เสียงปรบมือทำให้งงไปหมด นี่พวกเขากำลังชมว่าฉันเต้นเก่งหรอ? หรือคนเหล่านี้ถูกหลิวหลงถิงและเฟิ้งฉีเทียนซื้อมา อย่าบอกนะว่าพวกเขากลัวฉันจะอายและเสียศักดิ์ศรี เลยซื้อใจทุกคนให้ช่วยปรบมือเพื่อฉัน?อาจารย์หลายคนลุกขึ้นจากเวทีมาหาฉัน และขอให้นักเรียนด้านหลังรอครู่หนึ่ง ฉันเอาหน้ากากผีตุนโข่วทั้งห้าออกจากหน้า แล้วพูดสิ่งดี ๆ กับครู จากนั้นครูก็ชมเกี่ยวกับการร่ายรำของฉันว่านั่นวิเศษมากจริง ๆ ด้วยลักษณะพิเศษที่เป็นที่รู้จัก และเนื้อหามากมายเช่นนี้ อีกฝ่ายจึงถามฉันว่าการร่ายรำนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร?ครูเหล่านี้เป็นครูสอนเต้นที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยของเรา เมื่อพวกเขาถามฉันแบบนี้ ฉันก็รู้สึกประหม่าทันที คงพูดไม่ได้ว่านี่เป็นการร่ายรำของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรอก! ร่างบางนิ่งคิดพลันกล่าวอย่างเขิลอายว่า “เทพเจ้าร่ายรำ”“เทพเจ้าร่ายรำ? เธอมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเหรอ?” ครูหนุ่มที่ดูเหมือนอายุยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ดถามฉัน และฉันพยักหน้าให้เขา “ฉันด้วย เธออยู่ที่ไหนของตะวันออกเฉียงเหนือเหรอ?”ฉันบอกครูผู้ชายถึงที่ตั้งของบ้านเกิด ไม่นานครูผู้ชายก็หัวเราะกับครูผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ
ของจากครูเว่ยฉงเหรอ? ครูที่เป็นคนบ้านเดียวกันกับฉันเมื่อคืนวานใช่ไหม? ฉันมองดูช่อกุหลาบที่แดงในมือเพื่อนนักเรียนหญิง กุหลาบนี้ไม่ใช่ไว้สำหรับส่งให้คู่รักเหรอ? แม้ว่าครูเว่ยฉงจะชอบการร่ายรำของฉันเมื่อคืนนี้ เขาก็ไม่น่าจะตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกพบ นอกจากนี้เพื่อนนักเรียนและครูในมหาวิทยาลัยต้องรักษาระยะห่างไว้พอสมควร ทำอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้ ไม่กลัวถูกนินทาหรือไง?ฉันหาข้ออ้างเพื่อบอกนักเรียนหญิงในชั้นเรียนไม่กี่คนไปว่าดอกไม้ไม่ใช่ของฉัน บอกพวกเขาอย่าคิดมาก เมื่อได้ยินที่ฉันบอก พวกเธอดันขยิบตาใส่ฉันและบอกว่าไม่เชื่อ พร้อมเอ่ยว่าเงื่อนไขของครูเว่ยไม่เลวเลยนะ แถมยังบอกให้ฉันตามครูเว่ยฉงไป ไม่อย่างนั้นก็โยนสิทธิ์นั้นให้พวกเธอแทนฉันเหลือบมองพวกเธอและบอกว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระ แต่ดูจากหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเหล่านั้น คาดว่าพวกเขาคงเอาเรื่องนี้มาจากเหยาน่าและคนอื่น ๆ ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ยังทำตัวปกติ ไม่มีใครสูญเสียความหมายของการมีชีวิตอยู่เพียงเพราะมีคนจากไปหลังจากเสียงกริ่งของชั้นเรียนดังขึ้น ครูขอให้เราสร้างโมเดลเอนิเมชั่นด้วยตัวเอง และหลังจากมอบหมายงานให้เรา เธอก็ออกไป ตอนนี้พวกเราก็
ผิวขาว ใบหน้างดงาม สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันนึกถึงหลิวหลงถิงในทันที ในใจคิดอยู่ว่า คงจะไม่ใช่ว่าเมื่อตอนยี่สิบปีก่อนที่หลิวหลงถิงเป็นคนนำภรรยาของเขามาให้แม่ฉันกิน เพื่อให้แม่รักษาฉันไว้ไม่ให้ฉันตายหรอกนะ!แต่ว่าเมื่อลองครุ่นคิดดูก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพื่อที่จะยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าคนคนนี้เป็นใคร ฉันจึงบอกให้แม่ของฉันเล่ารายละเอียดให้ละเอียดกว่านี้อีกทีแม่ฉันนึกอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกกับฉัน “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เกือบลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่เขาดูดีสวมชุดสีขาว ตอนนั้นที่แม่กับพ่อของลูกเห็นเขา ยังนึกว่าเขาเป็นเทพที่สวรรค์ส่งลงมาช่วยเหลือลูก ทว่าหลังจากครั้งนั้น ก็ไม่เคยพบเห็นอีกเลย เขาสูงประมาณร้อยแปดสิบกว่า ๆ ส่วนดวงตา...”ฉันเห็นว่าแม่เริ่มพูดไม่รู้เรื่อง จึงรีบบอกกับแม่ “ถ้าอย่างนั้นแม่รอฉันครู่เดียว ฉันจะส่งรูปให้แม่ช่วยดูว่าเป็นคนนี้ใช่หรือเปล่า”ตอนที่คุยเสร็จ ก็วางสาย พลันค้นหารูปภาพที่เคยถ่ายกับหลิวหลงถิงไว้ก่อนหน้าในมือถือ จากนั้นก็ส่งไปให้แม่หลังจากแม่ได้ดูรูปภาพของฉัน รอประมาณสองสามนาที แม่จึงโทรศัพท์มาแล้วบอกกับฉัน “จิ้งจิ้ง คนที่อยู่ในรูปคือใคร? ผู้ชายคนนี้กับผู้มีพระคุณ
ตอนที่หลิวหลงถิงเขาพูดเรื่องนี้กับฉัน เขาโกรธจนถึงขีดสุดและไม่ให้เวลาฉันได้พูดเลยด้วยซ้ำ เขาใช้มือจับคอเสื้อฉันแล้วผลักร่างลงไปที่โซฟา มือหนาบีบแก้มฉันจนรู้สึกเจ็บ ใบหน้าดุร้ายแนบ อยู่ข้างใบหูของฉัน พลันบอกกับฉันด้วยความโหดเหี้ยม “ก่อนหน้านี้เธอก็รังเกียจที่ฉันสกปรกไม่คู่ควรกับเธอไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันจะแสดงให้เธอเห็นว่า ความทุกข์ทรมานที่ถูกสิ่งที่สกปรกพัวพันแบบตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง!”เสื้อคลุมบนตัวของฉันถูกหลิวหลงถิงถอดออก เขาอุ้มฉันเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่พูดไม่จา ก่อนวางฉันลงที่แท่นอ่างลางมือที่มีกระจกใบใหญ่ในห้องน้ำ เขาพูดอย่างเอาแต่ใจแล้วก็เริ่มจูบฉัน จากนั้นใช้มือออกแรงกดให้ฉันอยู่บนแท่น ประคองใบหน้าฉันให้จ้องมองเขาในกระจก... “เป็นยังไง? ถ้าหากจากนี้เธอนึกถึงที่ฉันเหยียดหยามเธอขนาดนี้ เธอคงจะอยากแทงฉันให้ตายเลยใช่ไหม?” หลิวหลงถิงแสยะยิ้มให้ฉันในกระจก และยังบังคับให้ฉันมองเขาในกระจกอยู่ตลอดอันที่จริง ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหลิงหลงถิงพูดเรื่องอะไร? เหมือนว่าเขาบอกรักฉัน แต่เหมือนฉันดูถูกเขา ดังนั้นเขาเลยมาแก้แค้นฉัน แต่ฉันรู้จักเขาครั้งแรกเมื่ออายุได้แปดขวบ ตอนอายุแปด
“ถ้าอย่างนั้นสามีในชาติก่อนของฉันคือใคร?” ฉันถามหลิวหลงถิงหลิวหลงถิงดูเหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ว่าฉันก็ถามอีกครั้ง เขาเอียงศีรษะบอกกับฉันอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย “ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ในชาตินี้เป็นได้แค่ฉันเท่านั้น ในเมื่อเธอบอกว่ารักฉันแล้ว ฉันจะไม่อนุญาตให้เธอถามเรื่องในอดีตอีก ได้ยินไหม?”หลิวหลงถิงนี่ก็จริง ๆ เลย เขาพูดเยอะขนาดนี้แล้ว ฉันจะขอถามอีกหน่อยก็ไม่ได้ ทว่าตอนนี้ก็ถือว่ายืนยันความสัมพันธ์กับเขาอย่างเป็นทางการ และฉันตอบรับเขาไปแล้วว่าจะไม่ถามเรื่องในอดีตอีกพอได้ยินฉันพูด หลิวหลงถิงจึงเริ่มปฏิบัติต่อฉันอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยคำรักหวานชวนขนลุกข้างหูฉัน ถามฉันว่าชอบเขาตรงไหน?การชอบคนคนหนึ่งจะต้องบอกเหตุผลอย่างชัดเจนด้วยเหรอว่าชอบเขาตรงไหน? ฉันจึงบอกว่าฉันไม่รู้ ฉันชอบทั้งหมดของร่างกายเขา“ในเมื่อเธอชอบทุกส่วนของฉัน ถ้าอย่างนั้นก็สัมผัสหน่อยสิ ทำให้ฉันรู้ว่าเธอรักทุกส่วนของร่างกายฉันจริง ๆ” ตอนที่หลิวหลงถิงพูด เขาก็ค่อย ๆ ปลดกระดุมชุดนอนทีละเม็ด เขาสอนวิธีให้ฉันพิชิตเขาเวลาเช้าตรู่ นอกหน้าต่างมีแสงแดดจากดวงตะวันที่พึ่งสาดส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ภายในห้องสว่างจ้าหลิ
ฟ่านเหม่ยฉีสามารถมองออกว่าฉันกำลังขับไล่สิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นเหรอ?ฉันประหลาดใจเล็กน้อย พลางมองฟ่านเหม่ยฉีอย่างประเมิน แล้วถามเธอว่ามองเห็นได้ยังไง?ฟ่านเหม่ยฉีไม่เข้าใจความหมายของคำพูดฉันในทันที เธอมองฉันอย่างฉงนพลางกล่าว “ก็ใช้ตามองไงคะ ในวิทยาเขตใหม่มีวิญญาณอยู่มากมาย พอถึงตอนเย็น พวกมันก็จะออกมาจากในภูเขาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเรา”ฉันไม่อยากจะเชื่อ ฟ่านเหม่ยฉีมองเห็นวิญญาณได้ด้วยตาเปล่า ส่วนตอนนี้ฉันเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับเทพแล้ว ถ้าหากไม่อาศัยการเข้าร่าง ไม่ก็สวมผีตุนโข่วทั้งห้า ฉันก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้เลยฉันสังเกตดวงตาของฟ่านเหม่ยฉีก็ไม่พบว่าดวงตาของเธอกับพวกเรามีความแตกต่างอะไร ส่วนเฟิ้งฉีเทียนที่ยืนอยู่ข้างขาฉันเห็นฉันจ้องดวงตาของฟ่านเหม่ยฉีอย่างไม่วางตา จึงบอกว่า “นางมีดวงตาหยินหยาง เจ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะสามารถมองเห็นวิญญาณได้ยังไง”“ดวงตาหยินหยาง?” ฉันก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมจ้องมองฟ่านเหม่ยฉี จากนั้นอุ้มไก่ห้าสีที่อยู่ข้างขาฉันขึ้นมา และถามกับฟ่านเหม่ยฉี “ถ้าอย่างนั้นเธอสามารถมองเห็นไก่ตัวนี้ที่ฉันอุ้มอยู่ไหม?”เฟิ้งฉีเทียนได้ยินฉันเรียกเขาว
หมายความว่ายังไงนะ? ฉันเอียงศีรษะเตรียมว่าตั้งใจจะจ้องมองฟ่านเหม่ยฉีอีกครั้ง แต่ว่าหลิวหลงถิงใช้มือประคองใบหน้าฉันกลับมา บอกฉันว่าอย่ามอง ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรตอนอยู่บนเครื่องบิน ฉัน หลิวหลิงถิงและฟ่านเหม่ยฉีซื้อตั๋วที่นั่งติดกัน ฟ่านเหม่ยฉีนั่งติดหน้าต่าง ฉันนั่งตรงกลาง หลิวหลงถิงนั่งด้านนอกสุด ส่วนเฟิ้งฉีเทียนแปลงเป็นร่างไก่ ยืนเกาะบนไหล่ฉันหลังจากที่หลิวหลงถิงบอกฉัน ฉันก็ระวังฟ่านเหม่ยฉีอยู่ตลอด แต่ว่าระหว่างทาง ฟ่านเหม่ยฉียังคงมีท่าทีเหมือนรุ่นน้องปีหนึ่งที่ขี้อายเก็บตัว ไม่ชอบพูดจา ท่าทีนี้ของเธอไม่เหมือนอย่างที่หลิวหลงถิงว่าเป็นคนตายที่ฟื้นคืนชีพเลยเราใช้เวลาประมาณเดินทางไปเมืองกุ้ยโจวประมาณสามชั่วโมง ทว่าการไปบ้านของฟ่านเหม่ยฉียังต้องต่อรถไฟและรถยนต์อีกที หลังจากนั้นต้องเดินเท้าทางบนภูเขาเจ็ดแปดลี้ต่อ จึงจะถึงบ้านของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณตีนเขาหมู่บ้านชื่อว่าหมู่บ้านอาหว่า เพราะว่าห่างไกลจากเขตตัวเมือง ในหมู่บ้านจึงค่อนข้างล้าหลัง มีบ้านชั้นเดียวน้อยมาก ส่วนใหญ่แทบจะเป็นตึกเตี้ยวเจี่ยวโหลวหรือก็คือตึกหย่อนขาที่ทำด้วยไม้ ด้านหลังหมู่บ้านคือนาขั้นบันได ตามท
แรกเริ่มฉันก็ไม่สนใจอะไรมาก อย่างไรเสียแม่ของเธอกินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วคิดอยากเข้าห้องน้ำ รวมทั้งพ่อที่ทิ้งแขกไปแล้วตัวเองไปนอน ฉันจึงคิดว่าเธอแอบกินของกินตอนกลางคืน และก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าเธอเอาแต่กินเสียงดังจนทำให้ฉันนอนไม่หลับ ครั้นแล้วจึงถามว่าฟ่านเหม่ยฉีกำลังกินอะไรอยู่? ช่วยเสียงเบาหน่อยจะได้ไหมพอฉันพูดจบ เสียงเคี้ยวของฟ่านเหม่ยฉีก็เบาลง แต่ไม่ทันไร เสียงเคี้ยวหงึบหงับก็เสียงดังขึ้น เหมือนออกแรงเคี้ยวอ้อยอย่างไรอย่างนั้น เธอแทะเต็มแรงและยังมีเสียงหักดังขึ้นด้วยเมื่อตอนกลางคืนของวันนี้ฉันไม่ได้กินอะไร ตอนนี้ถูกเสียงของฟ่านเหม่ยฉีจนทำให้นอนไม่หลับ ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้อง จึงถามฟ่านเหม่ยฉีว่ากินอะไรอยู่? พอจะแบ่งให้ฉันกินได้ไหม?ฟ่านเหม่ยฉีไม่พูดจา สักพักหนึ่งจึงยื่นของที่เหมือนกับแครอทอันเล็กมาให้ฉันกลางคืนที่ดำมืดทำให้ฉันมองไม่เห็นว่าคืออะไร จึงถามเธอ “นี่คือแครอทเหรอ?”“อืม ใช่ บ้านฉันปลูกเอง” ฟ่านเหม่ยฉีตอบฉันด้วยเสียงเบาฉันไม่ชอบกินแครอทตั้งแต่เด็ก แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ฉันจึงนำแครอทเล็กนี้ยัดกลับใส่มือของฟ่านเหม่ยฉี พลางบอกกับเธอให้กินเองเถอะ ฉันใช้ผ้าห่มอ