อันไป๋เล่อหญิงงามผู้เคยเป็นอนุตัวร้ายคนโปรดของคุณชายรองเผยกู้หยาง เมื่อถูกขับออกตระกูลเผย นางไม่ร่ำร้อง ไม่แต่งงานใหม่ กลับขอทำสวน ปลูกผัก ทำขนมขายเลี้ยงชีพ น่าขันยิ่งนัก ผู้ใดไม่รู้ว่าอันไป๋เล่อเคยชินกับความหรูหรา นางจะทนอยู่ท่ามกลางแดดลม โคลนตม และกลิ่นปุ๋ยได้สักกี่วัน? ใครต่อใครล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า... "นางแค่เรียกร้องความสนใจ สร้างภาพให้ดูน่าสงสาร เพื่อเพิ่มราคาตัวเองเท่านั้นล่ะ!" “สุดท้ายก็ต้องกลับไปพึ่งบิดา... แต่งกับคหบดีสูงวัยสักคน แล้วใช้เรือนร่างเสวยสุขอย่างเคย จะไปไหนพ้น!” ใครจะเชื่อว่าสตรีผิวบางมือขาวจะมีวันยินดีปลูกผักแทนวาดรูป ชำระดินแทนร่ายรำ ใครจะเชื่อว่า... "อนุตัวร้าย" ที่เคยก่อเรื่องในจวน จะกลายเป็นหญิงชาวสวนในแปลงผักได้จริง? แต่แน่นอนผู้คนเหล่านั้นก็แค่ “เฝ้ารอ” วันที่นางจะล้มเหลว เพื่อจะได้หัวเราะสะใจยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง...
View Moreหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตาเหม่อลอย ดวงหน้าขาวเนียนราวหยกพิสุทธิ์ แก้มแต้มสีระเรื่อดั่งกลีบพีชในยามเช้า นัยน์ตาดำขลับทอดมองไร้จุดหมาย แต่กลับงดงามจนยากละสายตา
เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวม ๆ ริ้วผ้าโปร่งบางสะบัดไหวต้องลม ราวภาพวาด
ในร่างของ “อันไป๋เล่อ” อนุตัวร้ายของคุณชายรองเผย ผู้ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เวลานี้มีหญิงสาวจากอีกภพหนึ่งสถิตอยู่
นาง...ผู้เกิดใหม่
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดใหม่ครั้งนี้ จะได้มาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้”
นางทอดถอนใจเบา ๆ
ชีวิตก่อน... คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ต้นไม้ทุกต้นในนั้นล้วนเป็นความตั้งใจ
กุหลาบใหญ่ข้างทางที่เคยผลิดอกบานสะพรั่งทุกฤดู ใบไม้ของมันในยามสุดท้ายกลับเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเพราะน้ำท่วม
นางได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีก็มีปัญหาด้านสุขภาพปัญหารุ่มเร้าทำให้โรคหัวใจกำเริบ นางถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่
เฮ้อ!! สวรรค์คงลืมลบความทรงจำ
“อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่”
นางมองรอบสวน หญ้านุ่มล้อสายลม มุมแสงดี เงาไม้พอเหมาะ... หากได้ตั้งซุ้มชาเล็ก ๆ สักมุม ปลูกไม้หอมริมรั้วอีกสักหน่อย คงไม่เลว
“ที่นี่...ก็ดูจะเหมาะอยู่นะ”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา ก่อนสาวใช้ผู้หนึ่งจะหยุดยืนด้านข้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเบา ๆ “อี้เหนียงสี่เจ้าคะ...”
“มีอะไร” หญิงสาวตอบเสียงห้วนตามนิสัยเดิมโดยไม่หันหน้า
อาเหมยรีบตอบ “ใกล้จะมื้อเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ ท่านจะทานที่นี่ หรือจะกลับเรือนเจ้าคะ”
ลมเอื่อยแผ่วพัดผ่าน อันไป๋เล่อตอบ
“ยกมาที่นี่เถอะ ข้าจะนั่งต่ออีกสักครู่”
อันไป๋เล่อนั่งรับประทานมื้อกลางวันอย่างเงียบงันใต้ร่มเงาต้นหลิว ผืนพรมหญ้าถูกปูด้วยผ้าเรียบสะอาด บนโต๊ะตัวเล็กมีสำรับเรียบง่าย ตระกูลเผยตกอับ ถึงแม้เงินที่จ่ายค่าอาหารตอนนี้จะเป็นของนางแต่ก็ไม่กล้าทำอาหารชั้นสูงเกินไป ยามปกตินางจะบ่นหลายคำก่อนจะฝืนกลืนกินลงไปทว่าไป๋เล่อคนใหม่ไม่รู้สึกย่ำแย่แต่อย่างไร
สาวใช้ได้แต่มองด้วยสายตาแปลกใจ
มือหนึ่งคีบผัก อีกมือประคองชามเบา ๆ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวาย
“เรื่องราวมากมายเหลือเกิน... ข้าคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจทุกอย่างในชีวิตใหม่นี้”
ยังไม่ทันได้ถอนใจ เสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นจากพุ่มไม้ด้านหลัง นางหันไปช้า ๆ พลางเพ่งสายตา
“ใครกัน...”
“ข้าถามว่า...ใคร!”
เพียงไม่นาน พุ่มไม้ก็ไหวกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งก็โผล่ออกมา
เด็กชายหน้าตาน่ารักอายุราวห้าหรือหกขวบ ดวงตากลมโตใสแจ๋วแต่มีแววตื่นกลัวเล็กน้อย เสื้อผ้าสะอาดผ้าแพรไหมเนื้อดี ร่างเล็กผอมบางราวกับต้นกล้าอ่อน ๆ ที่เพิ่งเจอลมฝน
ในเสี้ยววินาทีนั้น อันไป๋เล่อก็จำได้ทันที...
“นี่...คือบุตรชายของนาง”
เฮ้อ...
หัวใจนางปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
อนุตัวร้ายเจ้าของร่างนี้... ไม่เคยใส่ใจบุตรชายเลยแม้แต่น้อย ยามตระกูลเผยยังรุ่งเรือง นางวางตัวห่างเหิน ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยพูดดีด้วยสักคำ เพราะบุตรชายทำให้นางสูญเสียความงามและความโปรดปราน พอยิ่งตระกูลตกอับ นางงยิ่งรู้สึกว่าบุตรชายผู้นี้คือภาระ
ตอนนี้เจ้าของร่างเดิมกำลังเตรียมตัวออกจากจวนไปแต่งงานใหม่
บิดาของนาง...กำลังหาลู่ทางให้นางได้เข้าตระกูลอื่น แม้จะไม่สูงส่งเท่านายท่านรองเผยกู้หยาง แต่อย่างน้อย...ก็อาจทำให้นางมีชีวิตใหม่ที่
“ดีกว่าเดิม”
แต่...แล้วเด็กน้อยตรงหน้านี้เล่า?
เด็กชายพยายามยืดอกพูดเสียงเบา
“อี้เหนียง ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนท่าน ข้า...ข้าเดินผ่านมา...”
อันไป๋เล่อมองเด็กน้อยนิ่ง ๆ หัวใจบีบรัดราวถูกเฆี่ยนด้วยคำว่า "แม่ใจร้าย" ที่ดังก้องอยู่ในหูตนเอง
“เจ้ากินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง” นางเอ่ยถามแม้น้ำเสียงจะเย็นชาดูแฝงความอบอุ่นจาง ๆ
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย บ่าวรับใช้รีบตอบ “ยังเจ้าค่ะ...คุณชายกำลังจะกลับเรือน...แต่คุณชาย เอ่อ...คุณชายเดินเล่นมาทางนี้ก่อน”
เด็กน้อยก้มหน้าแทบจะแนบอก
เพราะจริง ๆ แล้ว เขาแอบตามมาดู... เพราะคิดถึงมารดา
ไป๋เล่อลอบถอนหายใจหนัก มองเด็กน้อยที่ยังคงยืนก้มหน้า มือทั้งสองกำชายเสื้อแน่นเหมือนจะหายตัวได้ในพริบตา
“เช่นนั้นก็ไปยกมานี่” เสียงของนางเรียบเฉย ไม่อ่อนโยน แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“อี้เหนียง...จะให้ข้า…ข้า...กินที่นี่หรือขอรับ?”
น้ำเสียงนั้นเจือทั้งตื่นเต้นและลังเล
อันไป๋เล่อหันกลับไปคีบผักอย่างไม่แยแส
“อืม... ถ้าเจ้าไม่อยากกินก็ออกไป” นางเอ่ยอย่างเย็นชา ไม่ใช่เพราะรังเกียจ หากแต่...นางไม่รู้จะอ่อนโยนอย่างไรดีในร่างนี้
จู่ ๆ จะเปลี่ยนแปลงตนเองทันทีคงยากเกินไป ทั้งสายตาบ่าวไพร่ ทั้งความคุ้นชินของเด็กชายผู้นี้กับความเย็นชาของ “อันไป๋เล่อคนก่อน” ล้วนยังต้องแสดงต่อ
ทว่า...ถึงน้ำเสียงจะไม่แปรเปลี่ยน
ความรู้สึกของเด็กน้อยกลับเปี่ยมไปด้วยความดีใจจนเกินคำบรรยาย
เด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ แล้วหันไปกระซิบกับสาวใช้อี้ชิง
อย่างลนลาน “อี้ชิง รีบไปยกข้าวมานะ! เร็วเข้า!”
อี้ชิงเองก็ตาโตไม่แพ้คุณชายตัวน้อย แต่พอเห็นแววตาของอันไป๋เล่อไม่ขัดข้อง นางก็รีบโค้งตัวแล้วหมุนตัววิ่งกลับเรือนไปทันที
เผยซ่งเหยา ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะ
สีหน้าเปื้อนยิ้มเจิดจ้า เด็กชายไม่คิดมากหรอก
ไม่สนว่าน้ำเสียงของนางจะเย็นชาเพียงใด
แค่...มารดายอมให้เขานั่งกินข้าวด้วย เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เมืองอี้โจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นเมืองใหญ่ ถนนสายหลักปูด้วยหินสีหม่นทอดยาว ผู้คนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเรียกขายสินค้าดังคลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ทั่วในยามที่เดินผ่านแถวร้านรวง อันไป๋เล่อหันไปถามอาเหมยเสียงเรียบ “พวกเราเหลือเงินอยู่เท่าไร”อาเหมยรีบตอบ “คุณหนู...มีอยู่เพียงสิบกว่าตำลึงเจ้าค่ะ”นางเว้นไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เช่นนั้น...คงต้องนำเครื่องประดับออกไปขายอีก...ไม่เช่นนั้นคงไม่พอใช้จ่าย”“เช่นนั้นก็ไปขายกันเถอะ”อันไป๋เล่อเอ่ยเสียงราบ พลางยกข้อมือขึ้น ดึงกำไลหยกสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ออกมา แสงแดดสะท้อนบนผิวหยกใส หญิงสาวยิ้มพอใจ ดูแล้วน่าจะได้ราคาดี นางเหลือบไปยังป้ายเขียนด้วยอักษรสีทองว่า “หอหงส์ชิง” แล้วก็ก้าวเดินออกไป อาเหมยที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน“คุณหนู...ให้ข้าไปจัดการเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้อง...”อันไป๋เล่อส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า“ไม่เป็นไร...ไปด้วยกันเถอะ”ภายในร้ายมีลูกค้าพูดคุยกันหลายกลุ่ม เมื่ออันไป๋เล่อก้าวเข้าสู่หอหงส์ชิง ใบหน้าอันโดดเด่นของนา
หลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้ายอันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทางผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่งนางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือนจอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจเสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะคลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้นที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อยบ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเองยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึงแต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!” ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไปทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่“นี่พวกเจ้ากำลัง
ขุดหลุมฝั่งคน ซ่งเหยานั่งกินอย่างระมัดระวัง เขาไม่เอ่ยวาจาเพียงแต่คอยลอบมองมารดาอยู่เงียบ ๆ พอทานเสร็จก็รีบขอตัวไม่กล้ารบกวนอีกฝ่าย ไป๋เล่อมองตามหลังแล้วถอนหายใจ น่ารักขนาดนี้ไม่รู้ว่าไป๋เล่อคนเดิมใจคอทำร้ายได้อย่างไร นางตกใจมากหลายวันแล้ว ควรได้เริ่มต้นทำอะไรสักทีพอกินเสร็จนางหันไปสั่งสาวใช้อาเหมย “ข้าจะเขียนจดหมายสักหน่อยเจ้าไปฝนหมึกเถอะ”สิ่งแรกที่ต้องทำ...คือบอก “บิดา” ของนางบอกเขาว่านางจะ ไม่แต่งงานใหม่ไม่ไปเป็นเครื่องมือของตระกูลอีกต่อไปนางจะอยู่ที่นี่ในจวนนายท่านรอง แม้จะไร้ที่พึ่งพิงและไม่เป็นที่รักคิดถึงนายท่านรองแล้วนางได้แต่ถอนหายใจ เสียดายหล่อขนาดนั้นกลายเป็นสามีเก่าไปแล้วตอนนี้คงต้องใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและเลี้ยงดูบุตรชายผู้น่ารักคนนั้น...อย่างดีที่สุดมือเรียวหยิบพู่กันขึ้นเริ่มเขียนอาเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อี้เหนียงจะไม่ออกเรือนใหม่หรือเจ้าคะ” ไป๋เล่อหยักหน้า “อืม...ไม่แต่งแล้ว”อาเหมยนิ่งงัน เอ่ยเสียงเบาราวกับกลัวจะขัดใจอีกฝ่าย“แต่อี้เหนียง...ข้าวของเครื่องประดับเราขายเก
ณ สวนท้ายเรือนอันสงบงามใต้ร่มเงาไม้ผลัดใบหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตาเหม่อลอย ดวงหน้าขาวเนียนราวหยกพิสุทธิ์ แก้มแต้มสีระเรื่อดั่งกลีบพีชในยามเช้า นัยน์ตาดำขลับทอดมองไร้จุดหมาย แต่กลับงดงามจนยากละสายตาเส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวม ๆ ริ้วผ้าโปร่งบางสะบัดไหวต้องลม ราวภาพวาดในร่างของ “อันไป๋เล่อ” อนุตัวร้ายของคุณชายรองเผย ผู้ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เวลานี้มีหญิงสาวจากอีกภพหนึ่งสถิตอยู่นาง...ผู้เกิดใหม่“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดใหม่ครั้งนี้ จะได้มาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้”นางทอดถอนใจเบา ๆชีวิตก่อน... คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ต้นไม้ทุกต้นในนั้นล้วนเป็นความตั้งใจกุหลาบใหญ่ข้างทางที่เคยผลิดอกบานสะพรั่งทุกฤดู ใบไม้ของมันในยามสุดท้ายกลับเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเพราะน้ำท่วมนางได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีก็มีปัญหาด้านสุขภาพปัญหารุ่มเร้าทำให้โรคหัวใจกำเริบ นางถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่เฮ้อ!! สวรรค์คงลืมลบความทรงจำ“อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่” นางมองรอบสวน หญ้านุ่มล้อสายลม มุมแสงดี เงาไม้พอเหมาะ... หากได้ตั้งซุ้มชาเล็ก ๆ สักมุม ปลูกไม้หอมริมรั้วอีกสักหน่อย คงไม่เลว“ที่นี่.
Comments