ฉันมักได้รับแรงบันดาลใจจากการที่โลกจริงกับโลกเสมือนมาชนกันอย่างไม่คาดคิด — เสียงรถเมล์กลางคืนกลายเป็นจังหวะของบทสนทนา ตัวละครจากการ์ตูนที่ดูค้างคาในใจบอกให้ฉันอยากรู้อยากเห็นต่อไป เหตุการณ์เล็กๆ ในชีวิตประจำวันมักเป็นเชื้อเพลิงให้ฉันเขียนมากกว่าช่วงเวลายิ่งใหญ่ ความหิวโหยใน
งานเขียนของฉันเกิดจากการสังเกตและเก็บเศษเสี้ยวของความรู้สึกกับเรื่องราวที่ผสมกัน เช่นความลึกลับของโลกใน 'Spirited Away' ที่ทำให้ฉันอยากเขียนฉากที่บ้านเก่าๆ กลายเป็นประตูสู่ความเป็นไปได้ ในทางกลับกัน ภาพความโหดร้ายแต่ซับซ้อนของการแก้แค้นใน 'Berserk' กระตุ้นให้ฉันไม่กลัวส่วนมืดของตัวละคร การเขียนเลยกลายเป็นการทดลองผสมสิ่งที่ชวนหลงใหลกับสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวด
รายละเอียดเล็กๆ อย่างท่อนเพลงจากเกมที่ติดอยู่ในหัวก็มีพลังมากพอจะเปลี่ยนอารมณ์บท ฉันทดลองเอาโทนเพลงจาก 'NieR:Automata' มาเป็นแรงบันดาลใจในการกำหนดบรรยากาศของฉากบางฉาก พบว่าการเรียงภาพและจังหวะของประโยคสามารถทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงนั้นจริงๆ นอกจากนี้ ประสบการณ์การอ่านงานของนักเขียนคลาสสิกบางคนชี้นำวิธีจัดวางพล็อตและมิติของตัวละคร เช่นการตัดฉากที่ไม่จำเป็นหรือการใส่สัญลักษณ์ซ้อนชั้นเหมือนใน 'The Wind-Up Bird Chronicle' ที่ทำให้ฉันคิดเรื่องเล่าที่ซับซ้อนแต่ยังคงอบอุ่นในใจคนอ่าน
วิธีทำงานของฉันบางครั้งไม่เป็นระบบ — มีทั้งการเขียนแบบทิ้งร่องรอยไว้แล้วกลับมาแก้ และการร่างโครงใหญ่ก่อนขัดเกลา แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความอยากเล่าเรื่องให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวในโลกนี้ บ่อยครั้งฉันหันมามองฉากภาพยนตร์หรือบทเพลงแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าตัวละครนี้อยู่ตรงนั้น เขาจะทำอย่างไร” คำถามง่ายๆ นี่แหละที่ขุดเอาไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ สุดท้ายแล้ว แรงบันดาลใจสำหรับฉันคือการเชื่อมโยง — เชื่อมความทรงจำ เสียง ภาพ และเรื่องเล่าเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นสิ่งที่อยากแบ่งปันให้คนอื่นอ่านก่อนจะเก็บมันไว้เป็นของฉันเอง