เขาเคยไปรอรับโดยไม่ได้ปริปากบ่นอะไรสักคำอยู่แล้ว เพราะระหว่างรอก็ดูพอร์ตหุ้นบ้าง ศึกษาตลาดหุ้นใหม่ ๆ บ้าง เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่น่าเบื่ออะไรเลย
แต่ที่ทำให้เขาสงสัยมากจนกังวล ก็เพราะเธอกลับถึงบ้านดึกมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอถามก็บอกแต่ว่ามีรายงานต้องทำกับเพื่อน ๆ เยอะ แต่เขาไม่อยากจะเชื่อ เพราะที่สังเกตเห็นคือนอกจากกลับบ้านดึกแล้ว เธอยังออกไปจากบ้านแต่เช้าตรู่ทุกวันอีกด้วย
ที่แปลกกว่านั้นเขากลับเห็นความอิดโรยอ่อนล้าจากตัวเธอ และเห็นความสะใจจากแววตาของพรพิมลในบางครั้งที่ได้คุยกัน.. ด้วยความสงสัยใคร่รู้ วันนี้จึงคิดที่จะแอบตามไปดูให้เห็นกับตา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสาวน้อยของเขากันแน่ แต่มารดาของเขาก็มาขัดจังหวะไว้อีก
“คุณแม่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ เรื่องเงินหรือว่าเจ้าหลานตัวดีมันไปทำเรื่องอะไรมาอีก” เขาไม่รอให้มารดาเอ่ยปากก่อน เพราะรอมาหลายวันแล้วแต่ท่านก็ไม่เอ่ยถึงสักที
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะลูก หรือว่าลูกรำคาญแม่จ๊ะ” มาดามหยางทำหน้าเศร้าถามลูกชาย
“ผมไม่กล้าหรอกครับคุณแม่ แต่ผมก็แค่แปลกใจ เพราะปกติคุณแม่คิด
“อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “เธอชื่อหยินครับคุณยาย คราวหน้าก็เรียกชื่อเธอก็ได้นะครับ” แล้วหันไปมองหญิงสาวและส่งยิ้มให้กำลังใจ “คุณหยินตอบคุณยายผมหน่อยสิครับ ท่านอยากรู้เรื่องของคุณเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”“หนูทานมาจากที่บ้านแล้วค่ะมาดาม” ปันหยีตอบคำถามของมารดาคนรัก“กินมื้อไหนมาล่ะ นี่มันเที่ยงแล้วนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูกลับไปทานที่บ้านก็ได้ วันนี้หนูขอกลับเร็วหน่อยนะคะมาดาม”“จะรีบกลับไปไหนล่ะ”“คือ..” เธอควรจะพูดอย่างไรดีเพื่อไม่ให้ท่านไม่พอใจ“ทำไม เขาจะพาเธอไปออกงานที่ไหนอีกล่ะ” เธอไม่กล้าตอบเพราะกลัวนางโกรธหรืออย่างไร นางน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ“ค่ะมาดาม คุณหยางอี้จะให้หนูไปงานเลี้ยงของท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกับเขาค่ะ” ปิดไปก็ใช่ว่าจะปิดได้มิด จึงตัดสินใจบอกความจริงกับท่านไป จะโกรธหรือไม่พอใจก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน“งานใหญ่ซะด้วยสิ เธอนี่วาสนาดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอกับลูกชายของฉัน”
“ไม่ต้องมาประชดใส่ยายเลยนะ เรามาคุยเรื่องที่ค้างกันไว้ต่อดีกว่า” นางเริ่มเล่าเรื่องของพรพิมลต่อจากที่ค้างเอาไว้ “...เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละไทเลอร์ ตอนนี้ยายจึงรู้สึกตงิด ๆ ใจกับหนูบีเขายังไงก็ไม่รู้”ไทเลอร์รู้สึกเห็นใจผู้เป็นยายอยู่บ้างที่ต้องผิดหวัง แต่ถ้าเขาไม่บอกเรื่องที่รู้มาให้ท่านฟัง ท่านก็คงจะงมงายกับผู้หญิงที่มีค่าแค่พลอย และกำจัดเพชรเม็ดงามทิ้งเพราะคิดว่าเป็นแค่กรวดทราย เขาหยิบชาขมที่เหลืออยู่เกือบ ๆ ครึ่งแก้วมาดื่มรวดเดียวจนหมด“คุณยายฟังผมนะครับ” เขาจับมือของท่านมากุมไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดไปจากทุกครั้ง “คุณบีไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ แสนดีอย่างที่คุณยายเห็นหรอกนะครับ ผมไม่ได้พูดเพราะใส่ร้ายเธอนะครับ แต่ผมพูดเพราะผมมีหลักฐานที่เชื่อถือได้”เขาตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังตั้งแต่วันที่พาเธอไปดื่มด้วยกัน แล้วหยิบโทรศัพท์เปิดภาพที่อดีตคู่ขาของอลันถ่ายได้จากคอนโดเมื่อวานนี้ให้ดู“คืนนั้นเธอออกไปกับอลันครับคุณยาย พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งคืนทั้งวัน และผมก็คิดว่ามันจบแค
แม้แต่ตอนบ่นเธอก็ยังบ่นได้อย่างน่ารักและน้ำเสียงนุ่มนวล น้าอี้โชคดีจริง ๆ “แต่เหล้ามันอร่อยกว่านี้นะครับ”“เหล้ามีแต่โทษ ส่วนชาถ้วยนี้มีประโยชน์ คุณไทเลอร์ต้องดื่มค่ะ”แม้เธอจะอ่อนโยน แต่ก็มีความเผด็จการอยู่ไม่น้อย ช่างสมกับน้าอี้จริง ๆ “ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะครับคุณหยิน ผมโตแล้วนะครับ”“ถึงโตแล้วคุณไทเลอร์ก็คือหลานชายที่คุณหยางอี้รักมากอยู่ดี ดังนั้นหยินจะต้องดูแลคุณไทเลอร์ให้ดีที่สุดเพื่อให้คุณหยางอี้สบายใจค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแต่อ่อนโยน “ระหว่างที่หยินไปทำข้าวต้มให้ คุณไทเลอร์ต้องดื่มชาให้หมดนะ”“ครับ” ไทเลอร์รับคำอย่างว่าง่าย ยอมจำนนต่อคำพูดสุดซาบซึ้งของเธอ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อน้าอี้เบคกี้หยางเดินออกจากมุมที่ยืนแอบฟังการสนทนาของปันหยีกับหลานชายหัวแก้วหัวแหวน แล้วเดินไปที่โซฟารับแขก“เป็นอะไร” นางทำเหมือนเพิ่งเดินเข้ามา นั่งลงแล้วเอ่ยถามหลานชายที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางขมขื่น“เมาค้างครับคุณยาย”“
ณ สถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่ง ไทเลอร์เดินเข้าไปด้านในแล้วกวาดสายตามองหากลุ่มเพื่อน ๆ เท้าที่ยืนนิ่งเริ่มก้าวไปข้างหน้าเมื่อมองเห็นพวกเขาทั้งสามแล้ว“ทำไมมาช้าจัง” ไคถามเพื่อนที่เพิ่งมาถึง“ติดธุระนิดหน่อย อลันยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”“มันรับปากนายว่าจะมาเหรอ” ลีออนถามอย่างสงสัย“มันไม่ได้รับปากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ”“ฉันคิดว่ามันคงไม่มาหรอก ก่อนที่จะมานี่ ฉันโทรไปหามัน มันบอกว่ามาไม่ได้เพราะอยู่กับสาว แต่ถ้ามาได้ก็จะมา”คำตอบของเพื่อนพานทำให้ไทเลอร์นึกถึงพรพิมลทันทีวันนี้เขากลับไปที่บ้านแต่ไม่เจอเธออยู่ที่นั่น และก่อนจะมาที่นี่เขาก็รับอาสาขับรถพาคนรักของน้าไปส่งที่คอนโด ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกันเขาก็แกล้งถามถึงเธอ จึงได้คำตอบว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับบ้าน ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเธอก็ไม่ได้กลับ.. หรือว่าเพื่อนรักกับผู้หญิงคนนั้น.. แต่เขาบอกว่าไม่ได้เจอกับเธออีกเลยตั้งแต่คืนนั้นนี่นา.. หรือว่าเขาโกหก“พวกนายจำคุณบีได้ไหม” ความสงสัยทำให้เขาเอ่ยปากถาม“ทำไมจ
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่พรพิมลพยายามจะหลบหน้าไทเลอร์ ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว.. นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากไปดื่มที่ผับด้วยกันในคืนนั้นเธอมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธเมื่อถูกเบคกี้หยางชวนให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน และจะต้องแน่ใจก่อนทุกครั้งว่าหลานชายของท่านไม่ได้อยู่ที่บ้านจึงจะยอมแวะไปหาแต่ปัญหาที่หนักกว่าการหลบหน้าไทเลอร์ก็คือเรื่องของอลัน เพราะฝ่ายนั้นไม่รู้จะหลงใหลได้ปลื้มอะไรกับเธอนักหนา จึงโทรมาพร่ำคำคิดถึงและขอพบได้ทุกวัน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ไทเลอร์รู้“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ว่างจะรับโทรศัพท์ของนายได้ตลอดเวลา แล้วก็ออกมาหาบ่อย ๆ แบบนี้ไม่ได้ด้วย” เธอบอกกับเขาหลังจากจบเกมรักในอ่างอาบน้ำ และกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่“บ่อยที่ไหนกันครับบี คุณเพิ่งจะออกมาพบผมแค่สองครั้งเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะพบคุณทุกวัน” เถ้าบุหรี่ในมือของชายหนุ่มถูกดีดลงบนที่เขี่ย“สองครั้งที่นายว่าคือครั้งละมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ใช่แค่หนึ่งคืนหรือหนึ่งวันเท่านั้น นายทำให้
คำแก้ตัวของหญิงสาวที่ตัวเองไม่ค่อยชอบขี้หน้า เพราะมีตัวเทียบที่คิดว่าดีกว่า ทำให้เบคกี้หยางมองเธอแปลกไปจากเดิม เพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะยืดอกยอมรับแบบนี้“มาดามอาจจะคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงใจง่าย หรืออาจจะคิดว่าหนูหวังรวยทางลัด หรืออยากเป็นหนูตกถังข้าวสารก็แล้วแต่มาดามจะคิดเลยค่ะ หนูจะยอมทนความรู้สึกดูถูกเหล่านั้นอย่างเต็มใจ แต่ได้โปรดอย่ามองคุณหยางอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะหนูจะไม่ทน”“คิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้อย่างเต็มใจอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้กระด้างเหมือนตอนแรก แต่ก็ยังฟังดูเย็นชา“หนูไม่คิดหรอกค่ะมาดาม หนูคิดมาตลอดว่าหนูไม่มีค่าคู่ควรกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณหยางอี้ แต่ถึงหนูจะคิดแบบนั้น หนูก็ไม่เจียมตัวหรอกค่ะ เพราะหนูรักเขา รักมาก ดังนั้นหนูจึงตั้งใจเรียนให้หนักที่สุดเพื่อถีบตัวเองให้ดูมีค่าขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ คนอื่นจะได้มองว่าหนูก็มีดี แต่ก็คงไม่ใช่สำหรับมาดาม ดังนั้นหนูจะยอมทนทุกอย่าง ทนจนกว่ามาดามจะยอมรับหนูเป็นลูกสะใภ้”ไม่ต้องอดไม่ต้องทนมันต่อไปแล้ว เปิดอกพูดกันไปเลยดีกว่