เพราะ One night stand ครั้งนั้น... ทำให้นักธุรกิจหนุ่มหล่อวัยสามสิบห้า ต้องมาหลงเสน่ห์เด็กสาววัยยี่สิบเอ็ดอย่างเธอ!! "ไหนคุณบอกว่าเรื่องระหว่างเราเป็นแค่ one night stand ไงคะ" "แล้วถ้าผมไม่ได้อยากให้มันจบลงแค่นั้นล่ะ" "คะ?" "มาอยู่กับผม รับรองว่า คุณจะได้ทุกอย่างที่อยากได้" "ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย" "เพราะไม่ว่ายังไง คุณก็ไม่มีทางหนีผมพ้นหรอก..." "นี่คุณ!" "บอกว่าให้เรียกพี่ภามไง หรือถ้าไม่ถนัดเรียกที่รัก ก็ได้ แต่ถ้ายาวไปเรียกผัว เฉยๆก็ได้เหมือนกัน"
View Moreณ เพนต์เฮาส์ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผงอกแน่นนั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่หลังโต๊ะทำงานดีไซน์เรียบหรู แขนทั้งสองวางลงยังที่พักข้างตัวพร้อมกับผ่อนคลายร่างกายตัวเอง สายตาคมกริบมองไปยังหญิงสาวในชุดเดรสสีดำรัดติ้วที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาซึ่งเธอกำลังทำหน้าที่ปรนเปรอโดยการใช้ลิ้นนุ่มโลมเลียไปทั่วแกนกายขนาดใหญ่พร้อมกับส่งมันเข้าไปในอุ้งปากร้อนแล้วดันเข้าจนสุดทาง หญิงสาวทำอย่างนั้นสลับไปมาเป็นเวลาหลายนาทีอย่างเอาใจ
อ๊อก อ๊อก!!
กรามของเขาขบเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นความกระสันเสียว เธอเห็นดังนั้นก็รีบเร่งจังหวะเข้าออกให้ถี่ขึ้นแล้วผ่อนลงตามการตอบสนองของร่างกายคนที่นั่งอยู่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถึงฝั่งฝันในไม่ช้า เขากำมือแน่นแล้วปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ไม่นานร่างของเขาก็กระตุกแล้วฉีดน้ำรักอุ่นร้อนเข้าไปในโพรงปากของเธอจนหมดทุกหยาดหยดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง
หญิงสาวดูดกลืนมันเข้าไปอย่างรู้งานแล้วเช็ดทำความสะอาดจัดการกางเกงแสล็กสีดำของเขาให้กลับไปเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม
ทว่าใจเธอกลับไม่อยากหยุดแค่นั้น ร่างอวบรีบลุกขึ้นแล้วโน้มใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างหนาเข้าใกล้ใบหน้าหล่อเหลาจนหน้าอกขนาดใหญ่ของเธอทะลักออกมาพ้นเดรสที่สวมอยู่เกือบครึ่งเต้า
“ถ้าคุณต้องการมากกว่านี้...” เธอเอ่ยถามน้ำเสียงกระเส่า สายตายั่วยวนไล่มองใบหน้าของเขาด้วยความหลงใหล เธอแค่อยากเป็นผู้หญิงโชคดีที่ได้ครอบครองร่างกายนี้สักครั้งก็เท่านั้น
“ออกไป”สายตาของเขาเหลือบมองไปทางอื่นด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง
“ฉันสามารถทำได้ทุกอย่าง รับรองว่าคุณจะติดใจ”เธอไม่ลดละความพยายามยังคงพูดโน้มน้าวเขาอีกครั้ง
“บอกว่าให้ออกไป!”ชายหนุ่มรู้สึกทนไม่ไหวกับความน่ารำคาญนี้อีกต่อไป เขาตวาดออกมาเสียงดังลั่นแล้วผลักเธอให้ออกห่างจากตัวอย่างนึกรังเกียจ หญิงสาวซวนเซออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัวและรู้สึกตกใจไม่น้อย เธอไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูเงียบแบบนี้พอโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวมากเหมือนกัน
สายตาคมกริบฉายแววไม่พอใจยังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น จนเธอต้องยอมแพ้แล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมาว่าไม่สนใจเธอเลย
หญิงสาวที่กำลังเดินออกไปจากห้องทำงานของเขาชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มเปล่งออกมาอีกครั้ง
“เดี๋ยว”
เธอยิ้มออกมาอย่างดีใจเพราะคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้วรีบหันกลับไปมองทันทีด้วยรอยยิ้มหวาน แต่คำพูดที่เขาเปล่งต่อมาทำให้เธอต้องชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าไป ริมฝีปากอิ่มหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“รอบหลังไม่ต้องมาแล้วนะ ไม่ได้เรื่อง!”
ริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากันแน่นอย่างรู้สึกเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับหันหลังแล้วเดินตึงตังออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกอารมณ์เสียอย่างถึงขีดสุด
ภาคินัยหรือภาม นักธุรกิจหนุ่มหล่อวัยสามสิบห้าปี ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับเดินไปหยุดยืน ยังกระจกบานใหญ่ตรงหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองวิวด้านนอกในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยรถรากำลังสัญจรไปมาอย่างหนาแน่นรวมถึงตึกมากมายที่มีแสงไฟสีทองสาดส่องออกมาและรอบๆ ก็เต็มไปด้วยสถานเริงรมย์ ไนต์คลับและอีกมากมาย
สีหน้าเรียบนิ่งยังคงมองไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกล่องลอยอย่างกับคนไร้ความรู้สึก แต่ลึกๆ แล้วมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นแม้แต่น้อย ด้วยบุคลิกภายนอกที่เป็นคนเงียบขรึมจนบางครั้งก็ค่อนไปทางเย็นชาทำให้ใครๆ ต่างคิดว่าเขาเป็นคนไร้หัวใจ ทว่าในทางกลับกันบุคลิกแบบนี้ ทำให้พวกผู้หญิงที่เข้าหาเขารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
เสียงเคาะประตูเรียกสติที่กำลังล่องลอยออกไปไกลให้กลับมาอีกครั้ง เสียงฝีเท้าของใครบางคนหยุดยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากเขานัก ภาคินัยเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะรู้ดีว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร
“มีอะไร”
“คุณภีมชวนไปที่คลับ บอกว่าวันนี้มีเครื่องดื่มพิเศษครับ”
อคินหรือคิน เลขาหนุ่มวัยสามสิบสามปีเอ่ยบอกพร้อมกับขยับขาแว่นสายตาเล็กน้อย ใบหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นสีเงินนั้น หล่อเหลาไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้านาย สองคนนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็มักจะมีสายตาของสาวๆ มองมาราวกับต้องมนต์สะกด อคินเป็นเลขาและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ภาคินัยไว้ใจ
“อะไรของมันอีกล่ะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความสงสัย
“ไปมั้ยครับ ผมจะได้เตรียมรถ” เลขาคนสนิทถามขึ้นอีกครั้งอย่างรอคอยคำตอบ
ภาคินัยยืนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจพูดออกมา
“ไปเตรียมรถ”
“ครับ”
อคินตอบรับแล้วรีบลงไปเตรียมรถอย่างที่เคยทำพร้อมกับนั่งลงประจำที่คนขับรอผู้เป็นเจ้านาย ไม่นานภาคินัยก็เข้ามานั่งในรถ หลังจากนั้นรถยุโรปคันหรูก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปยังจุดหมายปลายทาง
สักพักรถก็มาจอดยังหน้าคลับที่มีผู้คนกำลังยืนกันอยู่ประปราย ที่นี่เป็นคลับขนาดใหญ่มีพื้นที่แยกออกเป็นหลายส่วนและหลายระดับตามกำลังเงินในกระเป๋าของคนที่มาสังสรรค์ คลับแห่งนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวภาคินัยซึ่งมีน้องชายของเขาเป็นผู้ดูแล ส่วนบิดากับมารดานั้นส่งต่อทุกอย่างและหนีไปสวีทกันที่บ้านพักตากอากาศนานหลายเดือนแล้ว
ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินเข้าไปทางด้านหลังร้านเพราะเขาไม่ชอบที่แบบนี้มากนัก ครั้นเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าน้องชายเพียงคนเดียวกำลังนั่งคลอเคลียอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเมามันบริเวณโต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นภาพปกติที่เขาเห็นจนชินตา ชายหนุ่มกับอคินจึงเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง
“มาเร็วจัง”
ภรัณยูหรือภีม หันมาพูดกับพี่ชายพร้อมกระซิบบอกให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปก่อน ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปียืนขึ้นแล้วรูดซิบกางเกงยีนสีซีดของตัวเองพร้อมกับเดินมานั่งลงตรงข้ามผู้เป็นพี่ ภรัณญูเป็นคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขามักจะชอบสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนขาดๆ เส้นผมของเขาถูกย้อมให้เป็นโทนสีเทาจนดูมีออร่า ติ่งหูหนาใส่จิวเพชรเพียงข้างเดียวดูดีอย่างลงตัว
“วันนี้มีเครื่องดื่มอะไรอีกวะ ภีม” ภาคินัยมองหน้าน้องชายนิ่งพร้อมกับเอียงคออย่างรอคำตอบ
“ก็แค่อยากให้ออกมาเที่ยวสาวบ้าง” ภรัณยูแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กู กลับละ” ภาคินัยเตรียมจะลุกขึ้น ทว่าน้องชายกลับรีบห้ามไว้พร้อมกับสาธยายสิ่งที่เขาพึ่งคิดค้นได้เมื่อไม่นานมานี้
“เฮ้ย! ล้อเล่น วันนี้มีเครื่องดื่มพิเศษ ดื่มง่ายแถมอร่อย แต่อานุภาพรุนแรงตามระดับ”
“เลยมาให้กูชิม”
“ก็ชิมกันหลายๆ คนไง แล้ววันนี้มีสาวๆคนใหม่มาด้วย เผื่อพี่สนใจ”
“ไม่” ภาคินัยปฏิเสธเสียงแข็งกร้าว
“ปฏิเสธเร็วจริงๆ พี่ทำให้ผมคิดว่านกเขาพี่มันไม่ขันแล้ว” ภรัณยูมองหน้าพี่ชายอย่างจับผิด
“ก็แค่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ แล้วก็ไม่อยากนอนกับใครมั่วๆ” เขาย้ำคำหลังแล้วมองหน้าภรัณยูพร้อมกับแค่นหัวเราะออกมา
“ผมคัดคนนะคร๊าบ ไม่ได้มั่วอย่างที่พี่คิด”
“...”
"ถ้าพี่ยังไม่เลิกมองผมแบบนั้น.."
"ทำไม?"
"เปล๊าาา"ภรัณยูยักไหล่แล้วหันไปมองทางอื่น ทว่าในใจของเขากลับคิดอะไรสนุกๆออก
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม
Comments