เสียงเอะอะโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นหลังจากที่หมาบ้าออกไปแล้ว เขาตะโกนลั่นบ้านตั้งแต่ยังไม่ทันปิดประตูสั่งให้แม่บ้านขนกระเป๋าของฉันขึ้นมา
แอด~
"เอ่อคือ..." พลอยใสยกกระเป๋าฉันเข้ามาในนี้ เอามาทำไม?
"ยกกระเป๋าฉันเข้ามาในนี้ทำไมพลอยใส"
"คือว่า...คุณแม็คสั่งให้เอามาเก็บห้องนี้ค่ะ"
"เก็บห้องนี้? เอาออกไปเลยพลอยใส ถ้าเขาไม่ให้ฉันไปก็ยกไปเก็บที่ห้องฉัน"
"ห้องนี้นั่นแหละไหน ๆ ก็เก็บของแล้วแม่บ้านจะได้ไม่ต้องวุ่นวายขนอีกรอบ" เขาเดินเข้ามาแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนเมื่อกี้
"หมายความว่ายังไงคะ?" จะให้ฉันอยู่ห้องนี้เนี่ยนะ
"ก็หมายความว่าสามีกลับมาแล้วภรรยาก็ควรย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับสามีสิที่รัก" ฉันเกลียดรอยยิ้มมุมปากของเขาจริง ๆ ถ้าฉันเกิดมานิสัยถ่อยกว่านี้สักนิดฉันจะเดินไปตบปากเขาไม่ยั้งเลย
"ใครที่รักของคุณ!"
"หึ ๆ หุบปากแล้วก็อยู่เฉย ๆ ถ้าไม่อยากโดนดี เก็บของคุณข้าวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าจัดใส่ตู้ให้หมด" เขามัน...โอ้ย!
"ค่ะคุณแม็ค"
"ฉันไม่อยู่ห้องนี้เด็ดขาด!"
"อีกครึ่งชั่วโมงลงไปข้างล่างด้วยล่ะ" เขามองหน้าแล้วก็ยิ้มกับการที่ฉันตะโกนใส่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องอื่นแทน เหมือนคำพูดฉันมันไม่มีความหมายเลยสักนิด
"นี่ฟังฉันบ้างรึเปล่า? ฉันไม่อยู่ห้องนี้ แล้วฉันก็จะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ค่ะ" ฉันเริ่มจะมีอารมณ์แล้ว แต่ก็พยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่อยากทำตัวโหวกเหวกโวยวายแบบเขา
"ออกไปก่อนพลอยใส" เขาสั่งเสร็จพลอยใสก็รีบออกไปเลย เป็นฉันก็รีบวิ่งนะเพราะกลัวฟ้าผ่า
"เธอไม่มีสิทธิ์ออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ยินไหมข้าวแกง"
"เพราะอะไรคะ พิศวาสฉันขึ้นมาเหรอคะ" ฉันปรับน้ำเสียงให้มันปกติถึงในใจจะร้อนเป็นไฟแล้วเพราะรู้ว่าไฟใช้กับไฟแล้วมันไม่ได้อะไร เหมือนอย่างเมื่อกี้ไงตะโกนแข่งไปก็เปล่าประโยชน์
"ถ้าพิศวาสฉันคงไม่ทิ้งให้เธอนอนกอดทะเบียนสมรสคนเดียวตั้งเกือบแปดปีหรอกข้าวแกง"
"แล้วจะให้คนเอาของฉันมาที่นี่ทำไม"
"กันเธอแอบพาชู้มาเสพสมในบ้านฉันไง" ปัญญาอ่อน นี่ความคิดของคนที่จบปริญญาโทมาจากอเมริกาเหรอ สถาบันไม่ได้การันตีคุณภาพของคุณธรรมในสมองเลย คิดเก่งแต่คิดเลว
"ฉันไม่โง่พาใครมาให้คนอื่นเห็นหรอกค่ะ แอบกินข้างนอกตื่นเต้นกว่าเยอะเลย"
"ข้าวแกง!" คนเราพอถึงจุดหนึ่งที่พยายามอธิบายให้ตายสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิมพอโดนบ่อย ๆ มันก็เบื่อนะคะ ตามน้ำความคิดไปเลยก็แล้วกันจะได้จบ
"ทำไมคะ จะเสียงดังทำไมฉันก็ยอมรับแล้วไงไม่พอใจอะไรอีก หึงเหรอคะ?" เขาน่ะตะคอกแล้วเดินเข้ามาเหมือนจะทำร้ายฉัน ฉันก็เลยเชิดหน้าสู้
"โธ่โว้ย!"
ตุ๊บ!
"ออกไปจากห้องฉัน! กลับไปเก็บของให้เรียบร้อย อย่าให้เห็นว่าหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปกับผู้ชายอีกไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอ!" เขาไม่ทำร้ายฉันแต่ถีบกระเป๋าเดินทางจนมันล้มลงไป
"จะให้ฉันอยู่เพื่อ? ไปให้ไกลตาไม่ดีกว่าเหรอคะ"
"หึ! อยากได้อิสระเหรอ เธอทำฉันหมดอิสระฉันก็จะขังเธอไว้เป็นนกในกรงเหมือนกันข้าวแกง อย่าหวังว่าชาตินี้ฉันจะให้เธอไปมีความสุข ถ้าต้องทุกข์ก็อยู่ทุกข์กันทั้งสองคน!"
"ถ้างั้นก็เอาตามที่คุณเห็นสมควรก็แล้วกันนะคะ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน" เขาสั่งให้ทำยังไงก็ต้องทำตามอยู่แล้วล่ะค่ะ ไม่ทำก็ไม่จบหรอก
-สองชั่วโมงต่อมา-
"สวัสดีค่ะคุณอา" ฉันเดินลงมาด้านล่างเพราะมีแม่บ้านขึ้นไปตาม ว่าจะไม่มานั่งรู้เห็นแล้วเชียวเพราะกลัวหมาบ้าจะกัดแต่ก็ต้องลงมาเพราะผู้ใหญ่อย่างคุณอาวิวัฒน์ให้คนไปเรียก
"สวัสดีหนูข้าว นั่งลงสิลูกใกล้เวลาเปิดพินัยกรรมแล้ว"
"ค่ะ" ฉันพยักหน้ารับแล้วก็จำใจนั่งข้างเขา นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ได้อะไรนักหนา
"อย่าดีใจล่ะถ้าสมบัติทั้งหมดตกเป็นของฉัน เพราะถึงเธอจะได้จดทะเบียนแต่ฉันไม่มีทางให้เธอมายุ่งกับเงินของฉันเด็ดขาด" เฮ้อ! งก นั่งรอฟังพินัยกรรมเฉย ๆ ไม่ต้องอยากคุยกับฉันได้ไหมเนี่ย
"ฉันมีงานทำค่ะ และงานของฉันก็ได้เงินเดือน" ฉันหันไปอธิบายด้วยรอยยิ้ม
"หึ!"
"เอาล่ะครับตอนนี้สมาชิกในครอบครัวก็พร้อมหน้าแล้วนะครับ ถึงเวลาตามที่ระบุไว้ในการเปิดพินัยกรรมพอดี ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตอ่านพินัยกรรมเลยนะครับ" ทนายประจำตระกูลเอ่ยขึ้นก็เลยทำให้สงครามย่อม ๆ ที่เขาตั้งใจก่อมันจบลงได้
"เชิญครับ" คุณอาวิวัฒน์เอ่ยขึ้น ทนายก็เลยเปิดซองพินัยกรรม อันที่จริงไม่ต้องมานั่งฟังหรอกค่ะ สมบัติของคุณป้ายังไงก็ต้องตกเป็นของลูกชายคนเดียวอยู่แล้ว
"ข้าพเจ้านางอัจฉรา พัชรการต์กุล อายุห้าสิบเก้าปี อยู่บ้านเลขที่... ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นไว้เพื่อแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมให้ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคตอันได้แก่ บ้าน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หุ้นในตลาดหลักพรัพย์ เครื่องเพรช เงินสดในบัญชี ตกเป็นของ นายมนัสภาส พัชรการต์กุล บุตรชายของข้าพเจ้า"
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาและทุกคนคิดนั่นแหละค่ะ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอก สมบัติมูลค่าน่าจะหลักหมื่นล้านตกเป็นของเขาที่เป็นลูกชายคนเดียว
"และ..."
"อะไรนะครับ? และ หมายความว่าไม่ได้มีแค่ผมงั้นเหรอ" ทนายประจำตระกูลอ่านต่อแค่ประโยคเดียวเขาก็พูดแทรกแถมขมวดคิ้มเป็นปม
"ผมขออ่านต่อให้จบนะครับ" ฉันว่าพายุต้องถล่มหนักแน่เลยค่ะ ไม่เกินสิบนาทีนี้หรอก อยู่ดี ๆ ก็มีคนอื่นด้วย
"และนางสาวกณิศรา พัชรการต์กุล ภรรยาของนายมนัสภาส พัชรการต์กุล ให้เป็นผู้ถือครอง มีสิทธิทุกประการในสมบัติร่วมกัน"
"ว่าไงนะ!" เสียงเขาตะโกนลั่นเส้นเลือดปูดขึ้นมาอีกแล้ว ฉันทำอะไรไม่ถูกที่รู้ว่าคุณป้าเขียนพินัยกรรมแบบนี้ และเหนือสิ่งอื่นใดฉันรู้สึกว่าหายนะมันกำลังมาเยือนฉัน
"ใจเย็น ๆ ก่อนแม็ค แม่เราท่านเขียนเอาไว้แบบนี้ก็ต้องเป็นไปตามนี้"
"หึ! ใจเย็นเหรอครับอา อยู่ดี ๆ ก็ให้ผู้หญิงคนนี้มาได้สมบัติครึ่งหนึ่งของผมไปงั้นเหรอครับ เอายาอะไรกล่อมประสาทแม่ฉันท่านถึงยอมเขียนพินัยกรรมแบบนี้ ฮะ?" เขายิ้มเยาะแล้วก็หันมามองเหยียดฉัน มองเหมือนฉันเป็นขยะแบบที่ชอบมองประจำนั่นแหละ
"ฉันไม่ได้ต้องการค่ะ ฉันขอไม่รับค่ะ ถ้ายังไม่มั่นใจจะหย่าวันนี้เลยก็ได้" ฉันก็คนรึเปล่าคะ ต้องทนให้เขาดูถูกไปถึงไหน ต้องทนไปตลอดชีวิตเลยรึไงทั้งที่ภายในใจของฉันแค่วินาทีเดียวก็ไม่อยากทน
"หึ! ต้องการหย่าเอาสินสมรสแล้วมันต่างกันตรงไหนวะ"
"ก็ทำสัญญาก่อนหย่าสิคะ ระบุไปเลยว่าการหย่าครั้งนี้ฉันจะไม่เอาสินสมรสหรือค่าเลี้ยงดูแม้แต่บาทเดียว ทำตรงนี้เลยก็ได้ต่อหน้าคุณอากับคุณอาทนายไปเลยจะได้มั่นใจสักทีว่าฉันไม่อยากได้เงินของคุณ"
"อย่าท้า" เขาทำเสียงข่มขู่ ทำเหมือนว่าฉันแค่ท้าเรียกร้องความสนใจอย่างนั้นแหละ
"ก็ทำตอนนี้เลยสิคะจะได้รู้ว่าท้าหรือไม่ท้า" ฉันไม่อยากได้ ที่พูดมาทั้งหมดก็พร้อมทำเพราะวันนี้ก็ตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
"เอ่อ ผมยังอ่านพินัยกรรมไม่จบเลยนะครับ ขออนุญาตอ่านต่อให้จบทีเดียวเลยนะครับแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไป"
"เชิญครับคุณทนาย แม็ค ข้าวแกง อาขอร้องช่วยฟังให้จบก่อน" คุณอาวิวัฒน์ขอแกมดุทำให้เขายอมสงบลง สงบแค่ปากนะแต่ใจคงลุกโชน
"หากนายมนัสภาส และนางสาวกณิศรา พัชรการต์กุล หย่าร้างกันภายในห้าปี ข้าพเจ้าขอให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดตกเป็นของสาธารณะทั้งหมด..." ทนายความอ่านพินัยกรรมจนจบ ข้อความที่ระะบุเอาไว้บีบบังคับให้เราสองคนแยกจากกันในตอนนี้ไม่ได้ เหมือนคุณป้าจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเลยนะคะท่านถึงได้มีข้อแม้เรื่องการหย่า แล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไงดี
"หึ! คุณแม่นี่ฉลาดดีนะครับ รู้วิธีผูกมัดผมไว้กับสมบัติมีชีวิตของท่าน" เขาแค่นยิ้มก่อนที่จะเซ็นเอกสารที่ระบุเอาไว้ เสร็จแล้วก็ยกมือไหว้ลาคุณอาวิวัฒน์กับทนายความจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปแต่ก็ไม่วายมองฉันด้วยสายตาดูถูกตบท้าย มันจะอะไรนักหนาไม่เข้าใจ
-20.00 น.-
แอด~
"กรี๊ด!!!" ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องอาบด้วยสภาพที่เปลือยทั้งตัวแต่เขายืนกอดอกยิ้มพิงอ่างล้างหน้าอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"คุณเข้ามาทำไม!" ฉันรีบหันหลังคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันร่างกายเอาไว้ก่อนที่จะหันไปตะโกนถามเขา ตอนนี้ฉันโกรธมากจริง ๆ ไม่เคยรู้สึกโกรธเขามากเท่านี้มาก่อนเลย
"อายเหรอ?" เกลียด! ถามมาได้ยังไง!
"ออกไป" ฉันต้องข่มอารมณ์ทั้งที่ตัวกำลังสั่น แต่เขาก็ยังอยู่ในท่าทางเดิมแถมยังมองฉันหัวจรดเท้า
"เธอนี่...สวยดีนะ" เขาทำเสียงเหมือนคนโรคจิต! แถมยังเลียริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ทุเรศที่สุดเลย!
"พูดบ้าอะไรของคุณ ออกไปเดี๋ยวนี้นะคุณแม็ค"
"เมื่อก่อนก็สวยมากแล้วนะ แต่พอยิ่งโตเป็นสาวเต็มที่...เห็นแล้วมีอารมณ์เลยว่ะ" สายตาเขาที่มองมามันมีแต่ความจาบจ้วงกับความสกปรก!
"ออกไป" ฉันกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริง ๆ มันมากเกินไปไหมกับการเสียมารยาทเข้ามาในห้องน้ำ ทั้งที่ฉันก็กำลังอาบน้ำอยู่ ฉันคนนะไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะทำอะไรยังไงกับฉันก็ได้
"จุ๊ ๆๆ อย่าวีนสิครับที่รัก แค่เข้ามาดูเมียอาบน้ำเอง ของมัน...เคยทำมาหมดแล้ว"
เพล้ง!
ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ คนเราจะต้องทนให้คนอื่นมาหยาบคายไปถึงไหนฉันก็เลยคว้าขวดน้ำหอมที่มันอยู่ในชั้นวางข้าง ๆ ปาไปทางเขา โชคร้ายที่มันเฉียดไปนิดเดียวความซวยเลยตกไปอยู่ที่กระจกแทนที่จะเป็นหน้าของเขา!
"หึ ๆ โกรธจริงหรือเรียกร้องความสนใจ?" เขาตาแข็งกร้าวขึ้นมาแล้วก็หันไปมองกระจก แต่สุดท้ายก็หันมาดูถูกฉันไม่จบไม่สิ้น
"แต่ละคำที่ปากพูดออกมามันวัดระดับสูงต่ำในสมองได้นะคะ"
"เหรอ? ก็ถ้าการที่ฉันพูดตรง ๆ เพราะแอ๊บไม่เป็นตอแหลไม่เก่งแล้วถูกคนอย่างเธอมองว่าต่ำ ฉันก็ยินดีต่ำว่ะข้าวแกง"
"ออกไป!" ฉันไม่อยากคุยกับคนอย่างเขา จิตใจต่ำตมสกปรกโสโครก คิดแต่ว่าความคิดกูเนี่ยถูกต้อง สิ่งที่กูคิดมันครอบจักรวาล
"นี่บ้านฉันแล้วห้องนี้มันก็...ห้องหอของเรา ฉันจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้"
"แต่ตอนนี้ฉันอยู่ห้องนี้ค่ะและคุณเองก็มีห้องส่วนตัวของคุณ กรุณากลับห้องของคุณได้แล้วคุณแม็ค" เส้นเลือดในสมองจะแตก ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
"แล้ว? แล้วไงนี่ก็ห้องฉัน ฉันจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเธอ..." เขาพูดเสียงเบาแต่ฟังดูชั่ว! แล้วก็ย่างสามขุมเข้ามาช้า ๆ
"จะทำอะไร ออกไปนะ!" เขาเดินมาหยุดตรงหน้าฉันแล้วก็จับไหล่ทั้งสองข้างของฉันบีบจนเจ็บถึงกระดูก ก่อนที่จะโน้มหน้าลงมาใกล้ ๆ
"ส่วนเธอเป็นเมียฉัน ฉันจะ...เอาเมื่อไหร่ก็ได้ เอาตอนนี้ตรงนี้ยังได้เลย"
-วันต่อมา-“พี่แม็คคะตื่นได้แล้วค่ะ”“พี่แม็คมันจะเย็นแล้วนะคะ” ฉันพยายามเขย่าตัวคนขี้เซาที่นอนหลับสนิทชนิดที่ว่าไม่แม้แต่จะขยับตัว เมื่อช่วงสายฉันตื่นขึ้นมาเห็นพี่แม็คนอนท่าไหนผ่านมาเกือบสี่ชั่วโมงเขาก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกตอนฉันเดินเข้ามาเมื่อห้านาทีที่แล้วฉันขาสั่นมากเพราะคิดว่าพี่แม็คไหลตายไปแล้วสะอีกดีนะที่ยังหายใจ“พี่แม็ค~” ฉันลองเรียกอีกรอบเพราเวลานี้เกือบจะ 4 โมงเย็นแล้ว คงปล่อยให้นอนต่อไปไม่ได้แล้วล่ะเพราะเขานอนนานเกินไปแล้ว“อือ~ พี่ขอนอนก่อนครับ” เขางัวเงียขยับตัวดึงผ้าห่มปิดหน้าตัวเองแล้วตอบฉันเสียงอู้อี้ ทั้งที่ปกติพี่แม็คไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน ไม่เคยเลยที่จะดึงผ้าห่มปิดหน้าหนี มีแต่เห็นฉันมาปลุกทีไรเขาจะต้องคว้าฉันเข้าไปซุกอกทุกครั้ง“พี่แม็คนอนนานเกินไปแล้วค่ะ ตื่นได้แล้ว” ฉันลองเขย่าตัวเขาอีกครั้งแต่เขากลับนิ่ง อย่าว่าข้าวแกงเซ้าซี้กวนสามีที่กำลังหลับสบายเลยนะคะแต่เหมือนลูกจะคิดถึงคุณพ่อ ไม่ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้วรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้“ฮ้าว~ พี่ได้นอนไปนิดเดียวเองที่รัก” พี่แม็คยอมดึงผ้าห่มออกแล้วบอกฉันทั้งที่ยังไม่ลืมตาฉันเลยเอามือไปลูบแก้มคนข
“อื้อ~ พี่แม็คข้าวไม่ไหวแล้วนะคะ” นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะคะฉันไม่ไหวแล้วพี่แม็คจับฉันทรมานนานเกินไป“พี่ไหวนี่คะ อีกรอบนะให้พี่มั่นใจก่อน” พี่แม็คจูบหน้าผากแล้วก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนตัวเขาก่อนที่มือร้อoของเขาจะลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของฉัน“มั่นใจอะไรคะ”“มั่นใจว่าพ่อแม็คจะได้อุ้มเด็กแฝด” พี่แม็คตอบฉันแล้วยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ส่วนมือก็เอามาจับก้นของฉันกดลงไปหาตัวเขา ทำให้ส่วนนั้นของเราสองคนที่มันประสานกันอยู่แล้วถูกกดลึกและเน้นย้ำจนรู้สึกจุกแน่นภายใน“อื้อ~ ข้าวท้องแล้วนะคะสองเดือนกว่าแล้วด้วยไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” ฉันครางออกมาด้วยความเสียวทั้งที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วแท้ ๆ แต่ก็กลั้นไม่ไหวอยู่ดี“อื้ม~ เผื่อทันไงคะ ถ้าไม่ทันก็ซ้อมไว้ รอบหน้ามดลูกเข้าอู่ก็ปั้มลูกต่อได้เลย พี่จะได้รู้ว่าท่าที่ผ่าน ๆ มามันไม่เวิร์คไง”“ทะลึ่ง อ๊ะ!”“หึ ๆๆ ทะลึ่งตรงไหน เวลาจะเปลี่ยนท่าพี่ก็เคยกระซิบบอกที่รักบ่อย ๆ” พี่แม็คบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีปนกับความแหบพร่านิดหน่อยก่อนที่เขาจะกดสะโพกของฉันให้คลึงท่อนเอ็นเขาเป็นวง“พี่แม็ค! ซี๊ด~ พอแล้วค่ะ” ฉันเริ่มเหนื่อยจนตาจะปิดแล้วถ้าพี่แม็คยังทรมานฉันอยู่แบบนี้ฉันได้สลบคาอกเขาแน่น
-หนึ่งอาทิตย์ต่อมา- หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ และงานศพของพี่เชนก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้วฉันกับพี่แม็คก็เพิ่งจะได้ทิ้งตัวนอนแบบสบายก็วันนี้นี่ล่ะค่ะ ที่บอกว่าสบายเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องทำไม่ต้องไปเจอตำรวจไม่ต้องไปจัดการงานศพ หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันเหนื่อยมากจริง ๆ“พรุ่งนี้ตื่นสายได้นะครับคุณแม่” พี่แม็คทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกดี พี่เขาเหนื่อยล้ามาหลายวันแล้วค่ะ เหนื่อยกว่าทุกคนเลยด้วยซ้ำ“คุณพ่อก็ชอบเลยสิคะ” ฉันยืนอยู่ข้างเตียงพอพูดจบพี่แม็คก็คว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้นั่งลงข้างเขา“ชอบค่ะเพราะว่าพี่เหนื่อยมาก อีกอย่างเมียพี่จะได้พักผ่อนด้วย” พี่แม็คยิ้มให้ เขายิ้มประจบดีเหลือเกินตั้งแต่มีลูกเนี่ย“โอเคค่ะถ้างั้นปิดไฟนอนได้แล้วค่ะคุณพ่อ” ฉันบอกพี่แม็คแล้วก็จะลุกขึ้นเพื่ออ้อมไปนอนฝั่งของฉันแต่พี่เขาดึงมือฉันเอาไว้จนไปไหนไม่ได้“รีบนอนทำไมที่รัก เดี๋ยวค่อยนอนก็ได้ครับพรุ่งนี้ว่าง” ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ เหมือนภัยกำลังจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดูได้จากสายตาของเขา ไหนจะคำพูดอีก“ไม่หื่นนะคะพี่แม็ค ห้ามหื่นเด็ดขาด” ฉันย่นจมูกแล้วก็ชี้นิ้วใส่เขาเพื่
ปัง!“เชน! / ไอ้เชน!”ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นัดแรกคือนัดที่พี่เชนโดนยิงเข้าที่ข้อมือ พอมันดังขึ้นฉันก็เลยรีบกลับเข้าไปตรงจุดนั้นอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงพี่แม็ค แต่เสียงตะโกนลั่นของหลายคนดังขึ้นจนฉันไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรกันแน่“...กรี๊ด!” พอฉันเข้าไปถึงที่ตรงนั้นภาพตรงหน้าก็ทำฉันช็อกจนนิ่งก่อนที่จะกรี๊ดออกมาจนสุดเสียงเพราะพี่เชนนอนอยู่ที่พื้นพร้อมกองเลือดที่กระจายและบางส่วนที่เริ่มไหลนองพื้น มือพี่เขาถือปืนเอาไว้พร้อมกับสายตาที่เบิกโพลง!“ข้าวแกง!” พี่แม็ครีบวิ่งเข้ามาประคองฉันที่ทรุดลงไปที่พื้น ครั้งแรกกับการเห็นอะไรแบบนี้ต่อหน้าต่อตามันสยดสยองและที่มากไปกว่านั้นคนตรงหน้าคือคนที่ฉันรักเหมือนพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงวันนี้พี่เชนจะทำเรื่องแย่ ๆ กับฉันแต่ความผูกพันมันไม่ได้ลบออกกันได้ง่าย ๆ“พี่แม็ค...พี่เชน พี่เชนเป็นอะไรคะ” ฉันตัวสั่นถามพี่แม็ค สายตาก็ยังมองไปที่พี่เชนที่เลือดไหลออกมาจากปากและรอยแผลตรงใต้คางไม่หยุด มันทะลักออกมาเลยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงจนถึงขั้นที่พี่แม็คพยายามพยุงให้ลุกขึ้นแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับขาได้เลย“อย่ามองข้าวเดี๋ยวภาพติดตา พ
“มึงรู้ไหมกูโคตรเกลียดพวกมึงเลย ฆ่าคนตายแล้วยังมีที่ยืนในสังคม ทีแรกกูว่าว่ารอแก้แค้นมันตอนโตแต่พ่อมึงดันชิงตายก่อนแล้วบังเอิญกูยังไม่หายแค้นกูเลยมาลงที่มึงไง เผื่อวิญญาณพ่อมึงในนรกจะเห็นว่าลูกมันชีวิตพังเพราะลูกชายของคนที่มันฆ่า!”“ถ้ามึงไม่หยุดพูดถึงพ่อกูด้วยคำพูดเหี้ย ๆ กูจะยิงมึงเหมือนที่มึงกล่าวหาพ่อกู!”“ฮ่า ๆๆ จะยิงกูเหรอ? เอาเลย! เอาสิ! ถ้ามึงฆ่ากูไม่ตาย...กูจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกมึงเอง ทั้งมึงแล้วก็เลือดชั่ว ๆ ของมึงในท้องข้าวแกง”...มันตะโกนท้าทายผม แล้วก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเพราะมันคว้าปืนที่ซ่อนไว้แต่ผมมองไม่เห็นออกมาแล้วเล็งไปทางข้าวแกงด้วยแววตาที่โกรธจัด!“อย่าหน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้” ผมโกรธที่เห็นมันจ่อปืนไปทางข้าวแกง ลูกผู้ชายต่อให้ใกล้ตายก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายผู้หญิง ยิ่งเอาปืนมาขู่แบบนี้มันโคตรบรรพบุรุษของสัตว์นรก“ฮ่า ๆๆ อะไรที่ทำแล้วกูทำลายพวกมึงได้กูทำได้ทุกอย่างว่ะ” ผมไม่ได้กลัวแต่ผมโกรธ โกรธที่มันกล้าทำให้เมียผมกลัว! หน้าตาข้าวแกงตอนนี้เธอแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอกลัวแล้วก็กลัวมากจนตัวสั่น ไหนจะมือที่กอดหน้าท้องตัวเองแน่นนั่นอีก“แม้แต่ยิงข้าวแกงงั้นเ
(ฟังให้ดีนะข้าว ไม่ว่าข้าวจะพยายามพูดกับพี่ด้วยวิธีไหนก็ตาม พี่ไม่กลับไป พี่จะเดินหน้าต่อ และข้าวก็ต้องเดินไปกับพี่!)(ไม่ค่ะ พี่เชนทำแบบนี้ไม่ได้หรอก) ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที(หึ! ทำไม่ได้เหรอ? โอเคที่รัก ถ้างั้นก็เลือกเอาว่าจะไปกับพี่หรือ...จะหอบร่างที่ไม่หายใจทั้งแม่ทั้งลูกกลับไปหามัน!)...ไอ้เหี้ยเชน!ผมโกรธจนตัวสั่น ทุกคำที่ข้าวแกงคุยกับมันผมได้ยินตั้งแต่ต้นมันทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ใจมันร้อนเป็นไฟอยากตรงเข้าไปยิงหัวมันแต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“ตามสัญญาณโทรศัพท์เมียกูให้เจอภายในห้านาที ถ้าทำไม่ได้กูจะจัดการพวกมึงทุกคน!” ผมหันไปสั่งลูกน้องเสียงดังลั่นห้อง แล้วก็พยายามฟังว่ามันคุยอะไรกับข้าวแกงอีก แต่ยิ่งฟังคำพูดเหี้ย ๆ ก็ยิ่งออกจากปากมัน“เจอแล้วครับนาย ไปทางนครปฐมครับ” ไม่ถึงสองนาทีคนของผมก็ตามสัญญาณเจอผมก็เลยพยักหน้าแล้วเดินนำลูกน้องออกมาจากห้องทำงานด้วยความรวดเร็ว พวกที่เหลือก็กรูตามผมออกมาจนพนักงานแล้วก็พวกผู้บริหารที่เจอระหว่างทางตกใจไปตาม ๆ กันผมมีลูกน้องที่จ้างมาคอยให้ช่วยงานเหี้ย ๆ เป็นทีมโดยที่ไม่เคยบอกใคร ผมเป็นผู้บริหารสายการบินที่เพิ่งเข้ามาทำงานจะให้ผมใช้