Share

บทที่2

2 การตื่นรู้

ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยายในตอนกลางวันเพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอทำงาน ตาและยายของเธอมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม คือสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้านและทำทุกอย่างที่สรรหามาทำได้ในบ้านที่ลูก ๆ แต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว คุณนายไวท์ไม่เคยมีเพื่อนของตัวเอง ทุกคนที่เธอรู้จักเป็นเพื่อนของสามี หรือไม่ก็ภรรยาของเพื่อนสามี ดังนั้นเมื่อเขาเสียชีวิต คุณนายไวท์จึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน

มีอยู่หลายครั้งที่คุณนายไวท์คิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อและความอ้างว้างเดียวดาย

การได้ดูแลเมแกนในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งจึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า คุณนายไวท์อยากจะบอกใครต่อใครว่ามันทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลายปีต่อมาเมแกนมักจะสงสัยว่ายายของเธอมาช้าไปหรือเปล่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการเริ่มขึ้น

สิ่งแรกที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่เมแกนเป็นเด็กทารก เมแกนเริ่มหยิบของเล่นและสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นลางร้ายสำหรับคุณนายไวท์ ตอนแรกคุณนายไวท์เพียงแค่ย้ายของมาใส่มือขวาของเมแกนแล้วพูดว่า “มือซ้ายร้าย มือขวาดี” แต่หลังจากหลายสัปดาห์ผ่านไป เมื่อเมแกนยังไม่ “เรียนรู้” วิธีทำสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เธอก็จะโดนตีมือซ้ายพร้อมด้วยการตักเตือนว่ามือข้างนั้นไม่ดี

หลังจากถูกฝึกฝนอย่างเข้มงวดด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ของปาฟลอฟ 1 เมแกนก็เรียนรู้ที่จะใช้มือขวาเหมือนที่เด็กคนไหนๆ ก็จะต้องทำ ยายของเมแกนรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เธอตอบสนองต่อการฝึก วันหนึ่งเธอจึงประกาศข่าวดีด้วยความรู้สึกมีชัยกับลูกสาวของเธอซึ่งไม่ได้สังเกตเห็นว่าตอนนี้เมแกนหยิบของด้วยมือขวาเท่านั้น ในขณะที่ก่อนหน้านี้เธอชอบใช้มือซ้าย

ซูซาน แม่ของเมแกนไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย เธอรู้ว่าแม่ของเธอมี 'วิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แปลก' และปล่อยให้เธอใช้วิธีเหล่านั้นตามใจชอบ อย่างไรก็ตาม เธอจำไม่ได้ว่าแม่เคยใช้วิธีเหล่านั้นฝึกฝนตัวเธอด้วยหรือเปล่า และถ้าแม่ไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอก็คงจะเป็นคนที่แตกต่างไปจากตอนนี้ อย่างแรกเลย เธอคงจะเป็นคนถนัดซ้าย

ซูซานไม่ได้บอกโรเบิร์ตผู้เป็นสามีของเธอว่าเมแกนเกิดมาพร้อมกับแนวโน้มที่จะใช้มือซ้าย แต่ถูกเขา 'ทุบตี' เค้นความจริงจนเธอต้องบอก เนื่องจากตัวเขาเองเป็นคนถนัดซ้ายและมีภูมิต้านทานต่อความเชื่องมงายแบบโบราณที่สูงกว่าเธอมาก เขาจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ เหตุผลหนึ่งที่คุณนายไวท์ไม่ยอมรับโรเบิร์ตก็เพราะเขาถนัดซ้าย แต่เธอคิดว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะช่วยชีวิตเขาและวิญญาณของเขา

เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ซูซานตกหลุมรักและแต่งงานกับโรเบิร์ตได้ง่าย ๆ เธอดุด่าซูซาน ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน หยุดให้เงินค่าขนมอันน้อยนิด และแม้กระทั่งขังเธอไว้ในตู้เก็บไม้กวาดใต้บันได

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกสาวของฉันจะทำตัวแบบที่แกทำ” เธอมักจะตะโกนพร้อมกับฟาดประตูตู้เมื่อเดินผ่านไป “ฉันว่าต้องมีการสับเปลี่ยนตัวที่โรงพยาบาลแน่ ๆ ฉันไม่มีทางมีลูกสาวอย่างแกหรอก”

ซูซานนั้นโชคดี ที่บ้านของพวกเธอมีห้องเก็บถ่านหินใต้ดินไม่ใช่หลุมถ่านหิน แต่เธอรู้สึกว่าตู้เก็บไม้กวาดก็น่าหวาดกลัวไม่แพ้กันแม้เธอจะเป็นวัยรุ่นก็ตาม เพราะคุณนายไวท์บอกลูกสาวของเธอว่าในนั้นอาจจะมี ‘ภูติผีและปีศาจ’ อยู่ก็ได้ และด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นเมแกนจึงไม่ชอบห้องดังกล่าว คูณนายไวท์แนะนำให้ซูซานนั่งเงียบ ๆ ที่มุมห้องและคลุมศีรษะไว้ ‘เพื่อที่ภูติผีและปีศาจจะได้มองไม่เห็นเธอ’

เมื่อเมแกนหัดพูด คุณนายไวท์จึงถือว่าเป็นชัยชนะของตนเอง เธอไม่ได้ให้เครดิตซูซานหรือว่าโรเบิร์ตในเรื่องนี้แม้แต่น้อย โดยบอกเพื่อนๆ ของเธอว่าคนที่เรียกว่า ‘พ่อแม่สมัยใหม่’ นั้นไม่มีเวลาให้ลูก และถ้าไม่ใช่เพราะปู่ย่าตายายล่ะก็ คนรุ่นถัดไปจะต้อง ‘ปํญญาอ่อนโดยสิ้นเชิง’

คนส่วนใหญ่ที่รู้จักคุณนายไวท์รู้ว่าเธอเป็นคนอย่างไร ถ้าไม่พยักหน้าแสดงความเห็นด้วย พวกเขาก็จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หรือไม่ก็รีบไปเสีย หากว่าทำได้ บทสนทนามักเป็นไปในทำนองนี้

“โอ... คุณนายไวท์คะ ฉันแน่ใจว่าคุณกำลังทำงานยิ่งใหญ่ที่ช่วยลูกสาวของคุณด้วยการคำนึงถึงหนูน้อยเมแกน... ปีนี้ต้นบีโกเนียเป็นอย่างไรบ้างคะ”

และด้วยเหตุนั้น หนูน้อยเมแกนจึงถูกทอดทิ้งให้อยู่กับความไม่อยู่กับร่องกับรอยของยายเธอ เนื่องจากคุณไวท์ไม่อยู่บนโลกเพื่อคอยตรวจสอบจินตนาการของเธออีกต่อไปแล้ว และปรากฏว่าจินตนาการเหล่านั้นก็ไม่ถูกต้องเสียด้วย บางครั้ง ขณะนั่งอยู่บนพื้นตรงเท้าของนางไวท์ เมแกนก็จะยื่นของเล่นให้ 'คุณตา'

ตอนแรกคุณนายไวท์คิดว่าหนูน้อยสับสน เธอสันนิษฐานว่า 'ปู่และย่า' ทำให้หลานตัวน้อยของเธอสับสน ดังนั้นเมื่อรู้ว่ากลยุทธ์นี้เคยใช้ได้ผลมาก่อน ทุกครั้งที่เมแกนยื่นของเล่นออกมาและพูดว่า 'คุณตา' เธอจึงหยิบมันและพูดว่า 'คุณยาย' จากนั้น เมื่อเริ่มหมดหวังมากขึ้นเธอจึงพูดว่า 'คุณยายต่างหากล่ะเมแกนไม่ใช่คุณตา!' แล้วตีขาเมแกนเบา ๆ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการทำให้เมแกนเรียกเธอว่า 'คุณยาย' และไม่ใช่ 'คุณตา' ยากกว่าการทำให้เธอใช้มือขวาเสียอีก ไม่ว่าเธอจะลองใช้วิธีใดก็ตาม แถมเมแกนยังพูดถึง 'แมว' ตัวหนึ่งและเห็นได้ว่าเธอลูบอากาศและหัวเราะคิกคัก

เมื่อเมแกนเริ่มเรียกเจ้า 'แมว' ว่า 'โฮก' คุณนายไวท์คิดว่ามันคือจินตนาการแบบเด็ก ๆ ที่มีมากล้น แต่การเอ่ยอ้างถึง 'คุณตา' ยังคงทำให้เธอรำคาญใจ วันหนึ่ง เธอถามซูซานว่าเมแกนเรียกพ่อแม่ของโรเบิร์ตว่าอะไร

“โอ...เมแกนน่ารักมาก เธอเรียกพวกเขาด้วยคำภาษาเวลช์ว่า ‘เนนกับเทด’ ที่แปลว่าปู่กับย่าค่ะ พวกเขาอยากให้เราส่งเมแกนไปเรียนในโรงเรียนเวลช์เมื่อเธอโตพอ แต่หนูกับโรเบิร์ตยังไม่แน่ใจเลย แม่คิดว่าไงคะ”

คุณนายไวท์หวังว่าเมแกนจะไปโรงเรียนคาทอลิก แต่เธอรู้ว่าโอกาสอันมีค่านั้นมีเพียงน้อยนิด เพราะโรเบิร์ตผู้ถนัดซ้าย ‘เชื่อว่าเด็ก ๆ ไม่ควรถูกบังคับให้นับถือศาสนาในขณะที่พวกเขาอายุยังน้อย...ไม่ว่าศาสนาใด ๆ ก็ตาม’ โธ่! เขาจะไปรู้อะไรเล่า คนถนัดซ้ายจะไปรู้อะไรกัน

แต่เธอพูดว่า “จะส่งเมแกนไปเรียนที่ไหนก็ระวังให้มากละกัน เธอไม่ควรให้เมแกนไปโรงเรียนสมัยใหม่ชุ่ยๆ โรงเรียนที่ครูซึ่งถนัดซ้ายไม่สอนเรื่องการเคารพผู้อื่น หรือไม่มีระเบียบวินัยที่ดีแบบสมัยเก่า ไม่อย่างงั้นเธอคงได้เห็นเมแกนขวางหูขวางตาคนในครอบครัวก่อนที่เธอจะเรียนมัธยมแน่” เธอหวังว่าคำสำคัญอย่างคำว่า ‘ถนัดซ้าย’ ‘เคารพ’ และ ‘ระเบียบวินัย’ จะกระตุ้นให้ซูซานตอบสนองในทางที่เธอต้องการ แต่เธอเกรงว่าจะสูญเสียลูกสาวให้กับความคิดงี่เง่าของโรเบิร์ตเกี่ยวกับการถนัดซ้ายไปเสียแล้ว

สิ่งเดียวที่เธอพยายามทำได้ในตอนนี้คือหยุดยั้งความเสื่อมทรามในตัวเมแกน ความเสื่อมทรามที่โรเบิร์ตและลูกสาวของเธอยอมให้ปะทุออกมาจากเมแกนที่อ่อนหวาน น่าสงสาร ทว่าหัวอ่อน คุณนายไวท์อยากลองขังเธอไว้ใต้บันไดมานานแล้ว แต่เธอรู้ว่าถ้าโรเบิร์ตรู้ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้รับอนุญาตให้อยู่กับเมแกนตามลำพัง และนั่นจะทำให้ทั้งคู่แย่ลง

แต่ในใจลึก ๆ แล้ว คุณนายไวท์ตระหนักดีว่าเธอจะแย่ลงกว่าเดิมอีกมากและอาจไม่มีชีวิตรอดนอกสถานพักฟื้นผู้ป่วย

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status