฮุ่ยเจิงกล่าวว่า "ตระกูลฉีและตระกูลเหยียนเป็นตระกูลนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นซางของเรา เป็นพวกนักวิชาการ มองจากภายนอกจะมีความสามัคคีกันมาก แต่มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ถ้าพูดถึงกฎเกณฑ์มันจะมีอำนาจเหนือกว่าในวังหรือ อีกอย่างเจ้าเป็นองค์หญิง มีจวนของตนเอง ไม่ต้องคอยระวังสีหน้าและคำพูดของพวกเขา แม้ว่าแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าเป็นคนใจดีทีเดียว พ่อสามีเจ้าเหมือนกับเด็ก ตราบใดที่เจ้าอยากกลับไปพักอาศัยที่ตระกูลฉีสักพักก็ได้ ไม่มีใครขัดขวางเจ้า"เซียนหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี พ่อสามีของนางได้รับบาดเจ็บที่สมองเมื่อเขาอายุแปดเก้าขวบ แม่สามีของนางรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่รังเกียจที่เขาเป็นคนโง่เลยแต่งงานกับ
ในวันแต่งงานของเซียนหนิง ตระกูลฉีคึกคักเป็นพิเศษสินเดิมทั้งหมดถูกส่งไปยังจวนองค์หญิงตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว แต่พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่ตระกูลฉี และงานเลี้ยงก็จัดขึ้นที่ตระกูลฉีด้วยขนาดเกณฑ์ประตูของตระกูลฉีก็จะถูกแขกเข้าๆ ออกๆ เหยียบจนจะพังแล้วก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลฉี ได้อนุญาติให้กู้ชิงหลานกลับมาครั้งหนึ่งหลินเฟิ้งเอ๋อยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของจวนองค์หญิง ข้างในคุกใต้ดินมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ละวันจะเปิดประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อกระจายกลิ่น โดยบอกว่ามันเป็นเพราะความเมตตาขององค์หญิงใหญ่ถึงยอมปฏิบัติต่อพวกนางอย่างกรุณาคือพวกนางที่นี่ไม่เพียงแต่หลินเฟิ้งเอ๋อเท่านั้น แต่ยังมีอนุภรรยาและคนรับใช้ที่เคยทำผิดอีกหลายคนด้วยเมื่อคนรับใช้เข้าไปที่นี่แล้วก็จะไม่สามารถออกไปได้อีกกลิ่นคาวนี้ก็คือกลิ่นคาวเลือดพอกู้ชิงหลานเข้าไปในนี้ก็รู้สึกคลื่นไส้และไม่สบายตัวอย่างมากแต่นางต้องอดทนเอาไว้แล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องขังที่ท่านแม่ถูกควบคุมตัวห้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคั่นด้วยแท่งเหล็ก แต่ด้วยกำแพงเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นหน้ากันเลย มีประตูบานหนึ่ง ข้างล่างประตูมีช่องเล็ก
ในงานเลี้ยงงานแต่งงานของตระกูลฉี แขกที่มาร่วมงานก็ครึกครื้นมากเพื่อสร้างหน้าสร้างตาให้บ้านสาม ผู้นำตระกูลฉี ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้ากรมกระทรวงขุนนาง ท่านพ่อของหวงโฮ่วใต้เท้าฉีได้เชิญชวนขุนนางและตระกูลใหญ่โตต่างๆ ในเมืองหลวงทั้งหมดมาร่วมงานหมดรวมถึงจวนแม่ทัพด้วยแม้ว่าจวนแม่ทัพจะเป็นตระกูลที่ตกอับ แต่บรรพบุรุษของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่มา ไม่เช่นนั้นจะมีจวนแม่ทัพหลังนี้ได้อย่างไรเจ้ากรมฉีไม่เพียงแต่เป็นขุนนางผู้สำคัญในราชสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นพ่อตาฮ่องเต้ด้วย แน่นอนว่าเมื่อต่อหน้าคนนอกเขาต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันตระกูลฝางก็ได้รับเชิญเช่นกันในวันที่สามหลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา พระราชโองการก็ส่งถึงทุกคนในกลุ่มสายลับชีซื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางได้รับยศเป็นแม่ทัพชั้นสาม ฉีฟางได้รับยศแม่ทัพชั้นสี่ ส่วนจางเลี่ยเหวินแห่งโหวเซวียนผิงได้รับยศเป็นป๋อติ้งหยวน และหลี่จิ้ง ภรรยาของเขาได้รับยศซูเหรินชั้นสามการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นพิเศษ เป็นเพราะจางเลี่ยเหวินเป็นผู้นำของกลุ่มชีซื่อ หลังจากที่เขาถูกจับและถูกทรมานอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้นเลย ยอมอดทนไว้จักรพรรดิ์ซ
"คุณหนูสาม!" จินซิ่ว เด็กสาวที่อยู่ข้างกายนางจีถามนางว่า "ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ"หวังชิงหลูเบือนหน้าไปทางอื่น มีสีหน้าซีดเซียว และพึมพำ "ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพระดับชั้นสามแล้ว""คุณหนูสามพูดถึงใครหรือ เรื่องของคนอื่นอย่าไปพูดถึงจะดีกว่า" จินซิ่วอยู่ข้างกายนางจีมาหลายปีแล้วและเป็นคนทำงานเก่งสุดของนางจี ย่อมรู้ว่านางกำลังพูดถึงใคร ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือนหวังชิงหลูกลับฟังไม่ออกคำเตือนของจินซิ่วเลย "ก่อนที่ท่านพี่ไปเขตหนานเจียง ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพประจำพื้นที่ แม่ทัพประจำพื้นที่คือผู้นำต้องไปเฝ้าพื้นที่แห่งไหนแห่งหนึ่ง เขาจะถูกย้ายไปเฝ้าที่ไหนอีก?"จินซิ่วพูดอย่างจริงจัง "คุณหนูสาม คนที่ท่านควรกังวลคือท่านเขยนะเจ้าค่ะ ท่านเขยก็มาด้วยในวันนี้""มันให้รางวัลตามกฏอะไร?" หวังชิงหลูดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของจินซิ่ว และรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจเท่านั้น "สามีสามีของหลี่จิ้งกลับได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ หลี่จิ้งก็ได้รับยศด้วย และเขาได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพระดับชั้นสาม นี่มันผลงานใหญ่ขนาดไหนกัน ก็แค่ส่งข่าวกรองเฉยๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมล่ะ แล้วพวกทหารแม่ทัพที่ออกศึกไปสู้กับศัตรูนั้นจ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง