แฟนหนังแฟนซีรีส์ที่อยากดู 'The Lord of the Rings' ทั้งสามภาคในฉบับเต็มมักจะเจอทางเลือกสองแนวหลักคือแบบสตรีมมิ่งที่เป็นการสมัครรายเดือนกับแบบเช่าหรือซื้อดิจิทัลแบบชิ้นต่อชิ้น ซึ่งสถานะลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ชุดนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อนและเปลี่ยนได้ตามภูมิภาค ทำให้บางช่วงอาจเจอทั้งสามภาคอยู่บนบริการสมัครสมาชิกเดียว ขณะที่ช่วงอื่นอาจกระจายไปอยู่บนแพลตฟอร์มให้เช่า-ซื้อดิจิทัลต่างๆ เช่นบริการของ Apple, Google หรือ Amazon ในรูปแบบซื้อขาดหรือเช่าชมแบบดิจิทัลในความละเอียดสูง
ในมุมของผม คุณภาพการรับชมเต็มที่จริงๆ มาจากแผ่นบลูเรย์ชุดฉบับขยาย 'Extended Edition' ซึ่งมีความยาวเพิ่มและรายละเอียดเบื้องหลังที่คนรักงานของปีเตอร์ แจ็กสันจะซึมซับได้มากกว่า อย่างไรก็ตามฉบับ Extended มักมีให้เฉพาะในแผ่นฟิสิคัลหรือในบางแพลตฟอร์มที่ขายดิจิทัลแบบซื้อขาด ส่วนฉบับโรงภาพยนตร์หรือ theatrical cut มักจะหมุนเวียนบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายเดือนตามข้อตกลงลิขสิทธิ์ จึงเป็นเรื่องปกติถ้าอยากดูครบทั้งสามภาคแบบสบายและไม่สะดุด จะต้องผสมวิธีการดูระหว่างสมัครบริการกับการซื้อ/เช่าดิจิทัลหรือหาซื้อชุดบลูเรย์
ทางเลือกที่เป็นจริงจังและคุ้มค่าสุดสำหรับการดูทั้งชุดคือการลงทุนในเซ็ตบลูเรย์ฉบับ Extended ถ้าต้องการความสมบูรณ์ของเนื้อหาและภาพ-เสียงที่ดีที่สุด ส่วนถ้าต้องการความสะดวกในระยะสั้น การเช่าหรือซื้อดิจิทัลผ่านร้านหนังออนไลน์อย่าง Apple TV, Google Play หรือร้านของ Amazon มักให้คุณภาพแบบ HD/4K และได้สิทธิ์เก็บไว้ดูซ้ำได้ ขณะที่บริการสตรีมมิ่งรายเดือนที่มีคอนเทนต์ฮอลลีวูดเยอะก็มีโอกาสนำทั้งสามภาคมาลงเป็นช่วงๆ แต่การจะเจอครบทั้ง 1-3 แบบเต็มในตัวเลือกสมัครเพียงเจ้าเดียวอาจขึ้นกับช่วงเวลาที่ลิขสิทธิ์ถูกต่อสัญญา
ท้ายที่สุด ความชอบส่วนตัวมักพาให้ผมกลับไปดูฉบับ Extended หลายรอบ เพราะมันเติมมิติให้กับตัวละครและโลกของ 'The Lord of the Rings' ได้ลึกกว่า การดูผ่านแผ่นบลูเรย์ในทีวีจอใหญ่หรือโปรเจ็กเตอร์ทำให้ความ
อลังการของมิดเดิ้ลเอิร์ธเข้าถึงได้เต็มที่ และนั่นคือความสุขแบบแฟนตัวยงที่ไม่ค่อยได้จากการดูแบบเช่ารายครั้งเท่าไรนัก