ย่าคิดว่าฉันแค่ก่อกวนไปตามนิสัย ก็ไม่สนใจฉัน หลังจากวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะแล้ว ท่านก็ลงไปข้างล่างเพื่อไปคุยเลยกับเพื่อนบ้าน“งั้นถ้าหากว่าย่าของเจ้าไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าและหลิวหลงถิงอยู่ด้วยกันจะทำอย่างไร? ในท้องของเจ้าตอนนี้ยังมีลูกของเขาอยู่นะ” เฟิ้งฉีเทียนถามฉันตอนแรกเมื่อกี้ฉันโดนย่าแบบพูดแบบนี้ใส่แล้วก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ตอนนี้เฟิ้งฉีเทียนยังคงถามคำถามนี้กับฉัน จึงพูดกับเฟิ้งฉีเทียนว่าไม่รู้ บอกให้เขาออกเล่นข้างนอกก่อน ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เฟิ้งฉีเทียนมองมาที่ฉันอยากจะพูดอะไรกับ
เมื่อเทพเเห่งขุนเขาปรากฏตัวขึ้น นั่นก็ทำให้ฉันตกใจกลัวจนตัวสั่น ฉันไม่รู้ว่าเขาตามหาฉันเจอได้อย่างไร แต่ว่าเขามาแล้ว ก็คงไม่น่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับฉันอย่างแน่นอน!“แล้วยังไงล่ะ?” ฉันลุกขึ้นเคลื่อนตัวเดินลงจากเตียงไปด้วย ฉันพูดกับเทพแห่งขุนเขาอย่างระมัดระวังไปด้วยพร้อม ๆ กัน “เทพเแห่งขุนเขา เรื่องราวเก่า ๆ ของฉันกับคุณก็ได้จัดกาารจนกระจ่างไปแล้ว ทำไมคุณตามฉันแบบนี้ คุณไม่มีจิตสำนึกหรือไง”เมื่อเห็นว่าฉันอยากจะวิ่งหนี เทพแห่งขุนเขาก็คว้าข้อมือฉันเอาไว้ ใช้แรงดึงฉันเข้ามาที่ตัวเขาอย่างแรง ยิ้ม
ถึงแม้ว่าฉันไม่อยากจะคุยกับหลิวหลงถิงเลยสักประโยคเดียว แต่ว่าก็ตอบเขาง่าย ๆ ไปว่าหมอบอกว่าลูกปกติดีมาก ไม่ใช่งูแล้ว แต่เป็นทารกในครรภ์คนหนึ่งพอเห็นว่าพูดแบบเช่นนี้แล้วหลิวหลงถิงก็ดีใจขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างโอบกอดฉันเข้าไปในอ้อมอกของเขา จูบลงบนหน้าผากของฉันไปหนึ่งที แล้วก็จับที่หน้าของฉันพูดกับฉันว่า “รู้ไหมทำไมฉันถึงกลัวไม่อยากให้เธอตรวจครรภ์ขนาดนี้?”ฉันมองที่หลิวหลงถิงแล้วส่ายหน้าให้เขา คิดอยู่ในใจแต่เขาก็ไม่ได้บอกฉัน ฉันจะรู้ไปได้อย่างไรว่าทำไมเขาถึงไม่ให้ฉันมาตรวจครรภ์“เพราะว่าฉันไม่
เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินย่าพูดแบบนี้ ก็เคลื่อนหัวเข่ามาทางเท้าของฉัน แล้วคุกเข้าลงไปทันที เธอทั้งกอดขาทั้งร้องไห้ไปด้วย พร้อมพูดกับฉันว่า “แม่หมอ ได้โปรดช่วยลูกชายของฉันด้วย ตอนนี้เขาถูกสิ่งสกปรกในแม่น้ำพัวพันเข้าแล้ว และก็กำลังจะตายแล้ว ขอร้องคุณนะ ช่วยเขาด้วย”ฉันรีบพยุงผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นมา บอกให้เธอนั่งพูดเรื่องราวทั้งหมดพูดกับฉันอีกรอบหนึ่ง“เป็นเรื่องเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ลูกชายของฉันไปเรียนที่วิทยาลัยที่ฮาร์บิน เขากลับมาบ้านในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน และไปอาบน้ำที่แม่น้ำซิวสุ่ยตรงข้า
แต่หลิวหลงถิงก็ไม่ได้สนใจว่าลูกชายของเธอจะได้ยินหรือไม่ แต่บอกกับผู้หญิงคนนั้นว่าลูกชายของเธอเป็นโรคประสาทแบบฮิสทีเรีย นั่นก็คือวิญญาณถูกสิ่ง ๆ นั้นสูบไปแล้ว และบอกผู้หญิงคนนั้นให้แก้มัดลูกชายของเธอก่อน พวกเราจะต้องใช้ลูกชายของเธอค้นหาว่าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน และนำวิญญาณของลูกชายเธอหากลับมาให้ได้พอได้ยินว่าวิญญาณหายไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นตกใจมากจึงเรียนชายร่างใหญ่สองสามคนแก้มัดลูกชายของเธอ ตอนนี้ไม่ว่าอะไรเธอก็จะฟังคำสั่งของฉันกับหลิวหลงถิงทุกอย่าง หลิวหลงถิงบอกให้คนผูกเชื่อกไว้ที่หลังลูกชายเธอเชือก
ตอนนี้ฉันกับหลิวหลงถิงมากันแล้ว ถ้าจะพูดว่าไม่ช่วยชีวิตคน พวกเราก็พูดไม่ออก แต่ว่าถ้าจะช่วยชีวิตคน พวกเราก็ต้องการคำชี้แนะและตอนนี้อาการบาดเจ็บของหลิวหลงถิงก็ยังไม่หายดี ถ้าเกิดว่ามีการต่อสู้ขึ้นมา ตอนนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายที่อ่อนกว่าอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะชนะได้เลยผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหลิวหลงถิงกำลังลังเลใจอยู่ ก็ไม่สนใจว่าพวกเราจะลำบากแค่ไหน พูดอยู่ตลอดเวลาว่าเห็นพวกเราร่างทรงองค์เทพเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตคอยช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ แต่ตอนนี้ ลูกชายเธอมีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเรากลับไม่ช่ว
แต่ถ้าหากว่าเทพแห่งคงคาจับฉันในตอนนี้ ฉันก็จะเป็นจุดอ่อนของหลิวหลงถิงได้ จึงรีบทิ้งเชือกในมือของฉัน หันหลังแล้ววิ่งออกไป!แต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้ว ในตอนที่ฉันหันหลัง รู้สึกเพียงแต่ว่ามีลดพัดมาที่ด้านหลังของฉันอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่รอให้ฉันมีการตอบสนองเลย มือของฉันถูกจับด้วยนิ้วที่เย็นเฉียบสองสามนิ้ว และร่างกายที่เอนไปข้างหน้าก็กระทบลงไปที่ในเกราะเหล็กเย็นยะเยือก!หน้ากากที่ฉันสวมอยู่ถูกดึงออก และผมยุ่ง ๆ สองสามเส้นที่มีกลิ่นน้ำหอมลอยมาทางใบหน้าของฉัน ฉันลืมตาขึ้นมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้า ผ้าคลุม
ในช่วงปีมะเส็งเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ฉันป่วยหนักอย่างไม่ทราบสาเหตุ และมีไข้สูงตลอดทั้งปี รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาในช่วงปลายปีของกลางดึกคืนหนึ่ง ฉันก็สะลึมสะลือขึ้นมาพลันมองเห็นงูสีขาวตัวใหญ่เลื้อยเข้ามาในผ้าห่ม มันค่อย ๆ เลื้อยขึ้นมาตามขาของฉัน เกล็ดงูที่ขรุขระนั้นขูดขาฉัน มันทั้งเจ็บทั้งคันไปหมดฉันกลัวมาก ๆ แต่ก็ไม่กล้าตะโกนออกไป ตลอดทั้งคืนฉันมองดูงูสีขาวตัวใหญ่ที่ยังไม่หยุดก่อกวนใต้ผ้าห่ม จนกระทั่งเช้ารุ่งขึ้น คุณย่าดึงผ้าห่มเพื่อประคองให้ฉันลุกขึ้น แต่พอเปิดผ้าห่มออก กลับได้กลิ่นฉี่ลอยเข้า