"คุณ..."
"มีอะไรก็พูดมาอย่าให้ฉันรำคาญไปมากกว่านี้ได้ไหม!"
"...คุณแม็คโอเครึเปล่าคะ ให้ข้าวนั่งเป็นเพื่อนไหม"
"...อยากนั่งเป็นเพื่อนฉันเหรอ" ผมค่อนข้างแปลกใจที่วันนี้เธอพูดดีกับผมผิดปกติ
"ก็ถ้าคุณแม็คอยากมีใครนั่งเป็นเพื่อนข้าวก็ยินดีค่ะ"
"...ไปหวังดีกับผู้ชายคนอื่นไป" คำพูดที่ออกจากปากสวย ๆ เสียงหวาน ๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกดีหรืออาจจะถึงขั้นละลายไปแล้ว แต่สำหรับผม...ไม่อินว่ะ
"ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นก็ตามสบายนะคะ" ผมโคตรเกลียดรอยยิ้มของเธอเลย กวนประสาท!
"ก็ไปไกล ๆ สักที อย่ามาอยู่ให้รกสายตาฉัน"
"ค่ะ ฝันดีนะคะ"
#MAX END
#KAOGANG TALK
เสียดายปาก เห็นเดินเศร้าเข้ามาในศาลาคนเดียวแล้วก็มาหยุดยืนหน้าโลงศพคุณป้าตั้งนานสองนาน ฉันก็แค่เป็นห่วงตามประสาคนที่กินข้าวหม้อเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก เจอแบบนี้เสียดายปากจังเลย
"หึ! เธอคงนอนฝันหวานได้นะข้าวแกง ทั้งที่แม่ฉันนอนอยู่ตรงนี้!"
"ไม่หาเรื่องกันสักวันจะได้ไหมคะคุณแม็ค อย่างน้อยก็ต่อหน้าโลง...ต่อหน้าคุณป้าก็ยังดี"
"ขอโทษนะแต่ฉันไม่ถนัดแสดงละครว่ะ" เกลียดหน้าเขาที่สุดเลยไอ้หน้าหยิ่งจองหองที่เอาแต่มองเหยียดฉันได้ทุกเวลา
"ก็...หัดไว้บ้างสิคะ"
"ข้าวแกง อย่าต่อปากต่อคำกับฉัน" เขาดูกำลังข่มอารมณ์ แต่ฉันไม่ได้ยั่วแค่บอกเขาไปสั้น ๆ แถมหน้าตาฉันก็นิ่งเฉยไม่ได้พยายามยั่วโมโหอะไรเลย ตอนพูดประโยคเมื่อกี้ฉันเนือยใส่เขาด้วยซ้ำ
"โอเคค่ะ ฉันไม่กวนแล้ว เชิญคุณตามสบายนะคะ" ฉันตัดบทแล้วก็หันหลังเดินออกมา ถึงจะมีอารมณ์ที่เขาเอาแต่พูดจาแย่ ๆ แต่ตรงนี้มันคือหน้าโลงศพคุณป้า แล้วเขาก็คงอยู่ในอารมณ์เศร้าฉันก็เลยเลือกที่จะไม่สู้รบตบมือต่อ
วันนี้ฉันตั้งใจจะอยู่กับคุณป้าเพราะพรุ่งนี้ก็จะไม่มีท่านแล้วจริง ๆ แต่เห็นเขาอยู่ก็เลยเลี่ยงออกมาดีกว่า ฉันแค่เด็กที่ท่านชุบเลี้ยง แต่เขาเป็นลูกชายคนเดียวของท่าน ท่านคงอยากอยู่กับลูกชายท่านมากกว่า แล้วอีกอย่างคน ๆ นั้นก็คงไม่แฮปปี้เท่าไหร่ถ้ามีฉันวนเวียนอยู่ตรงนั้น
-วันต่อมา-
"น้องข้าวทำไมมาอยู่ตรงนี้คะ ไปรับแขกช่วยคุณแม็คเร็วค่ะ" พี่รดาเลขาของคุณป้าเดินมาเรียกฉันที่ยืนอยู่ด้านข้างศาลาคอยดูแลความเรียบร้อยของงาน
"อืม...ไม่ดีกว่าค่ะพี่ดา ข้าวคอยดูตรงนี้ดีกว่า" ฉันส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม วันสวดยังห้ามฉันเสนอหน้าไปรับแขก แต่วันนี้แขกเยอะกว่าทุกวัน ขืนฉันไปรับแขกข้างเขามีหวังพายุถล่มลงมาแน่
"แต่คุณวิวัฒน์ท่านถามหานะคะ คุณแม็คก็เลยให้พี่มาตามน้องข้าวค่ะ"
"อ่อค่ะ ถ้างั้นพี่รดาล่วงหน้าไปก่อนนะคะเดี๋ยวข้าวขอเช็คของชำร่วยก่อนจะได้ให้คนยกไปเตรียมไว้ข้างหน้า" ฉันพยักหน้ารับทันที บุคคลที่เขากับฉันเคารพและเกรงใจไม่ต่างจากคุณป้าเป็นคนเรียกหานี่เอง ฉันรีบจัดการธุระตรงนี้ให้เสร็จแล้วก็เดินไปด้านหน้างาน แขกเริ่มทะยอยมาเยอะแล้ว
"กว่าจะมาได้ นึกว่าต้องให้คุณอากับฉันไปอัญเชิญ" แค่เดินไปยืนใกล้ ๆ ตามที่ควรจะยืนเขาก็พูดรอดไรฟันออกมาแขวะฉันซะแล้ว
"ฉันไม่ทราบว่าควรมายืนตรงนี้นี่คะ คุณแม็คเป็นคนสั่งเองว่าอย่ามารับแขกกับคุณ" ฉันตอบเรียบ ๆ ก่อนที่จะยิ้มให้แขกที่เดินเข้ามาพอดี
"คุณหญิงสุมิตานายกสมาคม... ค่ะ เรียกท่านว่าคุณป้าตาก็ได้" ฉันขยับปากบอกเขาเบา ๆ เพื่อให้เขารู้ว่าคนที่เดินเข้ามาคือใคร
"สวัสดีครับ/ค่ะ"
"สวัสดีค่ะ นี่...คุณแม็คลูกชายคุณกีรติใช่ไหมคะ"
"ครับคุณป้าตา"
"จ้ะ คุณกีรติเล่าเรื่องลูกชายให้ป้าฟังบ่อย ๆ เธอบอกว่าลูกชายเก่งแล้วก็หล่อมาก วันนี้ได้เจอตัวจริงหล่อสมกับที่คุณแม่เล่าจริงๆ ป้าเสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะจ้ะ"
"ขอบคุณครับ" เขาดูเศร้าลงไปถนัดตาตอนที่คุณหญิงสุมิตาพูดถึงคุณป้า แต่เป็นใครก็ต้องเศร้าใช่ไหมล่ะคะ
"จ้ะ ถ้างั้นป้าเข้าไปนั่งในศาลาดีกว่าคุณแม็คกับหนูข้าวจะได้รับแขกคนอื่นต่อ"
"ขอบคุณมากนะคะคุณป้า เชิญคุณป้าทางนี้เลยค่ะ" ฉันเป็นคนรับช่วงต่อเพราะมีแขกคนอื่นที่ทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงหรือแขวะกันหรอก เพิ่งจะได้หยุดยืนนิ่ง ๆ จริงๆ ก็ตอนช่วงเวลาที่มัน...ไม่อยากให้มาถึงเลย
ในเวลานี้คนในครอบครัว ญาติ และคนใกล้ชิดของคุณป้าทุกคนมายืนรวมตัวกันข้างโลงศพของท่าน ทุกคนที่ยืนข้างบนนี้กำลังเข้าไปลาท่าน มันใกล้ถึงเวลาที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึง รวมถึงตัวฉันเองที่ยืนอยู่ข้างเขาแต่ฉันกำลังจะยืนไม่ไหวจนต้องถอยหลังออกมาเกาะแขนป้าสุเอาไว้เพื่อพยุงตัวเอง
"คุณข้าวไหวรึเปล่าคะ" ป้าสุกระซิบถามฉันเบา ๆ แล้วจับมือฉันที่เกาะแขนป้าสุเอาไว้
"ข้าวไม่อยากอยู่ตรงนี้เลยค่ะป้าสุ" ฉันไม่อยากอยู่ตอนที่มีคนเคลื่อนคุณป้าเข้าไปในนั้น ฉันไม่อยากอยู่ตอนที่มีไฟลุกท่วมร่างของท่าน
"คุณข้าวคะเข้มแข็งนะคะ คุณท่านขอคุณข้าวเอาไว้ว่ายังไงคนดีของป้าจำได้ใช่ไหม" ป้าสุบีบมือฉันแน่น ฉันได้แต่นิ่งฟังแล้วเม้มปากกลั้นสะอื้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
"ค่ะ" ฉันพยักหน้ารับ จำได้ทุกคำที่ท่านสั่งก่อนท่านหมดลมหายใจก่อนที่จะมองไปข้างหน้า มองไปที่แผ่นหลังกว้างของใครคนนั้น
...ช่วยยืนอยู่ข้าง ๆ เขาในวันที่เขาเสียใจ อย่ายืนห่างเขาเพราะเขาจะไม่มีใคร
"ไปหาคุณแม็คนะคะคนดีของป้า"
"เขาไม่อยากให้ข้าวยืนตรงนั้นหรอกค่ะป้าสุ" แล้วฉันเองก็ไม่อยากยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งไม่อยากยืนมองเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่อยากยืนเพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีฉันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว
"อย่าคิดแบบนั้นสิคะ เผื่อคุณแม็คเธอต้องการคนพยุง คุณท่านต้องการอย่างเดียวก็คือให้คุณสองคนคอยพยุงกันและกันในวันที่อีกคนกำลังจะล้ม ทำให้ท่านสบายใจเถอะนะคะคนดีของป้า" ฉันมองหน้าป้าสุที่มองฉันอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาขอร้อง ชั่งใจอยู่สักพักถึงได้ขยับขึ้นไปข้างหน้า
ฉันขยับมายืนไม่ไกลจากเขาอีกครั้ง ห่างกันแค่ไม่เกินสองไม้บรรทัด แอบลอบมองเขาก็เห็นเขายืนนิ่งมองไปที่ร่างของคุณป้าไม่วางตา เขารอจนทุกคนเข้าไปลาคุณป้าเสร็จถึงได้เดินไปหยุดข้างโลงศพ
"ผม...รักแม่นะครับ พักผ่อนนะครับแม่ผมจะดูแลทุกอย่างแทนแม่เอง ไม่ต้องห่วงนะขอแค่แม่หลับพักผ่อนให้สบายก็พอ อย่ามีห่วงหรือทุกข์กับอะไรลูกชายของแม่คนนี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลาก่อนนะครับคนเก่งของผม ผมจะคิดถึงแม่ทุกวัน" เขาพูดกับท่านด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง มันเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความเสียใจก่อนที่เขาจะถอยหลังมายืนข้างฉันอีกครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนเขามีอะไรที่อยากจะบอกท่านมากกว่านี้แต่พูดไม่ออกมากกว่า
เรายืนอยู่ตรงนี้รอให้เจ้าหน้าที่ของวัดจัดทำทุกอย่างตามขั้นตอน อยากให้ทุกอย่างมันช้ากว่านี้แต่สุดท้ายเวลาที่ไม่ต้องการให้ถึงก็มาถึงแล้วจริง ๆ ทุกคนร้องไห้ระงมทันทีที่เจ้าหน้าที่เคลื่อนคุณป้าเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั่น
...หลับให้สบายนะคะคุณป้า
ฉันพูดในใจได้เท่านี้น้ำตามันก็ไหลออกมาช้า ๆ อยากจะบอกอะไรท่านตั้งหลายอย่างแต่มันจุกในใจเลยไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนได้มากกว่านี้
ฉันกับทุกคนยืนมองเจ้าหน้าที่ปิดประตูสี่เหลี่ยมนั้นลง แขนมันสั่น ขาก็ไร้เรี่ยวแรง ส่วนใจก็เต้นเหมือนจะขาดใจตาย ตอนนี้เสียงญาติ คนสนิท และคนงานในบ้านร้องไห้สะอื้นตาม ๆ กัน จนกระทั่งเสียงสัญญาณของเตาไฟฟ้าดังขึ้นนั่นแหละเสียงสะอื้นก็เลยเปลี่ยนเป็นเสียงร้องระงมอีกครั้ง
หมับ!
ฉันรับรู้ถึงแรงจับและบีบที่มือ แรงบีบที่ทั้งแรงแล้วก็สั่นของอีกฝ่ายทำให้ฉันต้องหันไปมองคนที่จับมือฉันเอาไว้ช้า ๆ ภาพที่ฉันเห็นคือใครคนหนึ่งที่เอาแต่มองตรงไปที่ประตูของเตาไฟฟ้าด้วยสายตาแดงก่ำไม่วางตา แถมตัวเขาก็สั่นสะท้าน
ยิ่งมองเขาก็ยิ่งบีบมือฉันแรงมากกว่าเดิม แรงจนฉันต้องกระตุกมือตัวเองเบา ๆ เพื่อให้เขามีสติและรับรู้ว่าเขากำลังเผลอมาจับมือฉันเอาไว้แบบไม่ได้ตั้งใจ
"...ขอจับมือเธอได้ไหมแค่แป๊บเดียว ตอนนี้ฉัน...ยืนคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ"
-วันต่อมา-“พี่แม็คคะตื่นได้แล้วค่ะ”“พี่แม็คมันจะเย็นแล้วนะคะ” ฉันพยายามเขย่าตัวคนขี้เซาที่นอนหลับสนิทชนิดที่ว่าไม่แม้แต่จะขยับตัว เมื่อช่วงสายฉันตื่นขึ้นมาเห็นพี่แม็คนอนท่าไหนผ่านมาเกือบสี่ชั่วโมงเขาก็ยังคงนอนอยู่ท่าเดิม บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกตอนฉันเดินเข้ามาเมื่อห้านาทีที่แล้วฉันขาสั่นมากเพราะคิดว่าพี่แม็คไหลตายไปแล้วสะอีกดีนะที่ยังหายใจ“พี่แม็ค~” ฉันลองเรียกอีกรอบเพราเวลานี้เกือบจะ 4 โมงเย็นแล้ว คงปล่อยให้นอนต่อไปไม่ได้แล้วล่ะเพราะเขานอนนานเกินไปแล้ว“อือ~ พี่ขอนอนก่อนครับ” เขางัวเงียขยับตัวดึงผ้าห่มปิดหน้าตัวเองแล้วตอบฉันเสียงอู้อี้ ทั้งที่ปกติพี่แม็คไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ใส่ฉัน ไม่เคยเลยที่จะดึงผ้าห่มปิดหน้าหนี มีแต่เห็นฉันมาปลุกทีไรเขาจะต้องคว้าฉันเข้าไปซุกอกทุกครั้ง“พี่แม็คนอนนานเกินไปแล้วค่ะ ตื่นได้แล้ว” ฉันลองเขย่าตัวเขาอีกครั้งแต่เขากลับนิ่ง อย่าว่าข้าวแกงเซ้าซี้กวนสามีที่กำลังหลับสบายเลยนะคะแต่เหมือนลูกจะคิดถึงคุณพ่อ ไม่ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้วรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้“ฮ้าว~ พี่ได้นอนไปนิดเดียวเองที่รัก” พี่แม็คยอมดึงผ้าห่มออกแล้วบอกฉันทั้งที่ยังไม่ลืมตาฉันเลยเอามือไปลูบแก้มคนข
“อื้อ~ พี่แม็คข้าวไม่ไหวแล้วนะคะ” นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะคะฉันไม่ไหวแล้วพี่แม็คจับฉันทรมานนานเกินไป“พี่ไหวนี่คะ อีกรอบนะให้พี่มั่นใจก่อน” พี่แม็คจูบหน้าผากแล้วก็พลิกตัวให้ฉันนอนบนตัวเขาก่อนที่มือร้อoของเขาจะลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของฉัน“มั่นใจอะไรคะ”“มั่นใจว่าพ่อแม็คจะได้อุ้มเด็กแฝด” พี่แม็คตอบฉันแล้วยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ส่วนมือก็เอามาจับก้นของฉันกดลงไปหาตัวเขา ทำให้ส่วนนั้นของเราสองคนที่มันประสานกันอยู่แล้วถูกกดลึกและเน้นย้ำจนรู้สึกจุกแน่นภายใน“อื้อ~ ข้าวท้องแล้วนะคะสองเดือนกว่าแล้วด้วยไม่ทันแล้วล่ะค่ะ” ฉันครางออกมาด้วยความเสียวทั้งที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วแท้ ๆ แต่ก็กลั้นไม่ไหวอยู่ดี“อื้ม~ เผื่อทันไงคะ ถ้าไม่ทันก็ซ้อมไว้ รอบหน้ามดลูกเข้าอู่ก็ปั้มลูกต่อได้เลย พี่จะได้รู้ว่าท่าที่ผ่าน ๆ มามันไม่เวิร์คไง”“ทะลึ่ง อ๊ะ!”“หึ ๆๆ ทะลึ่งตรงไหน เวลาจะเปลี่ยนท่าพี่ก็เคยกระซิบบอกที่รักบ่อย ๆ” พี่แม็คบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีปนกับความแหบพร่านิดหน่อยก่อนที่เขาจะกดสะโพกของฉันให้คลึงท่อนเอ็นเขาเป็นวง“พี่แม็ค! ซี๊ด~ พอแล้วค่ะ” ฉันเริ่มเหนื่อยจนตาจะปิดแล้วถ้าพี่แม็คยังทรมานฉันอยู่แบบนี้ฉันได้สลบคาอกเขาแน่น
-หนึ่งอาทิตย์ต่อมา- หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ และงานศพของพี่เชนก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้วฉันกับพี่แม็คก็เพิ่งจะได้ทิ้งตัวนอนแบบสบายก็วันนี้นี่ล่ะค่ะ ที่บอกว่าสบายเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องทำไม่ต้องไปเจอตำรวจไม่ต้องไปจัดการงานศพ หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันเหนื่อยมากจริง ๆ“พรุ่งนี้ตื่นสายได้นะครับคุณแม่” พี่แม็คทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกดี พี่เขาเหนื่อยล้ามาหลายวันแล้วค่ะ เหนื่อยกว่าทุกคนเลยด้วยซ้ำ“คุณพ่อก็ชอบเลยสิคะ” ฉันยืนอยู่ข้างเตียงพอพูดจบพี่แม็คก็คว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้นั่งลงข้างเขา“ชอบค่ะเพราะว่าพี่เหนื่อยมาก อีกอย่างเมียพี่จะได้พักผ่อนด้วย” พี่แม็คยิ้มให้ เขายิ้มประจบดีเหลือเกินตั้งแต่มีลูกเนี่ย“โอเคค่ะถ้างั้นปิดไฟนอนได้แล้วค่ะคุณพ่อ” ฉันบอกพี่แม็คแล้วก็จะลุกขึ้นเพื่ออ้อมไปนอนฝั่งของฉันแต่พี่เขาดึงมือฉันเอาไว้จนไปไหนไม่ได้“รีบนอนทำไมที่รัก เดี๋ยวค่อยนอนก็ได้ครับพรุ่งนี้ว่าง” ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ เหมือนภัยกำลังจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดูได้จากสายตาของเขา ไหนจะคำพูดอีก“ไม่หื่นนะคะพี่แม็ค ห้ามหื่นเด็ดขาด” ฉันย่นจมูกแล้วก็ชี้นิ้วใส่เขาเพื่
ปัง!“เชน! / ไอ้เชน!”ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นัดแรกคือนัดที่พี่เชนโดนยิงเข้าที่ข้อมือ พอมันดังขึ้นฉันก็เลยรีบกลับเข้าไปตรงจุดนั้นอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงพี่แม็ค แต่เสียงตะโกนลั่นของหลายคนดังขึ้นจนฉันไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรกันแน่“...กรี๊ด!” พอฉันเข้าไปถึงที่ตรงนั้นภาพตรงหน้าก็ทำฉันช็อกจนนิ่งก่อนที่จะกรี๊ดออกมาจนสุดเสียงเพราะพี่เชนนอนอยู่ที่พื้นพร้อมกองเลือดที่กระจายและบางส่วนที่เริ่มไหลนองพื้น มือพี่เขาถือปืนเอาไว้พร้อมกับสายตาที่เบิกโพลง!“ข้าวแกง!” พี่แม็ครีบวิ่งเข้ามาประคองฉันที่ทรุดลงไปที่พื้น ครั้งแรกกับการเห็นอะไรแบบนี้ต่อหน้าต่อตามันสยดสยองและที่มากไปกว่านั้นคนตรงหน้าคือคนที่ฉันรักเหมือนพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงวันนี้พี่เชนจะทำเรื่องแย่ ๆ กับฉันแต่ความผูกพันมันไม่ได้ลบออกกันได้ง่าย ๆ“พี่แม็ค...พี่เชน พี่เชนเป็นอะไรคะ” ฉันตัวสั่นถามพี่แม็ค สายตาก็ยังมองไปที่พี่เชนที่เลือดไหลออกมาจากปากและรอยแผลตรงใต้คางไม่หยุด มันทะลักออกมาเลยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงจนถึงขั้นที่พี่แม็คพยายามพยุงให้ลุกขึ้นแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับขาได้เลย“อย่ามองข้าวเดี๋ยวภาพติดตา พ
“มึงรู้ไหมกูโคตรเกลียดพวกมึงเลย ฆ่าคนตายแล้วยังมีที่ยืนในสังคม ทีแรกกูว่าว่ารอแก้แค้นมันตอนโตแต่พ่อมึงดันชิงตายก่อนแล้วบังเอิญกูยังไม่หายแค้นกูเลยมาลงที่มึงไง เผื่อวิญญาณพ่อมึงในนรกจะเห็นว่าลูกมันชีวิตพังเพราะลูกชายของคนที่มันฆ่า!”“ถ้ามึงไม่หยุดพูดถึงพ่อกูด้วยคำพูดเหี้ย ๆ กูจะยิงมึงเหมือนที่มึงกล่าวหาพ่อกู!”“ฮ่า ๆๆ จะยิงกูเหรอ? เอาเลย! เอาสิ! ถ้ามึงฆ่ากูไม่ตาย...กูจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกมึงเอง ทั้งมึงแล้วก็เลือดชั่ว ๆ ของมึงในท้องข้าวแกง”...มันตะโกนท้าทายผม แล้วก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเพราะมันคว้าปืนที่ซ่อนไว้แต่ผมมองไม่เห็นออกมาแล้วเล็งไปทางข้าวแกงด้วยแววตาที่โกรธจัด!“อย่าหน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้” ผมโกรธที่เห็นมันจ่อปืนไปทางข้าวแกง ลูกผู้ชายต่อให้ใกล้ตายก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายผู้หญิง ยิ่งเอาปืนมาขู่แบบนี้มันโคตรบรรพบุรุษของสัตว์นรก“ฮ่า ๆๆ อะไรที่ทำแล้วกูทำลายพวกมึงได้กูทำได้ทุกอย่างว่ะ” ผมไม่ได้กลัวแต่ผมโกรธ โกรธที่มันกล้าทำให้เมียผมกลัว! หน้าตาข้าวแกงตอนนี้เธอแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอกลัวแล้วก็กลัวมากจนตัวสั่น ไหนจะมือที่กอดหน้าท้องตัวเองแน่นนั่นอีก“แม้แต่ยิงข้าวแกงงั้นเ
(ฟังให้ดีนะข้าว ไม่ว่าข้าวจะพยายามพูดกับพี่ด้วยวิธีไหนก็ตาม พี่ไม่กลับไป พี่จะเดินหน้าต่อ และข้าวก็ต้องเดินไปกับพี่!)(ไม่ค่ะ พี่เชนทำแบบนี้ไม่ได้หรอก) ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที(หึ! ทำไม่ได้เหรอ? โอเคที่รัก ถ้างั้นก็เลือกเอาว่าจะไปกับพี่หรือ...จะหอบร่างที่ไม่หายใจทั้งแม่ทั้งลูกกลับไปหามัน!)...ไอ้เหี้ยเชน!ผมโกรธจนตัวสั่น ทุกคำที่ข้าวแกงคุยกับมันผมได้ยินตั้งแต่ต้นมันทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ใจมันร้อนเป็นไฟอยากตรงเข้าไปยิงหัวมันแต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“ตามสัญญาณโทรศัพท์เมียกูให้เจอภายในห้านาที ถ้าทำไม่ได้กูจะจัดการพวกมึงทุกคน!” ผมหันไปสั่งลูกน้องเสียงดังลั่นห้อง แล้วก็พยายามฟังว่ามันคุยอะไรกับข้าวแกงอีก แต่ยิ่งฟังคำพูดเหี้ย ๆ ก็ยิ่งออกจากปากมัน“เจอแล้วครับนาย ไปทางนครปฐมครับ” ไม่ถึงสองนาทีคนของผมก็ตามสัญญาณเจอผมก็เลยพยักหน้าแล้วเดินนำลูกน้องออกมาจากห้องทำงานด้วยความรวดเร็ว พวกที่เหลือก็กรูตามผมออกมาจนพนักงานแล้วก็พวกผู้บริหารที่เจอระหว่างทางตกใจไปตาม ๆ กันผมมีลูกน้องที่จ้างมาคอยให้ช่วยงานเหี้ย ๆ เป็นทีมโดยที่ไม่เคยบอกใคร ผมเป็นผู้บริหารสายการบินที่เพิ่งเข้ามาทำงานจะให้ผมใช้