รู้ตัวอีกที หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าสายมากแล้ว รีบสั่งให้สาวใช้ไปต้มน้ำแกงไก่ใส่สมุนไพรนำไปให้ท่านเขย แต่สาวใช้บอกว่าท่านเขยออกจากบ้านไปหาหมอหลวงอิ่นนานแล้ว แม้นางจะอยากเจอหน้าเขา น้อยใจที่เขาไม่มาหานางก่อนเดินทาง แต่หากเขารีบร้อนเพื่อไปรักษาอาการป่วย ย่อมเป็นเรื่องดี
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าตัวเองก็ไม่มีเวลาดูแลเขา การมอบหมายให้พ่อบ้านที่มีความสามารถดูแลเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอันใด
วันเวลาของนางใช้ไปกับการช่วยอาหงฝึกมารยาท เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในวังหลัง ลืมกระทั่งไปรับยู่ยี่มาอยู่ด้วย เพราะท่านย่าพยายามเอาใจนางทุกทาง ท่านย่าไม่ต้องการให้นางไปคลุกคลีกับพวกชนชั้นต่ำ
วันที่สาม ในที่สุดก็มีขันทีมาประกาศราชโองการที่จวนของแม่ทัพหลี่ ยามนั้นลู่มู่เฉินได้เดินทางออกไปรักษาตัวแต่เช้าแล้ว ในจวนจึงมีเพียงหลี่เฟิ่งเซียนและท่านย่า กับพวกบ่าวไพร่
"คุณหนูใหญ่ หลี่เฟิ่งเซียน ได้กระทำคุณงามความดีต่อแผ่นดิน เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่กุลสตรี ช่วยเหลือชีวิตของราษฎร จับคนชั่วพิทักษ์คนดี เป็นกุลสตรีที่เฉลียวฉลาดนำความสงบสุขแก่แผ่นดิน ช่วยชีวิตของสตรีและเด็กหลายร้อยคน
ด้วยองค์การแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระราชบัญชาให้มอบของรางวัลแก่คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพหลี่ ได้แก่ทอง 5,000 ชั่ง ผ้าไหม 2,000 ผืน ที่ดินเขตหลิวต่วน 100 หมู่ และอนุญาตให้คุณหนูใหญ่สามารถถวายราชบรรณาการในอีก 15 วัน" ขันทีประกาศราชโองการจบ แต่ทั้งท่านย่าและบ่าวไพร่ต่างไม่แน่ใจว่าคนในราชโองการที่พูดถึงใช่คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพหลี่จริงหรือไม่ หากขันที่ไม่ได้เอ่ยชื่อนางออกมาแต่แรกทุกคนอาจคิดว่าขันทีมาผิดบ้าน
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"
ท่านย่าเป็นผู้รับราชโองการนั้น สั่งให้สาวใช้มอบเงินรางวัลกับเหล่าขันทีที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลเพื่อประกาศราชโองการ จากนั้นท่านย่าก็รีบดึงตัวหลี่เฟิ่งเซียนเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุย
"ที่เจ้าบอกว่ารออีก 3 วันคือเรื่องนี้ใช่หรือไม่ เจ้าไปทำงานให้กับฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใดกัน บอกย่ามาเดี๋ยวนี้" ท่านย่าพูดด้วยความเป็นห่วง
หลี่เฟิ่งเซียนจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองวางแผนให้ท่านย่าฟัง แล้วบอกว่าฮ่องเต้รับปากนางแล้วด้วย นางยังชมฮ่องเต้ว่าทำงานรวดเร็วยิ่ง แต่ท่านย่ากลับตกใจ
"นางเด็กคนนี้นี่ ย่าเลี้ยงเจ้ามาตั้งนานเพื่อไม่ให้เจ้าได้ไปยุ่งกับวังหลัง ย่าสอนเจ้าให้ใช้ชีวิต สุดท้ายเจ้ายังจะเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ให้ได้ใช่หรือไม่ ย่าสอนไปตั้งเท่าไหร่ทำไมไม่จำ!" ท่านย่าทั้งทุบตีและด่านาง
"ท่านย่าอย่าเพิ่งโกรธ เรื่องนี้ข้าไม่ช่วยพวกเขาไม่ได้ ท่านเป็นคนสอนข้าเองว่าหากพบคนลำบากให้ลงมือช่วยทันที พวกนางไม่ได้เลือกจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่อยากทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ช่วย 10 คนเหลืออีก 100 คน ถ้าต้องการช่วยพวกนางทั้งหมดและหนทางเดียวที่จะช่วยพวกนางได้ก็คือต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องเช่นนี้" หลี่เฟิ่งเซียนก้มหน้าอธิบาย ไม่กล้าสบตาท่านย่า
"เฮ้อ ย่าไม่น่าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้เลยจริงๆ ย่าประคบประหงมเจ้าทุกวัน เจ้าใช้ชีวิตปลอดภัยจนโต แต่กลับไปเหยียบถูกหางของผู้อื่นตอนอยู่นอกบ้าน ตอนที่ท่านพ่อเจ้าบอกว่าเจ้าโดนจับ ท่านย่าอย่างข้าได้แต่ภาวนาทุกวัน ขอให้เจ้าปลอดภัยกลับมา ครั้งเจ้าปลอดภัยกลับมาเจ้ากลับหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวตัวเองเสียนี่" ท่านย่าว่า
"ข้าต้องช่วยพวกเขา" หลี่เฟิ่งเซียนพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำเดิม
"เจ้าจะส่งอาหงเป็นบรรณาการหรือ?" ท่านย่าถาม หลี่เฟิ่งเซียนทำเพียงพยักหน้า
"หลานไม่รักดี!!" ท่านย่าโกรธจนหน้าสั่น
"ท่านย่าท่านใจเย็นๆ ข้าไม่ดีเอง"
"เจ้าให้ข้าใจเย็น ทั้งที่เจ้าเอาหัวของตัวเองไปขึ้นเขียง เจ้าจะให้ท่านย่าเห็นเจ้าตายก่อนหรือ?!!!" ท่านย่าน้ำตานองหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนรีบลงไปคุกเข่าจับมือท่านย่ามาตบหน้าตัวเอง แต่ท่านย่ากลับนั่งลงมาและกอดนางไว้ ยังคงร้องไห้บ่นด่าไม่จบสิ้น แน่นอนว่าหลี่เฟิ่งเซียนรู้ดี พวกคนที่อยู่ในวังหลังแม้ต่อหน้าจะบอกให้ลูกๆเรียกนางเป็นคุณหนูใหญ่เพื่อเอาใจฮ่องเต้ แต่ลับหลังใครจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่
วันนั้นนางถูกท่านย่าสั่งสอนอยู่ในห้องทั้งวัน
ตกเย็นด้วยความอยากพบหน้าลู่มู่เฉินมาก หลี่เฟิ่งเซียนจึงหยิบหมั่นโถวสองลูก วิ่งไปนั่งรออยู่ที่หน้าจวน นางรู้สึกว่าตั้งแต่คืนนั้นที่ศาลบรรพชน นางแทบไม่ได้พบเจอเขาอีกเลย เฝ้ารอจนกระทั่งฟ้ามืดอย่างกระวนกระวาย รถม้าค่อยๆวิ่งมาตามถนนมืดๆ
หลี่เฟิ่งเซียนดีใจรีบไปยืนรอ แต่ครั้งรถม้าจอดและลู่มู่เฉินเปิดประตูรถม้า เขาเห็นว่านางมารับเขา เขากลับก้มหน้าหลบตา แต่เขาลงจากรถม้ายังไม่ทันยืนมั่นคง หลี่เฟิ่งเซียนก็โถมตัวใส่เขากอดเขาไว้แน่น
“อื้อ..หอมกลิ่นของเจ้าจัง ข้าคิดถึง” นางออดอ้อน
“...” เขาคล้ายว่าสติหลุดไปชั่วขณะ
พ่อบ้านและคนบังคับรถม้าก้มหน้าหลบภาพตรงหน้าแทบไม่ทัน เพราะถึงจะมืดแล้ว แต่หน้าจวนแม่ทัพหลี่จุดโคมไว้ ใครๆจึงมองเห็นได้ชัด ยังดีที่แถวนั้นไม่มีใครนอกจากพวกเขา พ่อบ้านรีบโบกไม้โบกมือให้คนขับรถม้ารีบไปจากที่นั่น พ่อบ้านก็ต้องรีบไปด้วยเช่นกัน
หลี่เฟิ่งเซียนยื่นสองมือจนสุดแขนไปคล้องคอเขาเพราะเขาตัวสูงแปดถึงเก้าฉื่อได้ นางตั้งใจจะดึงเขามาหอมแก้ม แต่เขากลับรีบผลักนางออก
“อย่าเหลวไหล” ลู่มู่เฉินหลบตานาง
“เหลวไหลอันใด ข้าไม่ได้เจอเจ้าตั้งหลายวัน คิดถึงจนทนไม่ได้ ขอกอดขอหอมแก้ม กินเต้าหู้เล็กๆน้อยๆไม่ได้เลยหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนจ้องเขา
“...” เขาขมวดคิ้ว รีบเดินเข้าจวนไม่สนใจนาง แต่ตรงอกด้านซ้ายไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเต้นโครมครามจนควบคุมไม่ได้แม้จะรู้ดีว่านางชอบเกี้ยวผู้ชายเป็นปกติ
หลี่เฟิ่งเซียนมองเขาไม่สนใจนางแม้พวกเขาจะไม่ได้เจอตั้งหลายวัน เขาไม่คิดถึงนางบ้างเลยหรือ นางวิ่งตามเขาไป
“เจ้าไม่คิดถึงข้าบ้างเลยหรือ ไม่ได้เจอข้าตั้งหลายวันแล้ว” นางถาม
“สองวันเท่านั้น” เขาตอบ ยังคงเดินเร็วๆ นางไม่ยอมคว้าจับมือเขาเอาไว้
“เจ้าได้พยายามหลบหน้าข้าหรือไม่”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาตอบ
“เช่นนั้น ..!!” นางยังพูดไม่จบ มือซ้ายที่นางจับอยู่กระตุกอย่างแรง
“มือของเจ้าเป็นอะไร” นางรีบดึงมาดูพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง