เกม 'Detroit: Become Human' มีตอนจบหลักๆ ประมาณ 32 แบบ แต่ถ้านับความแตกต่างย่อยจากการเลือกของผู้เล่นทั้งเรื่อง จะเพิ่มเป็นหลายสิบแบบขึ้นไป ข้อมูลนี้นับจากผลลัพธ์สุดท้ายที่ผู้เล่นเห็นเป็นฉากจบหรือเอพิโลกที่ชัดเจน ซึ่งรวมทั้งสเตตัสของตัวละครหลักทั้งสาม — Markus, Connor และ Kara — และสถานะโดยรวมของสังคมในเมืองดีทรอยท์ การนับแบบคร่าวๆ ว่าเป็น 32 แบบช่วยให้มองเห็นความหลากหลายของเนื้อหา แต่ต้องยอมรับว่าแต่ละการตัดสินใจในกลางเกมยังทำให้ฉากจบมีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ อีกมาก
การแจกแจงคร่าวๆ ตามตัวละครจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น: Markus สามารถนำพาการปฏิวัติไปสู่ความสำเร็จแบบสงบ หรือความสำเร็จแบบรุนแรง ล้มเหลวหรือถูกจับ รวมถึงเวอร์ชันที่เขาตายก่อนถึงจุดสิ้นสุด ส่วน Connor มีทางเลือกว่าจะยังคงเป็นตำรวจหุ่นยนต์ที่เชื่อฟ้าหรือจะกลายเป็น 'deviant' และเลือกข้างกับแอนดรอยด์ ซึ่งส่งผลต่อชะตากรรมของทั้งเขาและคดีที่เขาตามสืบ ขณะที่ Kara มีฉากจบที่เน้นการหนีไปหาชีวิตใหม่กับ
alice, หนีไปแต่จบเศร้า, หรือถูกจับและเสียชีวิต ทั้งหมดนี้รวมกับผลลัพธ์ภาพรวมของเหตุการณ์ในเมือง เช่น การได้อิสรภาพของแอนดรอยด์หรือการปราบปรามจากมนุษย์ ทำให้จำนวนฉากจบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โครงเรื่องของเกมออกแบบมาให้การเลือกในฉากเล็กๆ มีผลสะท้อนที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการนับตอนจบจึงมีสองมุมมองที่ต่างกัน: ถ้านับแค่ผลลัพธ์หลักที่ผู้เล่นมองเห็นเป็นฉากจบ ก็จะได้ตัวเลขประมาณสามสิบกว่าแบบ แต่ถ้ารวมความแตกต่างเล็กๆ ในเอพิโลกและชะตากรรมรองของตัวละครอื่นๆ จำนวนจะพุ่งขึ้นไปเป็นหลายสิบหรือตั้งแต่สี่สิบขึ้นไปได้ ขอยกตัวอย่างฉากจบที่จำได้ชัด เช่น การเดินขบวนของ Markus ที่กลายเป็นสัญลักษณ์สันติภาพ, Connor ที่กลายเป็นผู้นำของแอนดรอยด์, หรือ Kara ที่ไปถึงชายแดนกับ Alice และได้ชีวิตใหม่ — เหล่านี้คือจุดไคลแม็กซ์ที่เปลี่ยนอารมณ์ของทั้งเรื่อง
ส่วนตัวแล้วชอบความที่เกมเปิดโอกาสให้เรื่องเล่าแตกแขนงตามการตัดสินใจของผู้เล่นมากกว่าเป็นเส้นตรง ฉากจบที่อารมณ์สะเทือนที่สุดในความรู้สึกคือเวอร์ชันที่ความหวังผสมกับความสูญเสีย — มีความงดงามและขมปนกัน เหมือนนิทานไซไฟที่เตือนให้คิดถึงความเป็นมนุษย์และการเลือกของเราเอง