"...ขอจับมือเธอได้ไหมแค่แป๊บเดียว ตอนนี้ฉัน...ยืนคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ"
ฉันได้แต่ยืนให้เขาบีบมือเอาไว้ เขาก็ไม่มีน้ำตาสักหยดมีแค่ตาแดงก่ำกับร่างกายที่กำลังสั่นสะท้าน
"อยากไปนั่งพักไหมคะ"
"ไม่...ไม่เป็นไร ขอยืนอยู่กับแม่ตรงนี้ดีกว่า" เขาเลือกที่จะไม่ไปไหน ฉันเข้าใจดีถึงมันจะบีบหัวใจแค่ไหนที่ต้องรู้ว่าร่างกายของคนที่เรารักกำลังถูกแผดเผาอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าเลือกได้ก็ยังอยากจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ อยากอยู่ใกล้ ๆ คนที่เรารักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า
"คุณข้าวคะ" เรายืนอยู่ตรงนี้มาเกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว คนอื่นลงไปกันหมดมีแค่ฉันกับเขาเท่านั้น จนกระทั่งพี่ขวัญใจต้องเดินมากระซิบเรียกฉันเลยหันไปส่ายหน้าเบา ๆ แล้วส่งสัญญาณบอกให้พี่ขวัญใจลงไปก่อน
"เธอว่าท่านจะร้อนไหม" คำถามคงดูเหมือนเด็กอนุบาลแต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่าถ้าเป็นร่างกายคนที่เรารัก เราจะรู้สึกสงสารที่ต้องโดนเผาเพราะฉันเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างจากเขา
"ท่านไม่ต้องเจ็บปวดแล้วล่ะค่ะ คุณแม็คก็เหมือนกันหายเศร้าเร็ว ๆ นะคะ คุณป้าคงห่วงถ้าเห็นคุณแม็คเศร้าแบบนี้" ฉันพยายามยิ้มปลอบ ถึงจะรู้ว่าต่อให้ปลอบยังไงเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคำพูดของฉันสักนิดเดียว
"ท่านป่วยนานแค่ไหน"
"ก็...โรคประจำตัวน่ะค่ะ แต่ท่านอายุมากแล้วก็เลยทรุดเร็ว" คุณป้ามีโรคประจำตัวรักษามานานแล้วเหมือนจะไม่เป็นอะไรมากแต่บทจะทรุดท่านก็ทรุดหนักแล้วก็จากไปเลย ทรุดไม่นานแต่ดูท่านทรมานมากเหมือนกัน แต่อย่าบอกเขามากกว่านี้เลยค่ะแค่นี้ก็เสียใจมากแล้ว
"อื้ม เธอลงไปก่อนได้เลย"
"ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวก็อยากยืนส่งคุณป้าให้นานที่สุดเหมือนกัน" หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แค่ยืนมองไปที่ประตูสี่เหลี่ยมนั้นเงียบ ๆ ส่วนมือก็ยังโดนเขาบีบเอาไว้ไม่ปล่อย
-สองวันต่อมา-
"คุณข้าวคะวันนี้เปิดพินัยกรรมนะคะ"
"ค่ะพี่ขวัญใจ"
"แล้วจะไปตอนนี้เลยเหรอคะ"
"ก็ตั้งใจจะไปวันนี้นี่คะ ถึงวันนี้เปิดพินัยกรรมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าวอยู่แล้ว" ฉันกำลังจะย้ายออกค่ะ เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ถึงอยู่บ้านหลังนี้มาเกือบจะทั้งชีวิตแต่ข้าวของที่ฉันเอาไปจริง ๆ ก็มีแค่เอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับตัวเองแล้วก็เสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นแค่นั้นแหละ กระเป๋าแค่สามสี่ใบ
"แต่คุณข้าวเป็นลูกสะใภ้ อย่าดื้อสิคะ อยู่ฟังก่อน"
"อยู่ฟังเดี๋ยวคุณแม็คก็หาเรื่องว่าข้าวอยากได้สมบัติหรอกค่ะ รีบไปแต่เช้านี่แหละ" หลังจากที่เผาศพคุณป้าเสร็จแล้วเมื่อวานก็ต้องเก็บกระดูกกับทำบุญฉันเลยยังไม่ได้ไป แต่วันนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ถึงเวลาสมควรแก่การไปสักทีก่อนที่พายุที่สงบได้วันกว่า ๆ จะถล่มอีกรอบ
"เฮ้อ!"
"ถอนหายใจทำไมคะ ข้าวทำอะไรผิดเหรอ" ฉันถามยิ้ม ๆ เพราะรู้ดีว่าที่ทำก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรยังไงไปก็ดีกว่าอยู่
"คุณข้าวเหมือนจะเป็นน้ำนะคะ แต่ที่จริงไม่ใช่เลยเป็นน้ำมันต่างหาก ทำไมไม่เอาน้ำเย็นเข้าสู้คะ"
"พี่ขวัญใจขา ข้าวเป็นน้ำมานานแล้วค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นน้ำ แต่ระดับนั้นน่ะไม่ใช่ไฟธรรมดาแล้วนะคะ พายุเพลิงต่างหาก เอาน้ำที่มีอยู่น้อยนิดไปดับไม่ได้หรอก"
"แต่ช่วงนี้คุณแม็คก็ไม่ได้โมโหใส่คุณข้าวแล้วนี่คะ" พี่ขวัญใจก็พูดมาได้ แค่ไม่อาละวาดใส่ฉันเมื่อวานวันเดียวเอง
"แค่ยังไม่มีประเด็นมากกว่าค่ะ แต่ถ้าอยู่ฟังพินัยกรรมวันนี้มีประเด็นแน่นอน"
"พี่ไม่คุยกับคุณข้าวแล้ว" พี่ขวัญใจมองค้อนใส่ฉัน
"ฮ่า ๆๆ อย่างอนสิคะ แล้วเดี๋ยวข้าวจะหาเวลามาเยี่ยมบ่อย ๆ นะคะ"
"ค่ะ ๆ ต้องมาบ่อย ๆ นะคะ อยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปีบทจะไปก็ไปดื้อ ๆ คนอะไรสวยแต่ใจแข็งที่สุดเลย"
"ก็มันถึงเวลาแล้วนี่คะพี่ขวัญใจ ข้าวว่ายกกระเป๋าไปเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่เชนจะมาแล้ว อ้อข้าวขอไปลาป้าสุก่อนรบกวนพี่ขวัญใจด้วยนะคะเดี๋ยวข้าวตามพลอยใสมาช่วยยก" ฉันตัดบทเพราะเดี๋ยวมันจะสายไปมากกว่านี้ เกรงใจพี่เชนต้องมาช่วยขนของแต่ออกไปตอนเช้านี่แหละดีที่สุด จะได้เลี่ยงการปะทะ
"ค่ะ" พอพี่ขวัญใจพยักหน้ารับฉันก็เดินออกมาจากห้องทันที ห้องนอนที่ฉันนอนคนเดียวมาแปดปี ความรู้สึกผูกพันธ์มันก็มีอยู่มาก แต่ของที่ไม่ใช่ของเราสักวันเราก็ต้องปล่อยมันไป
"ตื่นแล้วเหรอ" ซวย เปิดประตูออกมาก็เจอคนที่ไม่อยากเจอ ถึงจะถามธรรมดาหน้านิ่ง ๆ ก็เถอะ
"ค่ะ"
"อืม ไปทานข้าวสิฉันกำลังจะไปพอดี" เขาพยักหน้ารับแล้วก็เดินผ่านหน้าฉันไปเลย ชวนฉันไปกินข้าวเช้าเหรอ?
#KWOGANG END
#MAX TALK
"พลอยใส"
"คะคุณแม็ค"
"ไปตามคุณข้าวมาทานข้าว บอกให้มาเร็ว ๆ ฉันรอนานแล้ว" ตอนออกจากห้องผมก็เรียกแล้วนะจะอิดออดเล่นตัวทำไมก็ไม่รู้ นี่ผมก็นั่งรอมาจะยี่สิบนาทีแล้ว
"คะ? ให้ไปตามคุณข้าวมาทานข้าวกับคุณแม็คเหรอคะ" แค่ให้ไปเรียกจะต้องทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้นวะ
"อืม เร็ว ๆ"
"เอ่อคือ วันนี้คุณข้าวคงจะไม่รับอาหารเช้าแล้วมั้งคะคุณแม็ค"
"ทำไม กินแล้วเหรอถ้ากินแล้วก็ไปเรียกมานั่งเป็นเพื่อนฉัน นั่งคนเดียวกินไม่ลง" โต๊ะอาหารยาวขนาดยี่สิบกว่าคนนั่ง แล้วต้องนั่งหัวโต๊ะกินข้าวคนเดียวมันทำให้ผมรู้สึกแย่เป็นบ้าเลย
"ยังค่ะ"
"ยังก็ไปเรียกมาสักที จะให้สั่งอีกกี่รอบ!" แค่บอกให้ไปเรียกมัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ จากที่ผมไม่หงุดหงิดก็เลยมีอารมณ์ขึ้นมา
"คือ คุณข้าวกำลังขนของอยู่ค่ะ คุณเชนมารับแล้ว ขนเสร็จน่าจะออกไปเลยค่ะคุณแม็ค" ขนของเหรอ?
"ขนของอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับไอ้เชน"
"ก็คุณข้าวจะย้ายออกไปอยู่..." พลอยใสตอบช้า ๆ คงเพราะกลัวผม แต่ผมไม่สนใจฟังให้จบหรอก แค่นี้ก็จับใจความได้แล้ว
ผมเดินออกจากห้องอาหารมาที่ห้องโถงก็เจอผู้หญิงคนนั้นกับไอ้เชนเพื่อนข้างบ้านแล้วก็แม่บ้านช่วยกันยกของ ๆ เธอขึ้นรถไอ้เชน
"อ้าวไอ้แม็คตื่นเช้าเลยนะมึง" หึ! ยังมีหน้ามาทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผลัวะ!
"ว้าย! คุณเชน! / พี่เชน!"
ผลัก!
"นี่คุณทำบ้าอะไรมาต่อยพี่เชนทำไม!" ข้าวแกงเดินมาผลักอกผมที่กำลังจะซ้ำมันอีกรอบแล้วก็ตะคอกถามผมเสียงดัง กล้าถามแบบนี้ผมก็เลยยิ่งโมโห
"ต่อยทำไมเหรอ! ไม่ทำร้ายเธอด้วยก็บุญหัวแล้วข้าวแกง!" ผมจับข้อมือเธอขึ้นมาบีบเต็มแรงแล้วก็กระชากออกมาให้ไกลจากไอ้เชนที่โดนต่อยจนล้ม
"ทำบ้าอะไรของคุณ!"
"ฉันต้องถามเธอมากกว่าไหมว่าทำบ้าอะไร! เผาแม่ฉันเสร็จก็ออกลายเลยเหรอ! มันอดใจไม่ได้เหรอวะถึงต้องรีบหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับชู้!"
"ถ้างั้นก็ไปหย่าเลยสิคะ" ผมโคตรเกลียดที่เธอเชิดหน้าท้าทายผมตอนนี้เลย
"หึ! รอเวลานี้มานานรึยังข้าวแกง เวลาที่เธอจะได้สมบัติอย่างที่เธอต้องการ"
"อะไรของคุณ?"
"หึ ๆ ก็สินสมรสไง ที่เมื่อก่อนไม่ยอมหย่าเพราะสินสมรสมันน้อยใช่ไหม พอแม่ฉันตายมรดกทุกอย่างตกเป็นของฉันแล้วก็เลยพร้อมหย่าทันที ทำไม? จะเอาสมบัติฉันไปเสวยสุขกับใคร!" ผู้หญิงคนนี้แม่ง ต่อให้พยายามมองให้ดียังไงสุดท้ายเธอก็เผยธาตุแท้ออกมาทุกครั้ง!
"อย่ามาดูถูกกันนะคุณแม็ค สมบัติของคุณฉันไม่เคยต้องการ!"
"เหรอ ไม่ต้องการจริงเหรอข้าวแกง" ผมแค่นยิ้มเยาะใส่เธอ พูดมาแล้วใครจะเชื่อ ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมรับสารภาพถ้าไม่จำนนต่อหลักฐานจริง ๆ
"คนอย่างคุณก็คิดได้แต่อะไรที่มันแย่ ๆ นั่นล่ะค่ะ"
"ผู้หญิงอย่างเธอมันก็คิดดีไม่ได้เหมือนกัน"
"พอแล้วไอ้แม็ค มึงดูถูกข้าวแกงเกินไปแล้ว" ไอ้เชนเดินมายืนข้างข้าวแกงแล้วก็จับมือผมเหมือนต้องการให้ผมปล่อยมือเธอ
"เรื่องของครอบครัวกูมึงอย่าเสือก!" ถ้าไม่เห็นว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กไอ้หน้าสำอางนี่โดนตีนผมไปแล้ว ไม่มีทางโดนแค่หมัดเดียวหรอก
"ปล่อยข้าวแกงซะไอ้แม็ค มึงอย่าทำร้ายผู้หญิง"
"หึ! ไปสุภาพบุรุษที่อื่นไป ส่วนเธอมานี่!" ผมลากข้าวแกงไปทางบันไดท่ามกลางเสียงร้องตกใจของแม่บ้าน
"ไอ้แม็คมึงจะพาข้าวแกงไปไหน!"
"นี่มันบ้านกู! คนในบ้านกู! คนนอกอย่างมึงมีสิทธิ์อะไรมาถามวะ! ขวัญใจถ้ามีคนนอกคนไหนเดินเข้ามาเกินห้องโถงแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกซะ!" ผมสั่งแม่บ้านเสียงดังลั่นบ้านแล้วก็กระชากผู้หญิงแพศยาขึ้นบันไดทันที
"นี่! ปล่อยนะคะคุณแม็ค!"
"หุบปาก! ถ้าไม่อยากโดนดีก็เดินตามฉันมา!" ได้ผลเพราะเธอยอมเงียบ ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าโดนดีคืออะไร เอาเป็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากโดนแน่นอน หรืออยากโดนแต่แค่ต้องไม่ใช่ผมที่ทำ
ตุบ!
ปัง!
"อยู่ในนี้แล้วห้ามไปไหน" ผมเหวี่ยงเธอไปที่เตียงใหญ่ในห้องนอนของผมเอง
"คุณบังคับฉันไม่ได้นะคะ"
"บังคับไม่ได้ก็ลองดูสิ ลองขัดคำสั่งสิข้าวแกง เธอก็รู้ถ้าฉันสุดมันจะเป็นยังไง!"
"คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้" เธอพูดเสียงนิ่ง คงพยายามข่มเสียงไม่ให้ตะคอกตอบโต้ผม
"เหรอ? ฉันทำได้หรือไม่ได้อยากพิสูจน์เลยไหมล่ะ ยิ่งอารมณ์แบบนี้จะเอาเลยก็ได้นะข้าวแกง เธอรู้ดีกว่าใคร...ว่ามันเจ็บแค่ไหน"