ฟ่านเหม่ยฉีสามารถมองออกว่าฉันกำลังขับไล่สิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นเหรอ?ฉันประหลาดใจเล็กน้อย พลางมองฟ่านเหม่ยฉีอย่างประเมิน แล้วถามเธอว่ามองเห็นได้ยังไง?ฟ่านเหม่ยฉีไม่เข้าใจความหมายของคำพูดฉันในทันที เธอมองฉันอย่างฉงนพลางกล่าว “ก็ใช้ตามองไงคะ ในวิทยาเขตใหม่มีวิญญาณอยู่มากมาย พอถึงตอนเย็น พวกมันก็จะออกมาจากในภูเขาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเรา”ฉันไม่อยากจะเชื่อ ฟ่านเหม่ยฉีมองเห็นวิญญาณได้ด้วยตาเปล่า ส่วนตอนนี้ฉันเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับเทพแล้ว ถ้าหากไม่อาศัยการเข้าร่าง ไม่ก็สวมผีตุนโข่วทั้งห้า ฉันก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้เลยฉันสังเกตดวงตาของฟ่านเหม่ยฉีก็ไม่พบว่าดวงตาของเธอกับพวกเรามีความแตกต่างอะไร ส่วนเฟิ้งฉีเทียนที่ยืนอยู่ข้างขาฉันเห็นฉันจ้องดวงตาของฟ่านเหม่ยฉีอย่างไม่วางตา จึงบอกว่า “นางมีดวงตาหยินหยาง เจ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะสามารถมองเห็นวิญญาณได้ยังไง”“ดวงตาหยินหยาง?” ฉันก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมจ้องมองฟ่านเหม่ยฉี จากนั้นอุ้มไก่ห้าสีที่อยู่ข้างขาฉันขึ้นมา และถามกับฟ่านเหม่ยฉี “ถ้าอย่างนั้นเธอสามารถมองเห็นไก่ตัวนี้ที่ฉันอุ้มอยู่ไหม?”เฟิ้งฉีเทียนได้ยินฉันเรียกเขาว
หมายความว่ายังไงนะ? ฉันเอียงศีรษะเตรียมว่าตั้งใจจะจ้องมองฟ่านเหม่ยฉีอีกครั้ง แต่ว่าหลิวหลงถิงใช้มือประคองใบหน้าฉันกลับมา บอกฉันว่าอย่ามอง ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรตอนอยู่บนเครื่องบิน ฉัน หลิวหลิงถิงและฟ่านเหม่ยฉีซื้อตั๋วที่นั่งติดกัน ฟ่านเหม่ยฉีนั่งติดหน้าต่าง ฉันนั่งตรงกลาง หลิวหลงถิงนั่งด้านนอกสุด ส่วนเฟิ้งฉีเทียนแปลงเป็นร่างไก่ ยืนเกาะบนไหล่ฉันหลังจากที่หลิวหลงถิงบอกฉัน ฉันก็ระวังฟ่านเหม่ยฉีอยู่ตลอด แต่ว่าระหว่างทาง ฟ่านเหม่ยฉียังคงมีท่าทีเหมือนรุ่นน้องปีหนึ่งที่ขี้อายเก็บตัว ไม่ชอบพูดจา ท่าทีนี้ของเธอไม่เหมือนอย่างที่หลิวหลงถิงว่าเป็นคนตายที่ฟื้นคืนชีพเลยเราใช้เวลาประมาณเดินทางไปเมืองกุ้ยโจวประมาณสามชั่วโมง ทว่าการไปบ้านของฟ่านเหม่ยฉียังต้องต่อรถไฟและรถยนต์อีกที หลังจากนั้นต้องเดินเท้าทางบนภูเขาเจ็ดแปดลี้ต่อ จึงจะถึงบ้านของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณตีนเขาหมู่บ้านชื่อว่าหมู่บ้านอาหว่า เพราะว่าห่างไกลจากเขตตัวเมือง ในหมู่บ้านจึงค่อนข้างล้าหลัง มีบ้านชั้นเดียวน้อยมาก ส่วนใหญ่แทบจะเป็นตึกเตี้ยวเจี่ยวโหลวหรือก็คือตึกหย่อนขาที่ทำด้วยไม้ ด้านหลังหมู่บ้านคือนาขั้นบันได ตามท
แรกเริ่มฉันก็ไม่สนใจอะไรมาก อย่างไรเสียแม่ของเธอกินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วคิดอยากเข้าห้องน้ำ รวมทั้งพ่อที่ทิ้งแขกไปแล้วตัวเองไปนอน ฉันจึงคิดว่าเธอแอบกินของกินตอนกลางคืน และก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าเธอเอาแต่กินเสียงดังจนทำให้ฉันนอนไม่หลับ ครั้นแล้วจึงถามว่าฟ่านเหม่ยฉีกำลังกินอะไรอยู่? ช่วยเสียงเบาหน่อยจะได้ไหมพอฉันพูดจบ เสียงเคี้ยวของฟ่านเหม่ยฉีก็เบาลง แต่ไม่ทันไร เสียงเคี้ยวหงึบหงับก็เสียงดังขึ้น เหมือนออกแรงเคี้ยวอ้อยอย่างไรอย่างนั้น เธอแทะเต็มแรงและยังมีเสียงหักดังขึ้นด้วยเมื่อตอนกลางคืนของวันนี้ฉันไม่ได้กินอะไร ตอนนี้ถูกเสียงของฟ่านเหม่ยฉีจนทำให้นอนไม่หลับ ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้อง จึงถามฟ่านเหม่ยฉีว่ากินอะไรอยู่? พอจะแบ่งให้ฉันกินได้ไหม?ฟ่านเหม่ยฉีไม่พูดจา สักพักหนึ่งจึงยื่นของที่เหมือนกับแครอทอันเล็กมาให้ฉันกลางคืนที่ดำมืดทำให้ฉันมองไม่เห็นว่าคืออะไร จึงถามเธอ “นี่คือแครอทเหรอ?”“อืม ใช่ บ้านฉันปลูกเอง” ฟ่านเหม่ยฉีตอบฉันด้วยเสียงเบาฉันไม่ชอบกินแครอทตั้งแต่เด็ก แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ฉันจึงนำแครอทเล็กนี้ยัดกลับใส่มือของฟ่านเหม่ยฉี พลางบอกกับเธอให้กินเองเถอะ ฉันใช้ผ้าห่มอ
เห็นเฟิ้งฉีเทียนหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ฉันนึกถึงอาหารบนโต๊ะเมื่อคืนนั่นอีกครั้ง จู่ ๆ ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียน และถามเฟิ้งฉีเทียนว่าจะเป็นเนื้อมนุษย์ได้ยังไงกัน หากเป็นเนื้อมนุษย์ ทำไมเขายังกินได้อย่างมีความสุขขนาดนั้น?“เมื่อคืนข้ารู้แค่ว่ารสชาติของเนื้อนั่นสดอร่อยมากเป็นพิเศษ ไม่เหมือนเนื้อไก่เป็ดปลาหมูเลย เมื่อกี้พอได้ยินหลิวเซียนพูดจึงพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าที่พวกเรากิน อาจจะเป็นเนื้อมนุษย์ทั้งหมด อย่างไรเสียมนุษย์เป็นจิตวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง ส่วนเนื้อหนังมังสาบนร่าง ก็คือว่าเป็นเนื้อที่บำรุงร่างกายได้มากที่สุดบนโลกเลยทีเดียว” เฟิ้งฉีเทียนพูด ๆ อยู่ ก็ถามฉันอย่างดีอกอีใจ “ป๋ายจิ้ง เจ้าเห็นแล้วหรือยัง ขนบนตัวข้าแวววาวไหม? ระยิบระยับหรือเปล่า?”แวววาวระยิบระยับมะเหงกสิ! ฉันหันศีรษะถามว่าเนื้อพวกนั้นบนโต๊ะเมื่อคืนเป็นเนื้อมนุษย์หรือเปล่า? แล้วอาหารที่เราทานไปเมื่อเช้าล่ะ? ฉันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าฉันยังไม่ได้ทานข้าวหลามที่พ่อของฟ่านเหม่ยฉีทำให้พวกเราทาน!“เนื้อที่เฟิ้งฉีเทียนกินไปเมื่อคืนคือเนื้อมนุษย์ ที่พวกเรากินเช้าวันนี้คือข้าว คาดว่าวันนี้ฟ่านเหม่ยฉีขอร้องให้พ่อของเธอทำข้าวเ
เพราะว่าเห็นคนรักของตัวเองตายไป จึงต้องการทำให้คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังพร้อมกับเธอ ตอนที่ฉันได้ยินคำพูดนี้ของหลิวหลงถิง ในใจก็รู้สึกไม่ดีมาก ๆ ยื่นมือไปหยิบอินกวนอินในมือเฟิ้งฉีเทียน แล้วเอ่ยถามหลิวหลงถิงว่า “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อคนทั้งหมู่บ้านตายหมดแล้ว งั้นพ่อของฟ่านเหม่ยฉี ที่มาต้อนรับพวกเราล่ะ? พวกเขาก็เป็นคนตายฟื้นคืนชีพเหมือนกับฟ่านเหม่ยฉีใช่ไหม?”“คาดว่าพวกเขาไม่ใช่ เหมือนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมามากกว่า บรรยากาศของที่นี่แปลกประหลาดมาก เธอดูพระอาทิตย์นั่นสิ ตั้งแต่ตอนที่พวกเราออกมา มันก็ลอยอยู่ตำแหน่งนั้นตลอด ตอนนี้พวกเราออกมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว มันก็ยังคงไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเราน่าจะเข้ามาอยู่ในภาพลวงตาซะแล้ว”“ก็แค่เป็นโลกโลกหนึ่งที่จินตนาการออกมาไม่ใช่เหรอ?” ฉันถามหลิวหลงถิง“ไม่ใช่จินตนาการ ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในภาพวาดของข้า ทุกอย่างที่พวกเจ้าเห็น นอกจากศาลแห่งนี้แล้ว ข้าเป็นคนวาดทั้งหมดเอง” จู่ ๆ อินกวนอินในมือฉันก็พูดโพล่งขึ้นมาพอเฟิ้งฉีเทียนได้ยินว่าอินกวนอินในมือฉันพูด จึงรีบปัดอินกวนอินในมือลงพื้น พลางถามเขา “ทำไมเจ้าต้องดึงพวกข้าเข้ามา?”“ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า แต
มีดเล่มใหญ่ฟันร่างกายของอินกวนอินขาดออกเป็นสองท่อนทันที แต่ว่านี่ยังไม่เพียงพอให้ฟ่านเหม่ยฉีระบายความความโกรธ เธอหยิบมีดออกแรงฟันที่ร่างของอินกวนอินไม่หยุด ไอสีดำพุ่งออกมาจากบาดแผลของอินกวนอินไม่หยุด แนวขวางตัดของมีดที่เป็นทางยาว ทำให้ฉันมองดูด้วยความตกตะลึง“ตายซะเถอะ พวกเรามาตายไปพร้อมกัน นับจากนี้ไป ฉันไม่อยากเจอนายอีกตลอดชาติ!”ฟ่านเหม่ยฉีพูดจบก็ถอดผีตุนโข่วทั้งห้าที่อยู่บนหน้าเธอออก ใบหน้านั้นเผยสีหน้าพอใจที่ได้สมใจหวัง จากนั้นก็หันศีรษะมามองฉันพร้อมกล่าว “รุ่นพี่ ขอบคุณที่ช่วยให้ฉันหลุดพ้นนะคะ ฉันต้องไปแล้ว ขอให้พี่มีความสุขนะ” ว่าแล้ว ควันสีเขียวเป็นทางก็ลอยกระจายออกมาจากในร่างของฟ่านเหม่ยฉี ส่วนเทวรูปของอินกวนอินที่อยู่บนพื้น ก็แตกเป็นกองเศษเล็กเศษน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้มีชีวิตอยู่อีกทันใดนั้นในศาลก็ว่างเปล่า นอกจากศพที่กำลังจะเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วของฟ่านเหม่ยฉี ที่อยู่บนพื้นกับเศษที่แตกกระจายของอินกวนอินที่ย้ำเตือนฉันว่าก่อนหน้านี้เกิดการฆ่าล้างแค้นที่น่าอกสั่นขวัญหายขึ้น จากนั้นก็เงียบสงบลงมาก“ทั้งสองคน เฮ้” เฟิ้งฉีเทียนเดินเข้ามาจากด้านนอก คาดว่าไม่รู้จะออกความเห็นกับ
หลิวหลงถิงเหลือบมองฉัน จากนั้นจึงพูดแบบยิ้ม ๆ “ฉันจะโกรธอะไรเธอ? ถ้าวันนี้ไม่อยากก็ไปนอนก่อนเถอะ รอฉันซ่อมอินกวนอินเสร็จแล้ว จะไปนอนเป็นเพื่อนเธอบนเตียง”ฉันไม่รู้ว่ายิ้มนี้ของหลิวหลงถิงเป็นยิ้มจริงหรือยิ้มปลอม ทว่าเขาบอกให้ฉันนอน ฉันจึงได้แต่พยักหน้าให้เขา บอกให้เขาทำเสร็จแล้วก็รีบพักผ่อนและก็ไม่รู้ว่าหลิวหลงถึงเป็นอะไรไป หรือว่าเพราะเฟิ้งฉีเทียนแบก เขาเลยโกรธอย่างนั้นเหรอ? แต่ว่านั่นไม่ใช่เพราะต้องการทำลายเขตแดนภาพหรอกเหรอ ถ้าไม่แบกล่ะก็ พวกเราก็ออกมาไม่ได้นะ!แค่นั่งรถมาหนึ่งวันเต็มแล้วก็ง่วง และฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงเรื่องนี้ พอนอนลงบนเตียงได้พักหนึ่งก็หลับไปวันนี้ต้องตื่นเช้าไปเรียน หลิวหลงถิงตื่นเช้ากว่าฉันอีก เขาต้มโจ๊กกับไข่ไก่ไว้เสร็จแล้ว และตอนนี้กำลังเปลี่ยนชุดไปข้างนอกฉันมองดูอย่างสงสัย จึงถามหลิวหลงถิงว่าวันนี้เป็นอะไร จะออกไปข้างนอกเหรอ?อารมณ์ของหลิวหลงถิงในตอนนี้ดีกว่าเมื่อคืนเยอะแล้ว อีกฝ่ายบอกกับฉันว่าใช่ ต้องไปส่งแฟนของเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคำพูดนี้ทำให้หัวใจฉันอบอุ่น จนรีบกอดหลิวหลงถิงแล้วจุ๊บที่ใบหน้าเขาทีหนึ่งทันที เมื่อวานพอเห็นเขาไม่มีความสุข ฉัน
สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที หากเมื่อสักครู่นี้เว่ยฉงไม่ได้บอกว่าเขาจะเข้าร่วมงานปาร์ตี้ของชั้นเรียนพวกเราแบบนั้นมันก็ยังดี แต่เมื่อเว่ยฉงตั้งใจมาบอกฉันว่าเขาก็ไปเข้าร่วมด้วย ก็ทำให้ฉันพะว้าพะวงเล็กน้อยขึ้นมา อย่างไรก็ตามแค่ฉันกับเฟิ้งฉีเทียนเป็นแค่เพื่อนกันหลิวหลงถิงก็ไม่พอใจแล้ว ถ้าเกิดว่าถูกเขาสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกรอบ ฉันก็คงต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาแน่ ๆ แต่ทว่าตอนนี้อาจารย์ประจำชั้นมาถามฉันด้วยตัวเองแล้ว ถ้าหากฉันพูดว่าฉันไม่ไปล่ะก็ อาจจะเป็นการไม่ไว้หน้าเขาเกินไปฉันลังเลอยู่ห้าหกนาทีและก็ได้ตอบตกลงกับอาจารย์ประจำชั้นไป ในใจก็คิดว่าจริง ๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอก ก็ไม่ใช่ว่าไปกับเขาเพียงลำพังสองต่อสองสักหน่อย อีกอย่างถ้าฉันดึงดั้นกล้าปฏิเสธอาจารย์ประจำชั้นของเรามันก็ดูไม่ดีหลังจากเริ่มเรียนได้ประมาณสิบนาทีแล้ว เฟิ้งฉีเทียนก็เดินเข้ามาจากทางประตูห้องเรียน พอเห็นว่าฉันอยู่ ๆ ก็ดูเหมือนลูกบอลที่หมดลมไปแล้วลูกหนึ่ง ก็เดินมุ่งหน้ามาหาฉันไปด้วย และถามฉันไปด้วยว่าช่วงนี้หลิวหลงถิงดูมีแปลก ๆ นิดหน่อยนะ หรือว่าเป็นเพราะเขากำลังหึงฉัน? ถ้าเป็นแบบนั้นจร