เราเติบโตมากับกลิ่นอายวังและบทกวีที่เล่าขานเรื่องราวคละเคล้ารัก โศก และการเมือง จึงชอบมอง '
อิเหนา' ไม่ใช่แค่เป็นนิทานรักยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง แต่เป็นงานวรรณกรรมที่นักวรรณคดีเห็นว่าถูกแต่งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลายชั้นพร้อมกัน
มุมแรกซึ่งมักถูกยกขึ้นบ่อยคือบทบาทเชิงการเมืองและสังคม: นักวิชาการหลายคนสรุปว่า 'อิเหนา' ทำหน้าที่ให้ความชอบธรรมแก่ชนชั้นนำและสถาบันอำนาจ ผ่านภาพฮีโร่ที่มีคุณสมบัติเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมและความกล้าหาญ ฉากพิธีกรรม การจัดการแต่งงาน และการทูตในเรื่องไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนการสร้างตัวตนของราชวงศ์หรือชนชั้นปกครองในบริบทท้องถิ่น การเล่าเรื่องแบบนี้ช่วยเสริมความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชนวังและยกระดับค่านิยมที่ต้องการส่งต่อ
อีกมุมที่นักวรรณคดีเน้นคือมิติการสั่งสอนและความบันดี (didactic) แต่ไม่ใช่การสั่งสอนตรงแบบตำรา บทสนทนา ฉากทดสอบความจงรัก และผลของการกระทำใน 'อิเหนา' ทำหน้าที่ชักนำให้ผู้อ่านตั้งคำถามเรื่องความกตัญญู ความยุติธรรม และบทบาทของเพศในสังคม นักวิจารณ์บางคนชี้ว่าเรื่องนี้ยังทำหน้าที่เป็นเวทีทดลองความขัดแย้งระหว่างคุณธรรมดั้งเดิมกับความต้องการส่วนตัวของตัวละคร ทำให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ผ่านตัวอย่างมากกว่าคำสั่งสอนตรง ๆ
สุดท้าย นักวรรณคดียังมองว่า 'อิเหนา' เป็นงานรวมวัฒนธรรม—ผสมผสานแบบเล่าเรื่องพื้นบ้าน ตำนานอินเดีย-เปอร์เซีย และวิถีท้องถิ่น ผลลัพธ์คือผลงานที่ตอบสนองได้ทั้งความบันเทิง พิธีกรรม และการสอนค่านิยม ดังนั้นจะพูดให้สั้น ๆ ว่าไม่มีคำตอบเดียวสำหรับคำถามว่าทำไมเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้น แต่มุมมองของนักวิชาการมักเห็นงานชิ้นนี้เป็นเครื่องมือทางสังคม วัฒนธรรม และจริยธรรมที่ซับซ้อน ซึ่งยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นเลเยอร์ที่ซ้อนทับกันในทุกฉากและบทสนทนา