คนที่อยู่ตรงนั้นคือหยวนหยงอี้ นางไมไว้ใจฉู่หมิงชุ่ย นางคิดเสมอว่าคนผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรออกมาอีกคำพูดของฉู่หมิงชุ่ยที่ดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างแจ่มชัดแววตาของนางเย็นเยือกขึ้นในทันที พร้อมแรงกระตุ้นที่คิดจะสังหารฉู่หมิงชุ่ยไปซะวันรุ่งขึ้น นางไปจวนอ๋องฉู่ และนำคำพูดนั้นไปบอกเล่าให้อาซื่อฟัง และกล่าวว่า “ช่วงนี้พระชายาออกไปข้างนอก ทางที่ดีเจ้าควรอยู่ข้างกายนาง อย่าได้ลดการระมัดระวังโดยเด็ดขาด”อาซื่อกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ “นี่นางยังคิดจะฆ่าพระชายาอีกรึ? ทำไมนางไม่ตาย ๆ ไปซะ? นางยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีกหรือไร?” หยวนหยงอี้จึงกล่าวต่อไป “คนบางคนถ้าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นหายนะในที่สุด เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว อย่าให้นางมีช่องว่างฉวยโอกาสมาทำร้ายพระชายาได้”อาซื่อเอ่ยถามนาง “จะไม่บอกพระชายาหรือ?”หยวนหยงอี้คิดอยู่พักหนึ่ง “บอกท่านอ๋องเถอะ อย่าได้บอกพระชายาเลย ทำให้นางตกใจเสียเปล่า”อาซื่อจึงตอบกลับ “ใช่ ทำพระชายาตกใจไม่ได้ ช่วงนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดีนัก”หยวนหยงอี้เป็นห่วงพี่หญิงฉู่หวาง “เรื่องราวในจวนอ๋องฉีช่วงนี้ จวนอ๋องฉู่ต้องพลอยมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หยวนชิงหลิงเหลือบตามองนางที่อยู่ด้านข้าง นางยิ้มแย้มอ่อนหวานอ่อนโยนเหมือเทพธิดา แวบแรกที่ได้เห็นรู้สึกชวนขนลุกนัก ทำให้ใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอวี่เหวินห่าวไม่มองนาง และจูงมือหยวนชิงหลิงเดินเข้าไปด้วยกันข้างในอ๋องซุนนั้นสวมชุดพญางูสีน้ำเงินที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดี เพื่อแสดงถึงฐานะ ที่เอวคาดด้วยเข็มขัดทองคำ และหยกคาดเอวประดับรอบหน้าท้องกลมเอาไว้ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน ฟังพระชายาซุนที่อยู่ด้านข้างพูดคุยด้วยแววตาที่เป็นประกายพระชายาซุนที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นเปล่งรัศมีกล้าหาญ ดูน่าเกรงขาม กลับกันกับอ๋องซุนที่ดูตัวเล็ก อ่อนแอ น่าสงสาร ใสซื่อ และยังอ้วนท้วมอีกด้วยเมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา แววตาเขาก็เปล่งประกายขึ้น และรีบกล่าวว่า "ไม่ต้องพูดหรอก แขกก็ยิ่งมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ”พระชายาซุนหันกลับมาเห็นพวกเขา ก็รีบลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าจับมือหยวนชิงหลิง “ทำไมเพิ่งมากันเล่า? นึกว่าพวกเจ้าจะมาเร็วกว่านี้ซะอีก”หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เก็บกวาดนานไปหน่อย เลยมาช้าน่ะเพคะ”พระชายาซุนจูงนางไปข้าง ๆ และพูดเสียงเบาลงว่า “พระชายาฉีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนางถึ
หยวนชิงหลิงกล่าวว่า “ไม่ต้อง ให้อาซื่อไปกับข้าก็ได้แล้ว อาซื่ออยู่หน้าประตู ท่านอยู่คุยกับพี่รองก่อนเถิด”อ๋องซุนสอดมือกอดอกในแขนเสื้อของตัวเอง และกล่าว “ไม่ต้อง ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักครู่”ในแขนเสื้อเขาซ่อนขนมรังนกไว้อยู่นานแล้วอวี่เหวินห่าวกับหยวนชิงหลิงออกไป เมื่อเห็นว่าฉู่หมิงชุ่ยที่อยู่ในนั้น เขาจึงตามประกบหยวนชิงหลิงไม่ให้ห่างกาย และไม่ให้คลาดสายตาทั้งคู่ยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เห็นองค์หญิงหลายพระองค์เสด็จมา และฉู่หมิงชุ่ยก็ก้าวออกไปทักทายก่อนหยวนชิงหลิงสังเกตฉู่หมิงชุ่ยจากระยะไกลนางสวมชุดกระโปรงหรูฉวินปักลายกุหลาบแดงพันเถา คลุมทับด้วยผ้าคลุมปักลายดอกไม้ เกล้ามวยผมทรงเมฆลอย ประดับปิ่นเมฆา และปิ่นทองดอกไม้ไหว ทุกการเคลื่อนไหวดูสง่างามหรูหรา ไม่เสียเสน่ห์ของหญิงสาวไปเลยแม้แต่หน่อยนางหันกลับมามองตัวเองในชุดกระโปรงจับจีบสีแดงตัวหลวม คลุมด้วยเสื้อคลุมเนื้อหนา ซึ่งให้ความอบอุ่นกำลังดี แต่ไม่มีความงดงามเลยแม้แต่น้อย เปิดเสื้อคลุมซ่อนเจ้าห้าได้ถึงสองคนด้วยซ้ำองค์หญิงเหวินจิง องค์หญิงฉินผิง และองค์หญิงลั่วผิงต่างมาพร้อมพระราชบุตรเขย อวี่เหวินหลิงที่หลบอยู่หลังองค์หญิ
อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าคำพูดของหยวนหยงอี้น่าสงสัยอยู่บ้าง ในตอนที่จะเอ่ยถามนั้น อวี่เหวินหลิงก็โผล่งออกมา "คุณพระ พี่สามพาผู้หญิงคนนั้นมาจริง ๆ ด้วย”ทุกคนรีบหันไปมองทางนั้นอ๋องเว่ยสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน และรองเท้าบูทสีดำ ร่างกายสูงสง่าเผยเสน่ห์กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างกายเขา สวมชุดกระโปรงผ้าต่วนเนื้อนุ่ม และเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกกันลม เกล้าผมทรงหวูม่าน ปักปิ่นผีเสื้อไหว และใส่ต่างหูหยกทองคำ ที่คอสวมสร้อยลูกปัดหยกเนื้อดีเม็ดกลมเกลี้ยงเพียงแต่รูปลักษณ์ของหญิงสาวนางนี้กลับดูธรรมดา หางที่ดูคิ้วสั้นนั้นต้องวาดหางคิ้วเพิ่ม แค่มองปราดเดียวก็มองได้ชัดเจนจมูกแบน ริมฝีปากบาง คางเหลี่ยม สิ่งเดียวที่ดูโดดเด่นคือดวงตาคู่นั้น ดวงตาไม่ได้โต แต่ในแววตาที่เหมือนมีน้ำคลออยู่ในนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนดั่งแสงจันทร์สลัวชวนโศกา ชวนให้รักใคร่ สงสารน่าเวทนาการที่อ๋องเว่ยมาปรากฏตัวพร้อมผู้หญิงที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ทำให้พระชายาซุนรู้สึกขายหน้ายิ่งนักเรื่องของพวกเขาสามีภรรยาลือไปถึงในราชสำนักมานานแล้ว คิดว่าเขาคงไม่คิดเหลวไหลแต่งตั้งนางเป็นชายารองได้คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้กลั
พระชายาซุนหันมามองหยวนชิงหลิง “เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเจ้าสามทีเถิด”หยวนชิงหลิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นางจะเกลี้ยกล่อมยังไง ? นางกับอ๋องเว่ยไม่สนิทกันเลยสักนิดผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อกู้จือกุมมืออ๋องเว่ยไว้ และหลุบตาลงต่ำ “หม่อมฉันจะกับไปทูลเชิญพระชายามาที่นี่แทน ท่านอ๋องอย่าได้ทรงกริ้วไปเลยนะเพคะ”อ๋องเว่ยยื่นมือไปกอดเอวนาง และจ้องไปที่อ๋องซุนอย่างดื้อรั้น “วันนี้ข้าจะให้นางอยู่ที่นี่ นางตั้งครรภ์ลูกของข้า ถึงไม่ใช่ชายาเอกก็เป็นชายารองแล้ว ถ้าท่านรับนางไม่ได้ ก็อย่านับว่าข้าเป็นน้องของท่านอีกต่อไป”มารดาของอ๋องเว่ยเป็นพระสนมเสียนเฟยองค์หนึ่ง หลังจากให้กำเนิดอ๋องเว่ยได้ไม่นาง นางก็ได้จากโลกนี้ไป จักรพรรดิหมิงหยวนจึงยกอ๋องเว่ยให้พระสนมจิ้งเฟย มารดาของอ๋องซุนเป็นคนเลี้ยงดู ดังนั้นสองพี่น้องจึงสนิทชิดเชื้อราวกับพี่น้องแท้ ๆ คลานตามกันมา“เจ้า...” อ๋องซุนโกรธจนไขมันบนหน้าสั่นกระเพือม “เจ้าอยากทำให้เสด็จแม่ทรงกริ้วจนอกแตกตายรึ” “ข้าจะไปอธิบายให้เสด็จแม่ฟังด้วยตัวเอง” อ๋องเว่ยเม้มริมฝีปาก และกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ เสด็จแม่ต้องทรงยินดี เพราะนางกำลังจะได้อุ้มหลานเร็ววันนี้ ไม่ต้องไปอิจฉาเสด็จแม่เ
หยวนชิงหลิงหันออกไปดู เมื่อเห็นไม่มีใครเข้ามาจึงกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นท่านเล่าเรื่องในตอนนั้นของพวกเขาให้ข้าฟังหน่อยสิ”"เรื่องของพวกเขามีอะไรน่าเล่ากัน? ลวี่หยาเจ้าเด็กทึ่มนั้น” อวี่เหวินห่าวยื่นมือไปลูบหน้านาง วันนี้นางแต่งหน้ามาบางเบา แต่เห็นชัดเลยว่าลวี่หยาไม่ได้ใส่ใจ แป้งยังไม่จางดีเลยด้วยซ้ำ“ข้าเป็นคนแต่งหน้าเอง” หยวนชิงหลิงดูตัวเอง รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองไม่สวยเท่าคนอื่น แต่ผู้หญิงท้องโตขนาดนี้ไม่มีอะไรน่ามองอยู่แล้ว “ท่านเล่าเถอะ ข้าอยากฟัง”อวี่เหวินห่าวนั่งขัดสมาธิบนตั่งไม้ และหยิบลูกวอลนัทมาสองสามลูก ก่อนจะแกะเนื้อของมันให้หยวนชิงหลิงและเล่าว่า “ตอนนั้น เดิมทีพี่สะใภ้สามมาคุยกับคนอื่น คิดไม่ถึงว่าพี่สามได้พบนางก็ตกหลุมรักในทันที ทูลขอให้พระสนมจิ้งเฟยไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพื่อสู่ขอคุณหนูตระกูลชุยมาเป็นภรรยา ตระกูลชุยก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และสามีในอนาคตของพี่สะใภ้สามก็คืออ๋องอันจุน จะให้เกิดเรื่องถอนหมั้นได้อย่างไรกัน เรื่องนี้หาทางออกไม่ได้อยู่นาน พี่สามก็ไปหาว่าที่สามีในอนาคตของพี่สะใภ้สามเพื่อท้าประลอง ว่าใครชนะคนนั้นได้แต่งกับพี่สะใภ้สาม เพื่อการประลอง
อวี่เหวินห่าวตรงไปหาอ๋องซุนในทันทีอ๋องซุนที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ และไฟกำลังลุกโชนแรงมาก ก็ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงวันเกิดอะไรนี้อีก เขาออกไปที่ลาน รีบสั่งรวมสุภาพบุรุษทุกคนไปกับเขาไปช่วยดับไฟหยวนหยงอี้ที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ก็ไม่รอให้อ๋องซุนพูดจบ นางก็ได้รีบออกไปก่อนแล้วจวนอ๋องฉีไฟไหม้ จวนอ๋องซุนก็เกิดความวุ่นวายไปก่อนแล้วรอบหนึ่งบรรดาชินอ๋อง ราชบุตรเขย ขุนนาง และสุภาพบุรุษต่างรีบออกไปช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถบรรดาพระญาติที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงต่างก็เป็นกังวล โดยเฉพาะบรรดาองค์หญิงหลายพระองค์นั่งแทบไม่ติดที่นั่งแล้ว ต่างก็อยากจะเข้าไปดูด้วยพระชายาซุนจึงเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนอยู่ที่นี่ และกลับเข้าไปนั่งในจวนก่อนนางเข้าไปในห้องโถงด้านใน เมื่อเห็นว่าฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้ไปไหน นางยังคงอยู่ที่นี่ ช่างน่าแปลกใจนักฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ข้างกระถางธูปหอมทองแดงสามขานั้น และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าไม่กลับไปขัดขวางพวกเขาหรอก”พระชายาซุนคิดว่า ถึงอย่างไรนางเองก็เป็นคนที่อยากหย่า ไม่กลับไปก็เป็นเรื่องปกติ หรือว่านางยังจะเหลือความห่วงใยให้เจ้าเจ็ดบ้างไหม?นางเรียกให้ทุกคนเข้าห้องโถงด้า
ทุกคนในห้องโถงต่างรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน พระชายาซุนรีบเข้าไปหาอาซื่อ และพูดขอให้นางช่วย “อาซื่อ เจ้ารู้วรยุทธ์ รีบตามนางไปเถอะ ห้ามอย่าให้นางวางเพลิงขึ้นมาจริง ๆ เลย”อาซื่อที่อยู่ที่นี่มองไปทางหยวนชิงหลิง แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นเกิดวางเพลิงขึ้นมาจริง ต่อให้นางอยู่เคียงข้างคอยอารักขาก็เสี่ยงเกินไป ดังนั้นนางจึงตอบตกลงและออกไปทหารที่อารักขาในจวนอ๋องซุนก็เหลือไม่มากนัก ตอนนี้แต่ละนายออกไปช่วยดับเพลิง คนรับใช้คนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ในจวนต่างไม่รู้วรยุทธ์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง พระญาติผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางลุกขึ้นและรีบเดินไปหาอาซื่อ แล้วพูดกับนางว่า “เร็วเข้า รีบบอกให้คนปิดประตูเร็ว”อาซื่อเห็นแววตาของนางที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ก็รีบวิ่งออกไปปิดประตูทันทีพระชายาซุนก็รีบลุกขึ้นมาถามด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้น?”“มีคนจำนวนมากกำลังวิ่งมาหาเราที่นี่” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หูนางไวมากเลยได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากองค์หญิงและพระญาติหญิงต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ?”พระชายาซุนรีบเกลี้ยกล่อ