ในตอนที่เปิดหน้าแรกของ 'เทพารักษ์แห่งนคร' เสียงพูดในหัวฉันเหมือนถูกดึงเข้าไปในซอกตรอกตลาดกลางคืนที่มีแสงโคมแดงเป็นระยะ ๆ ความรู้สึกนั้นไม่ได้มาจากพล็อตที่หวือหวาเท่านั้น แต่มาจากการถักทอรายละเอียดเล็ก ๆ ของโลกที่ผู้เขียนวางใจได้ — กลิ่นเครื่องเทศ เสียงช่างตีดาบ และการเมืองท้องถิ่นที่ซับซ้อนจนฉันเริ่มนับเส้นทางของตัวละครเหมือนเพื่อนเก่า
นิยายเล่มนี้ดึงฉันเพราะมันรู้จักบาลานซ์ระหว่างความคุ้นเคยและความแปลกใหม่ได้ดีมาก ตำนานพื้นบ้านเข้ามาเป็นพื้นหลังโดยไม่ทับไลน์เรื่องราวหลัก ตัวเอกไม่ใช่ฮีโร่เพอร์เฟ็กต์ แต่เป็นคนที่มีข้อบกพร่องและต้องตัดสินใจยาก ๆ ซึ่งทำให้ฉันเอาใจช่วยและเจ็บปวดไปกับเขาพร้อมกัน เทคนิคการเล่าเรื่องใส่ฉากชีวิตประจำวันที่ทำให้โลกดูมีน้ำหนัก เช่น การกินข้าวเช้าร่วมกันในบ้าน
ขุนนางหรือการซ่อมเกราะในโรงตีเหล็ก ช่วยให้ฉากต่อสู้หรือจุดหักเหทางอารมณ์มีแรงกระแทกมากขึ้น
จุดเล็ก ๆ อย่างการใช้ภาษาถิ่นบางวรรคหรือการอ้างอิงเพลงพื้นบ้านยังทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มีประวัติศาสตร์จริง ๆ ไม่ใช่แค่ฉากหลังอ้าง ตัวร้ายเองก็มีชั้นเชิง มีแรงจูงใจที่ทำให้ฉันย้อนถามตัวเองว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันฉันจะเลือกอย่างไร — นี่แหละที่ทำให้ฉันเผลอไผลและอ่านจนเกือบเช้า เสียงท้ายสุดคือความอบอุ่นแบบแปลก ๆ เหมือนเพิ่งได้พบเพื่อนใหม่ที่เข้าใจความขัดแย้งของโลกทั้งใบ