“จริงเหรอ? งั้นก็ขอบคุณประธานฉินมาก นอกจากนี้ ขอแสดงความยินดีกับประธานฉินที่จะได้สาวงามกลับมาไว้ในอ้อมแขนล่วงหน้า”เป็นเลขาเหรอ?นั่นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเธอสิ่งที่เธอต้องการ ก็คือความสำเร็จที่โดดเด่นกว่าคนอื่น!และจะกลายเป็นดอกไม้ที่ทรงอำนาจที่หายากในแวดวงธุรกิจเจียงจง!ใครบ้างที่จะไม่อยากปีนขึ้นไป?หลังจากวางสายแล้ว หลี่เซียวลี่ก็เหลือบมองออฟฟิศของซีอีโออย่างมีเลศนัย แล้วเดินออกจากห้องน้ำอีกฝั่งของโทรศัพท์ปลายสายฉินเฟิงนั่งบนโซฟา มีคนโอบกอดซ้ายขวา มือข้างหนึ่งคีบซิการ์ มือข้างหนึ่งถือไวน์ตรงด้านหน้า มีชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าดุร้าย ผิวออกจะคล้ำๆนั่งอยู่บนตัว มีจิตอันเย็นยะเยือกและรังสีอำมหิตอันน่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่บนโต๊ะยังมีกองธนบัตรวางซ้อนกองกันเป็นตับๆ ดูเหมือนว่าจะมีมูลค่าเป็นสิบล้านบาทฉินเฟิงสูบซิการ์ ด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้า: “เหลากุ่ย ทำงานได้ไม่เลวเลย แต่สิ่งที่ฉันอยากจะซื้อในคืนนี้ก็คือมือทั้งสองข้างของเขา แค่เผาร้านของเขา คงจะยังไม่เพียงพอ”เหล่ากุ่ยแสยะยิ้ม เผยรอยเลวร้ายอันเย็นชาออกมา น้ำเสียงต่ำทุ้มแหบแห้ง แล้วพูดว่า: “ประธานฉิน
เมื่อทั้งสองได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนว่า “ไม่ไม่ไม่ พวกเราจะไม่พูด ไม่พูด...”“ดีมาก” เซียวเป่ยยิ้มแย้ม นั่งลงอีกครั้ง แล้วถามว่า “บอกมานะ ว่าใครใช้พวกแกมา?”“เหลากุ่ย... เหลา เหลา เหลากุ่ย!”หนึ่งในนั้นรีบตะโกนพูดอย่างตะกุกตะกัก เพราะกลัวว่าจะพูดช้าไปก้าวหนึ่ง แล้วจะถูกเซียวเป่ยเหยียบเข่าจนเละ“ใช่ใช่ใช่ พี่กุ่ย พี่กุ่ยให้พวกเรามา”อีกคนหนึ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้า แย่งตะโกนว่า “เขาให้พวกเรามาตัดมือทั้งสองข้างของคุณ แลกกับเงินหนึ่งล้านบาท”“เงินหนึ่งล้านบาท ซื้อมือทั้งสองข้างของฉันงั้นเหรอ?”เซียวเป่ยขมวดคิ้ว และพูดอย่างเย็นชาว่า: “ฉันน่าจะไม่เคยทำให้คนที่พวกแกเรียกว่าเหล่ากุ่ยขุ่นเคืองใจนะ?”ทั้งสองคนส่ายหัว และพูดอย่างคลุมเครือว่า: “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราทำงานเสร็จก็รับเงิน รายละเอียดต่างๆ คุณต้องถามพี่กุ่ยเองแล้ว”“เขาอยู่ที่ไหน?”เซียวเป่ยเอ่ยปากถาม ด้วยนัยน์ย์ตาที่แฝงไปด้วยความเย็นชา “ไม่รู้ ที่อยู่ของพี่กุ่ยมักจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ เวลาติดต่อพวกเรา ก็ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์” อีกคนเอ่ยปากพูดเซียวเป่ยพยักหน้า ยื่นมือออกมาแล้วพ
“เด็กเวร มาเร็วเหมือนกันนี่ คนของฉันอยู่ที่ไหน?”เหลากุ่ยถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเซียวเป่ยเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า แล้วเดินไปด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ กวาดสายตามองไปที่ลูกสมุนทั้งหลายที่อยู่ในห้องส่วนตัวหนึ่งรอบ พอยืนยันตำแหน่ง และอาวุธที่พวกเขาสามารถใช้ได้ในตอนนี้แล้ว จึงเข้าไปนั่งที่ตรงหน้าเหลากุ่ย นั่งไขว่ห้าง ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ถูกฉันมัดเอาไว้แล้ว”“เพี้ยะ!”เหลากุ่ยเอาตบมือไปที่บนโต๊ะกาแฟด้วยความโกรธ และตะคอกว่า: “ไอ้เด็กเวร! กล้าแตะต้องคนของฉัน ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ คืนนี้อย่าคิดว่าจะเดินออกไปจากที่นี่ได้ !”ทันทีที่พูดจบ ลูกสมุนเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่รอบๆ ก็รายล้อมเข้ามาพร้อมด้วยรังสีอำมหิต และสีหน้าที่ดุร้าย ขณะเดียวกันก็ดึงกริชที่ส่องแสงวาววับอันน่ากลัวออกมาจากระหว่างเอวของพวกเขาเซียวเป่ยไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขามัวแต่รินไวน์หนึ่งแก้วให้กับตัวเอง ดื่มเข้าไปหนึ่งอึก แล้วถามกลับไปว่า: “เหลากุ่ยใช่มั้๊ย? พวกเราน่าจะไม่เคยบาดหมางใจกันนะ?ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ มีคนอยู่เบื้องหลังคุณใช่มั้๊ย ”“ให้โอกาสคุณหนึ่งครั้ง บอกฉันม
เซียวเป่ยยิ้มอย่างเย็นชา แล้วนั่งอย่างสงบนิ่งตรงที่เหลากุ่ยเคยนั่งก่อนหน้านี้ พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า: “ตอนนี้จะบอกมาได้หรือยัง?"เหลากุ่ยกลืนน้ำลายอึกๆ แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า: “ลูกพี่เซียว ใช่ว่าผมจะไม่อยากพูด แต่ผมพูดไม่ได้ ทำอาชีพอย่างพวกเรา มีกฎเกณฑ์ข้อนี้อยู่”“ถ้าผมบอกไป ก็อย่าคิดว่าจะอยู่ที่เจียงจงได้อีกต่อไป”“ลูกพี่เซียวได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ.....ต่อไปให้ผมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ ตอบแทนลูกพี่เซียวไม่ได้เหรอ?”เซียวเป่ยขมวดคิ้ว และพูดอย่างไม่พอใจว่า: “จำไว้ ต่อจากนี้ไป กฎเกณฑ์ของฉันถึงจะเป็นกฎเกณฑ์ที่แท้จริง!”“ถ้าไม่บอก ฉันก็จะฆ่าแกเดี๋ยวนี้เลย!”“ฉันให้เวลาแกสามนาที คิดไตร่ตรองให้ชัดเจน”กึกกึก!เหลากุ่ยสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว เพราะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันท่วมท้นที่มาจากตัวของเซียวเป่ยไอ้หนุ่มคนนี้ กล้าฆ่าคนจริงๆหรือ?เหลากุ่ยสมองตื้อ เหงื่อเย็นที่อยู่มุมหน้าผาก ไหลลงมาทีละหยดเวลา ผ่านไปนาทีต่อนาทีตอนที่เหลากุ่ยใกล้จะยืดหยัดไม่ไหว ต้านทานต่อกลิ่นอายไอความกดดันสุดขีดที่อยู่บนตัวของเซียวเป่ยไม่ได้ ประตูห้องส่วนตัวก็ได้ถูกผลักออกอีกครั
เมื่อเซียวเป่ยได้ยินดังนี้ ก็ส่ายหัว และพูดอย่างเย็นชาว่า: “ไม่ปล่อย”คิ้วของอู๋อวิ๋นเหอขมวดกันอย่างเย็นชา แล้วพูดตำหนิไปว่า: “พูดเตือนดีๆไม่ชอบชอบให้ใช้กำลังบีบบังคับงั้นเหรอ?”“แล้วไงล่ะ” เซียวเป่ยพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา เหลากุ่ยที่นอนอยู่บนพื้น ก็ตกใจมากจนฉี่ราด!ไอ้หนุ่มคนนี้ บ้าไปแล้ว!แม้แต่ท่านอาจารย์อู๋อวิ๋นเหอก็ไม่อยู่ในสายตา?รู้มั้๊ยว่า ในเจียงจง อู๋อวิ๋นเหอแค่พูดลอยๆ ก็สามารถทำให้คนตายโดยที่ไม่รู้ตัวได้แล้วเขากล้าดียังไงถึงทำแบบนี้?แต่ว่า เหลากุ่ยก็ยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจในเมื่อทำให้ท่านอาจารย์อู๋ขุ่นเคืองใจ นั่นก็หมายความว่า ไอ้เด็กเวรเซียวเป่ยนี่จะไม่สามารถเดินออกไปแบบยังมีชีวิตได้สีหน้าของอู๋อวิ๋นเหอดำคล้ำลง เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งสุดขีด ตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธว่า: “พ่อหนุ่ม! บ้าบิ่นเกินไปไม่ใช่เรื่องดี! พ่อหนุ่มคิดว่าความรู้ผิวเผินที่ตนเองเรียน กับความสามารถเท่าหางอึ่งที่ตนเองมี ก็จะสามารถทำเป็นโอหังมองไม่เห็นหัวผู้อื่นได้แล้วเหรอ? หลักการเหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือคนยังมีคน? พ่อหนุ่มไม่เข้าใจเหรอ?”“วั
กึกๆ!เมื่อเห็นอู๋อวิ๋นเหอถูกเซียวเป่ยตบพลิกคว่ำลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว มุมปากของเหลากุ่ยก็กระตุก อ้าปากค้างตาเบิกโพลง!เขาจ้องมองไปที่เซียวเป่ยที่ร่างกายสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเซื่องซึม อกสั่นขวัญแขวนและหวาดกลัว นั่นเป็นท่านอาจารย์อู๋จากสำนักวิทยายุทธ์เทียนเหลยเชียวนะ!แต่กลับถูกคู่ต่อสู้ตบลอยกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือเดียว...แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสู้กลับได้เลยแม้แต่น้อย!ไอ้เด็กคนนี้ เป็นใครมาจากไหนกันนะ?จิตอันหนาวเย็น ไล่ไปจากแต่ก้นกบ ไปจนถึงยอดหัวกระโหลกของเหลากุ่ยเกือบจะวินาทีต่อมา น้ำเสียงราวกับว่าเป็นเทพแห่งความความตายของเซียวเป่ยก็ดังขึ้น: “ตอนนี้ แกจะพูดได้หรือยัง?”อึกๆ!เหลากุ่ยกลืนน้ำลายอย่างแรง สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น เอาหัวโขกพื้นดังพลั่กๆแล้วตะโกนว่า “ยอดฝีมือได้โปรดเมตตาด้วย ผมพูด ผมพูด...”“ ประธานฉินฉินเฟิงแห่งหลินซื่อกรุ๊ปสั่งให้ผมทำ เขาให้เงินผมสิบล้านบาท เพื่อซื้อมือทั้งสองข้างของคุณ”ในขณะนี้ เหลากุ่ยหวาดกลัวจริงๆเป็นความหวาดกลัวที่ออกมาจากในใจ“ฉินเฟิง?” เซียวเป่ยขมวดคิ้วที่แท้คนที่อยู่เบื้องหลั
ซูหว่านเอาโทรศัพท์มือถือตบลงไปบนโต๊ะ พ่นลมหายใจออกทางปาก พูดอย่างเย็นชาว่า “ ฉันรู้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกมั้ย?”“มีค่ะ”หลี่เซียวลี่กล่าว พร้อมดึงเอกสารฉบับหนึ่งออกจากมาอ้อมแขน พูดอย่างวิตกกังวลว่า “นี่คือเอกสารความร่วมมือกับถังซินกรุ๊ป อีกฝ่ายค้างชำระเงินพวกเรามาเป็นเวลาสามเดือนแล้ว หากยังเอาเงินกลับคืนมาไม่ได้อีก บริษัทของพวกเราอาจจะต้องขาดทุนกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาท”ซูหว่านขมวดคิ้วโครงการความร่วมมือกับถังซินกรุ๊ป ทำให้เธอลำบากใจมาเป็นเวลาสามเดือนแล้วจริงๆอีกฝ่ายค้างชำระเงินมาโดยตลอด เงินลงทุนของโครงการ ปิงฉิ้นกรุ๊ปสำรองจ่ายไปก่อนทั้งหมดไปขอให้ชำระเงินหลายครั้งแล้ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายหาเหตุผลต่างๆนานามาปฏิเสธตลอดซูหว่านกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ยังไงซะถังซินกรุ๊ปก็เป็นบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทชั้นนำในเจียงจง ซึ่งเป็นบริษัทของตระกูลถังท่านผู้เฒ่าแห่งตระกูลถังผู้นั้น เป็นคนที่เด็ดขาดมาก!“ลองคิดหาวิธี นัดหมายกับผู้จัดการที่รับผิดชอบของพวกเขาอีกครั้ง ฉันจะไปเจรจาด้วยตนเอง” ซูหว่านกล่าว“ได้ค่ะ” หลี่เซียวลี่ตอบรับ“ประธานซูคะ ประธานฉินบอกว่า ตอนบ่ายหก
ยาขวดนี้ เป็นยาที่เซียวเป่ยเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้เพราะกังวลว่าตอนเช้าซูหว่านจะยุ่ง จนไม่มีเวลากินอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางสารอาหาร จึงได้ทำไว้ในกรณีฉุกเฉินคิดไม่ถึงว่า ตอนนี้จะได้ใช้มันแล้ว ซู่หว่านเอามือกุมหน้าอก เปิดลิ้นชักด้วยสองมือที่สั่นเทา ควานเอาขวดเล็กๆขวดหนึ่งออกมา แล้วเปิดฝาขวดด้วยสีหน้าเจ็บปวดมาก แต่เพราะว่าหัวใจของเธอเจ็บปวดมากเกินไป จึงไม่ทันได้ระวัง เสียงดังซ่าๆ ขวดหนึ่งมียาประมาณสิบเม็ด ทั้งหมดต่างก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเธอคุกเข่าลงอย่างสั่นเทา หยิบยาหนึ่งเม็ดขึ้นมาแล้วกลืนมันลงไปทางด้านเซียวเป่ย ได้ยินแค่เพียงเสียงซ่าๆดังมาจากในโทรศัพท์ และเสียงรบกวนต่างๆนานา เตรียมขึ้นแท็กซี่อย่างกระวนกระวายใจ พร้อมตะโกนว่า “เสียวหว่าน คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย? เป็นยังไงบ้าง?”เวลาผ่านไปนานสองนาน ก็ได้ยินเสียงลมหายใจหอบเหนื่อยของซูหว่านดังมาจากปลายสาย พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ฉัน ฉันไม่เป็นไร...”เซียวเป่ยถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกบางที แม้แต่เซียวเป่ยเองก็ไม่รู้ว่า ท่าทางของเขาเมื่อสักครู่นี้ ดูกังวลและร้อนใจมากแค่ไหนเซียวเป่ยยืนอยู่ที่ประตูร