Share

บทที่3

3 ผู้ช่วยตัวน้อยของแม่

เมื่อเมแกนอายุห้าขวบ เธอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลและได้พบเจอยายของเธอน้อยลงมาก หลายคนพูดว่านั่นส่งผลดีต่อเมแกน แต่ยายของเธอไม่มีความสุขนัก

เธอเสียสติและเสียชีวิตหกเดือนต่อมา

บรรดาแพทย์ไม่รู้สาเหตุที่คุณนายไวท์เสียชีวิต แต่เชื่อกันว้าเธอเสียชีวิตเพราะความอ้างว้าง

แน่นอน เมแกนรู้แค่ว่ายายของเธอ ‘จากไป’ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอ ‘ยังเด็ก’ หรือไม่แคร์ ก็แค่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตในการรับรู้โลกของเมแกนเท่านั้น...โลกที่เธออาศัยอยู่

มันไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าโลกของเมแกนไม่ใช่โลกที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ตลอดหกปีหรือราว ๆ นั้นเท่าที่เธอจำได้ เธอไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเสียชีวิต เธอรู้ว่าร่างกายน่ะตาย...แหงอยู่แล้ว! แมวและนกของเธอตายและครอบครัวของเธอก็ฝังพวกมันไว้ในกล่องในสวน

แม้กระทั่งตอนนั้น เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เพราะสำหรับเมแกนแล้วมันไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง เอาล่ะ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทุกตัว อีกหลังจากที่พวกมันตาย เธอไม่ได้เห็นเจ้ากระต่ายลอปปี้ลักส์ หรือเจ้าโกลดี้ นกขมิ้นของเธอ แต่เธอเคยเห็นเจ้าหมาเบ็กกี้หลายครั้งทั้งยามหลับและยามตื่น ไม่มีความแตกต่างระหว่างการหลับและการตื่นสำหรับเมแกน

การบอกข้อเท็จจริงนี้กับแม่ คือสาเหตุที่ทำให้เธอถูกดุอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

เมแกนสันนิษฐานไปตามเรื่องตามราวเหมือนที่เด็ก ๆ ทำ ว่าทุกคนคิดแบบเดียวกับที่พวกเขาทำ เธอไม่คาดคิดว่าแม่จะบอกว่าเธอเป็น ‘เด็กโง่ที่ไม่ควรพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้’

นั่นแหละปัญหาของเธอ

เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นเรื่อง ‘เหลวไหล’ เธอพูดคุยกับคุณตามาตลอดหลายปีไม่ใช่หรือไง สำหรับเธอมันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความผิดของเธอที่แม่กับย่ามองไม่เห็นเขา

การเผชิญหน้ากันในปัจจุบันและปัญหาของเมแกนที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ส่วนใหญ่เริ่มมาจากเสียงเคาะประตูในเช้าวันเสาร์หนึ่งเมื่อเธออายุสิบเอ็ดขวบ

“หนูจะไปดูให้ค่ะแม่” เธออาสา

คนที่มาคือคนขายแปรง ก็แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ซูซานรีบเดินไปตามทางในห้องโถงพลางเช็ดมือบนผ้าเช็ดจานเพื่อช่วยลูกสาว

“ใครมาจ๊ะลูก”

“อ๋อ ผู้ชายที่มาขายแปรงค่ะ...” เธอตอบอย่างระมัดระวัง

หลังจากพูดคุยกันประมาณห้านาที แม่ของเมแกนก็เชิญเขาเข้ามาในบ้านเพื่อให้เขานำเครื่องใช้ของเขามาให้เธอดู

“แม่คะ อย่าให้เขาเข้ามา!”

“อย่างี่เง่าหน่อยเลยน่า” แม่ของเธอตอบ “เป็นอะไรของลูกเนี่ย”

“แต่แม่คะ” เธอพูด “ดูจากสีผิวของเขาก็รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดีมาก ๆ”

เมแกนยังไม่รู้จักคำว่า ‘มิจฉาชีพ’ แม่ผลักเธอไปด้านข้าง ขณะเปิดทางให้คนขายของเดินผ่านโถงทางเดินแคบ ๆ ไปยังห้องรับแขก

“มาทางนี้” แม่ของเธอพูด “ขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ แต่คุณก็รู้ว่าเด็ก ๆ เป็นยังไง... เด็ก ๆ มักพูดอะไรประหลาด ๆ ออกมา ใช่ไหมล่ะคะ คุณมีลูกไหมคะ คุณ...”

ตอนนั้นเมแกนเดินปรูดปราดขึ้นข้างบนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ไม่ใส่ใจคำแนะนำของเธอ และเมแกนคิดว่าเธอรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรเมื่อบ้านปราศจากสายตาที่สอดรู้สอดเห็น

เมื่อประตูบ้านปิดหลังจากที่คนขายแปรงออกไป เมแกนก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนขึ้นมาหาเธอ

“เมแกน ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้เลยนะ! ได้ยินไหม”

เธอลุกพรวดพราดออกจากเตียง สวมรองเท้าแตะแล้วค่อยๆ เดินลงไปหาแม่ซึ่งอยู่ในห้องครัวแล้วในตอนนั้น

“ทำไมถึงชอบทำให้ฉันขายหน้าแบบนั้นอยู่เรื่อย”

“หนูมองเห็นแสงที่เป็นสีอยู่รอบตัวเขาค่ะ มันมืด น่ากลัว แล้วก็หมุนไปรอบ ๆ เหมือนน้ำล้างจานสกปรก ๆ กำลังไหลลงรูท่อระบาย...”

“ไม่ต้องมาเริ่มพูดเรื่องเหลวไหลนั่นอีกครั้งนะ” ฉันบอกมาเป็นพัน ๆ ครั้งแล้วว่าไม่มีแสงมีสีอยู่รอบตัวคน แกเป็นคนเดียวที่ฉันรู้จัก หรือที่เคยรู้จักในชั่วชีวิตนี้ ที่พูดว่ามีแสงหมุนวนรอบตัวคนและแกจะต้องหยุดพูดเรื่องนี้ซะที” เข้าใจไหม หยุดเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นแกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...”

“ค่ะแม่ แต่ว่าเขาเป็นคนไม่ดี...” หนูรู้ หนูคิดว่าเขาแค่ขายแปรงเพื่อให้ได้เข้ามาในบ้าน แล้วก็ดูว่ามีอะไรบ้าง”

“จะหุบปากไหม! แกไม่มีสิทธิ์จะเที่ยวไปกล่าวหาคนบริสุทธิ์ว่าเป็นคนไม่ดี แกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นสักนิด ฉันไม่ได้โง่นะ เวลาที่ฉันเจอคนไม่ดีฉันก็รู้ว่าเป็นคนไม่ดี และเขาก็เป็นคนหนุ่มที่นิสัยดีและมีเสน่ห์ ถ้าฉันคิดว่าเขามีอะไรที่ไม่ดี แกคิดว่าฉันจะยอมให้เขาเข้ามาในบ้านของฉันไหม แกคิดไหม แกคิดไหมว่าแม่ของแกจะโง่ขนาดนั้น”

เมแกนก้มหน้ามองรองเท้าแตะ พินิจพิจารณาลวดลายตารางหมากรุก เธอส่ายหน้า “เปล่าค่ะแม่ แต่หนูแค่พยายามจะช่วย”

“เอาล่ะ อย่างน้อยแกก็หวังดี ถ้าแกอยากจะช่วย ก็ช่วยด้วยวิธีอื่นสิ การทำให้ฉันขายหน้าในที่สาธารณะไม่ใช่การช่วย ทีนี้ก็ออกไปเล่นข้างนอกซะ ฉันจะต้องเตรียมน้ำชาให้พ่อแก ไม่งั้นเกิดปัญหาแน่ตอนที่เขากลับมา ไปได้แล้ว แล้วอย่าให้ได้ยินเรื่องแสงมีสีที่อยู่รอบตัวคนอีกนะ ได้ยินไหม”

“ค่ะแม่”

เมแกนออกไปข้างนอกแล้วนั่งลงบนชิงช้าที่พ่อของเธอทำให้ที่ในสวน ขณะที่แกว่งชิงช้าไปข้างหน้าและข้างหลังเล็กน้อยอย่างเอื่อยเฉื่อย เธอก็คิดถึงคนขายของคนนั้นกับแสงมีสี

เธอรู้ว่ามีคนอื่น ๆ ที่มองเห็นแสงมีสีได้เหมือนกัน เพราะเธอเคยคุยกับเด็กคนอื่น ๆ เรื่องนี้มาก่อน มีเพื่อนของเธอคนสองคนที่มองเห็น แต่ส่วนใหญ่มองไม่เห็น ดูเหมือนว่าในบรรดาเพื่อนทุกคน เธอมองเห็นแสงมีสีได้ชัดเจนที่สุด บางคนสามารถมองเห็นแสงสลัวหากว่าพวกเขาเพ่งมอง แต่เมแกนมองเห็นชัดเจนตลอดเวลาและเธอพยายามอย่างหนักที่จะดับแสงเหล่านั้น

เธอไม่ได้ตระหนักอย่างเต็มที่ว่าพวกมันหมายความว่าอย่างไร แต่เธอได้เรียนรู้บางสิ่ง อย่างแรกเลยก็คือ แสงสว่างดูเหมือนจะดีกว่าแสงที่มืดทึม ดูเหมือนว่าสีเหลืองสด สีทอง และสีส้ม จะหมายถึงความสุขและความเปิดเผย ราวกับว่าคนคนนั้นมีความสุขที่พบคุณและไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย สีมืดทึม หม่นหมอง สีน้ำตาล หรือสีเทา ดูเหมือนว่า จะหมายถึงผู้คนที่ทุกข์ใจ มุ่งร้าย หรือบางครั้งก็เป็นแค่คนที่อารมณ์ไม่ดี อย่างเช่น แม่ของเธอในตอนนี้

สีสันที่หมุนวนหมายถึงคนคนนั้นกำลังคิด... เธอคิดว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น แต่เธอยังไม่แน่ใจ สีสันสดใสที่หมุนวนอาจหมายถึงกำลังคิดถึงสิ่งดี ๆ และสีสันมืดทึมที่หมุนวนหมายถึงกำลังคิดร้าย นั่นคือเธอสิ่งที่เธอเห็นรอบกายคนขายของ

แม่ของเธออาจจะพูดถูกก็ได้ว่าเธอไม่ควรกล่าวหาคนขายของว่ามีเจตนาชั่วร้าย เพราะตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าแสงทั้งหมดหมายถึงอะไรอยู่ดี

แต่เธอสังเกตเห็นว่า เมื่อใครสักคนทำให้ตัวเองเจ็บ เช่น อาจจะหกล้ม บริเวณที่เจ็บจะเป็นสีเข้มเหมือนรอยฟกช้ำบนผิวหนัง เธอยังเคยเห็น ‘สีฟกช้ำ’ บนอวัยวะของผู้คนอีกด้วย เช่น ของหญิงชราข้างบ้าน เธอมีรอยเปื้อนสีน้ำตาลอมม่วงจาง ๆ ที่ด้านซ้ายของตรงกลางหน้าอก แต่เธอบอกว่ารู้สึกสบายดีเมื่อเมแกนเอ่ยถาม

ที่จริงเมแกนถามเธอหลายวันติดต่อกันเพื่อดูว่าเธอยังคงรู้สึกดีเหมือนที่พูดหรือไม่ เมแกนสงสัยว่านั่นคือความเจ็บป่วยระยะเริ่มต้นที่หญิงชราไม่รู้ตัวว่าเธอมีอยู่หรือเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นมะเร็งที่เธอเคยได้ยินมาซึ่งใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา

เมแกนคิดขึ้นมาว่าน่าจะมีชั่วโมงเรียนเกี่ยวกับแสงมีสี เพราะมันจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าเรียนคณิตศาสตร์เสียอีก เมแกนเกลียดคณิตศาสตร์และตัดสินใจแล้วว่าเมื่อโตขึ้นเธอจะไม่มีวันทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์เด็ดขาด

เธอหัวเราะเสียงดังอยู่คนเดียว แต่แม่ของเธอกำลังเฝ้าดูเธอจากหน้าต่างตรงอ่างล้างจานในครัวและสงสัยว่าลูกสาวของตนสติดีอยู่หรือเปล่า บางครั้ง เธอสงสัยด้วยซ้ำไปว่าเมแกนเป็นลูกของเธอกับสามีหรือไม่ เธอเกลียดตัวเองเมื่อความคิดดังกล่าวเบียดเสียดเยียดยัดเข้ามาในจิตใจ แต่มันก็กลับมาเป็นครั้งคราว

ซูซานนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘ทายาทซาตาน’ และพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่เธอคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ร้ายกาจ ใจแคบ น่ากลัว และยอมรับไม่ได้ของผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงที่ถ้าไม่มีเรื่องดังกล่าวก็จะเป็นเด็กดี ซื่อตรง สดใส ชอบช่วยเหลือ และเต็มไปด้วยความรัก

เพียงแต่ว่าเมแกนชอบถามคำถามแปลก ๆ และพูดเรื่องประหลาด ๆ ประมาณหนึ่งในสี่ของตัวเธอไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ และเธอผู้เป็นแม่แท้ ๆ ไม่รู้ว่าจะรับมือได้อย่างไร เธอตั้งท่าจะถามโรเบิร์ตมาแล้วเป็นร้อยครั้ง แต่เธอแน่ใจว่าเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ

เธอเคยไปไกลถึงขั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ในยามที่ไม่มีรายการน่าสนใจทางโทรทัศน์มาเบี่ยงเบนความสนใจของเขา

“โรเบิร์ต...” เธอเริ่มพูดอย่างลังเล “เมแกนบอกว่าตอนกลางคืนเธอนอนไม่หลับเพราะเธอ... เอ่อ บอกพ่อไปสิลูก ฟังนะโรเบิร์ต พูดเลยเมแกน บอกพ่อเรื่องที่ลูกเล่าให้แม่ฟังเมื่อวันก่อน”

เมแกนตะกายขึ้นไปบนตักพ่อแล้วซุกตัวอิงแอบขณะที่เขาโอบกอดเธอ

“มีอะไรลูก มีปัญหาที่โรงเรียนเหรอ”

เมแกนรักพ่อ เธอรักแม่ด้วยเช่นกัน แต่เธอรู้ว่าพ่อจะไม่มีวันขังเธอไว้ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดินเด็ดขาด ไม่มีวัน...

“เปล่าค่ะพ่อ ไม่เกี่ยวกับโรงเรียน หนูรักโรงเรียน รักทุกอย่างเลยยกเว้นเลข... หนูเกลียดวิชานี้ ครูเจนกินส์น่าเบื่อมาก แต่มันเกี่ยวกับตอนที่หนูเข้านอนค่ะ ตอนที่หนูเข้านอน หนูขึ้นไปบนเตียง นอนลง แล้วก็พยายามจะง่วงนอน แล้วพอหนูกำลังจะเคลิ้มหลับก็จะมีคนเริ่มพูดกับหนู บางทีพวกเขาก็พูดกับหนู บางทีพวกเขาก็คุยกันเอง แต่พวกเขาอยากให้หนูฟังค่ะ” หนูไม่ได้แอบฟังนะคะพ่อ หนูพูดจริง ๆ”

เธอเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อให้พินิจพิเคราะห์ใบหน้าและแสงของเขาได้ดีขึ้นเพราะว่ามันผสมผสานกับแสงของเธอเอง อย่างไรก็ตาม นั่นคืออีกสิ่งที่เธอกำลังเรียนรู้ เมื่อแสงของเธอหลอมรวมกับของคนดีเธอก็จะรู้สึกดี และเมื่อแสงของเธอผสานรวมกับของคนที่มีปัญหา เธอจะรู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วน เขินอาย หรือแม้กระทั่งหวาดกลัว นั่นคืออีกสิ่งที่เธอยังไม่ได้หาคำตอบ แต่เธอรู้สึกดีเสมอในอ้อมแขนของพ่อ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ได้เป็นครั้งแรก

“ลูกได้ยินเสียงครอบครัวเจมส์ทะลุผ่านกำแพงหรือเปล่า ลูกคิดแบบนั้นไหม ลูกรัก พวกเขาทะเลาะกันแล้วก็ตะโกนใส่กันเป็นประจำ บางทีพวกเขาอาจจะทะเลาะกันเสียงดังอีกแล้วก็ได้ พ่อคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“ไม่ใช่ค่ะพ่อ ไม่ใช่ครอบครัวเจมส์ หนูจำเสียงของพวกเขาได้ คุณนายเจมส์ที่แก่ชรามีเสียงที่ตลกเหมือนแมวร้องเวลาโดนเหยียบหาง”

พ่อของเมแกนหัวเราะเมื่อได้ยินเธอเลียนแบบเสียงแหลม ๆ ของคุณนายเจมส์

“แล้วลูกคิดว่าเป็นเสียงอะไรกันล่ะ”

“อ๋อ หนูรู้ว่าเสียงอะไรค่ะพ่อ เสียงคน เป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน บางครั้งหนูก็มองเห็นพวกเขาได้ แต่ส่วนใหญ่หนูจะได้ยินอย่างเดียวค่ะ”

ชนพื้นเมืองอเมริกันงั้นเหรอ บนถนนของเรา พ่อไม่เคย... แล้วไงต่อ ชนพื้นเมืองอเมริกันมีอะไรที่ต้องพูดกับลูกสาวตัวน้อยของพ่อในห้องนอนของเธอในตอนกลางคืนกันล่ะ”

“อ้อ พวกเขาเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันที่นิสัยดีค่ะ ไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นในหนังคาวบอยอเมริกันเก่า ๆ ทางทีวี ที่จริง มีผู้ชายคนหนึ่งบอกหนูว่าอย่าดูหนังเก่า ๆ พวกนั้นเพราะมีแต่เรื่องที่ไม่จริงเกี่ยวกับเขาและผู้คนของเขา เขาบอกว่ามันเป็นโฆษณาเชื้อเชิญอะไรทำนองนั้นค่ะ”

“โฆษณาชวนเชื่อรึ จริงรึ มีชนพื้นเมืองอเมริกันที่เป็นนักวิจารณ์หนังอยู่ในบ้านเรา ใครจะไปคิดกันล่ะ แต่พ่อก็ค่อนไปทางเห็นด้วยกับเขานะ ไม่ว่าคนที่บอกลูกแบบนั้นจะเป็นใครก็ตาม ฟังดูเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล เขาชื่ออะไรล่ะ เพื่อนลูกที่เป็นนักวิจารณ์หนังชาวพื้นเมืองอเมริกันคนนี้”

“คนนั้นชื่อวาซินฮินชาค่ะ หรือขนนกสีขาวในภาษาอังกฤษ” เขาเป็นชาวซิอูซ์ กว่าหนูจะจำชื่อเขาได้ก็ตั้งนาน และเราก็หัวเราะแล้วหัวเราะอีกเวลาที่หนูเรียกชื่อเขาผิด เขาบอกว่าบางครั้งชื่อที่หนูเรียกเขามันแย่สุด ๆ เวลาที่หนูจำผิด... เขาเป็นคนที่หนูเจอบ่อยที่สุด เขาตลกดีค่ะ”

“แล้ววาซิน... ขนนกสีขาวพูดอะไรกับลูกล่ะ เมแกน”

“ทุกอย่างเลยจริง ๆ ค่ะพ่อ” บางครั้งเขาก็เล่าถึงชีวิตในอดีตของเขาให้หนูฟัง บางครั้งเขาก็เล่าเรื่องที่เขาบินเหมือนนก หรืออะไรทำนองนั้น เราแค่คุยกันค่ะ

“แล้วขนนกสีขาวอายุเท่าไหร่ล่ะ”

“อืม...เขาค่อนข้างแก่ค่ะ แต่หนูไม่รู้หรอกว่าอายุเท่าไหร่” แม่บอกว่าการถามคนอื่นว่าอายุเท่าไหร่เป็นเรื่องที่หยาบคาย แต่หนูเดาว่าเขาอายุประมาณห้าสิบหรือหกสิบ...พอ ๆ กับพ่อน่ะค่ะ”

“ขอบใจมากเลยจ้ะเมแกน พอแค่สี่สิบสองเอง...”

“ถ้างั้นขนนกสีขาวก็อาจจะอายุสี่สิบสองเหมือนกัน”

“ลูกคิดว่าจะมีสักคืนที่พ่อจะได้เจอเพื่อนคนนี้ของลูกไหม”

“ไม่รู้สิคะ หนูว่าคงต้องขึ้นอยู่กับวาซินฮินชาล่ะมั้ง แต่หนูก็ไม่เห็นว่าทำไมจะไม่ได้ ถ้าพ่ออยากเจอเขาจริง ๆ ล่ะก็”

“เอาล่ะ ลูกรัก ตอนนี้ลูกไปก่อนนะ พ่อจะต้องคิดถึงเรื่องนี้และคุยกับแม่ ขอบใจนะที่เล่าให้พ่อฟังเรื่องวาซิน... ขนนกสีขาว ท่าทางเขาเป็นคนที่น่าสนใจมากนะ อย่าลืมช่วยแม่ทุกเมื่อที่ลูกทำได้ นั่นแหละคือเด็กดี”

“หนูเป็นเด็กดีค่ะพ่อ หนูพยายามช่วยแม่”

“พ่อรู้ว่าลูกพยายาม ลูกรัก ก็ลูกเป็นเด็กดีนี่นา ลูกเป็นผู้ช่วยตัวน้อย ๆ ของแม่”

และสิ่งที่โรเบิร์ตทำก็แค่พูดว่าเมแกนมีจินตนาการที่บรรเจิดและเต็มเปี่ยม และสุดสัปดาห์ต่อมาเขาตกแต่งห้องของเมแกนใหม่ด้วยวอลล์เปเปอร์ที่มีรูปกระโจมที่พักของชนพื้นเมืองอเมริกันและรูปชนพื้นเมืองอเมริกันนั่งบนหลังม้ากำลังทอดมองจากยอดเขาลงไปที่พื้นราบ

“เอาล่ะ” เขาอธิบายกับซูซาน “เมื่อไหร่ก็ตามที่เมแกนพูดถึงชนพื้นเมืองอเมริกันอีก ก็แค่บอกว่าสิ่งที่เธอเห็นคือวอลล์เปเปอร์ บอกเธอว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นจริง ๆ”

และโรเบิร์ตคิดว่าเรื่องนั้นสิ้นสุดแล้ว ปัญหาได้รับการแก้ไข ‘แต่เขาไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เธอทำและพูดตลอดทั้งวันนี่นา’ ซูซานคิดเช่นนั้น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status