คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพ เอาแต่ใจที่สุด เลือกกินที่สุด ชอบชายงามที่สุด แต่หลังจากนางไล่ตามอ๋องเยียนไปชายแดนครั้งนั้น กลับมานางก็เปลี่ยนไป และพาสามีอัปลักษณ์คนหนึ่งกลับมาด้วย นางทั้งเอาใจเขา รักเขา คลั่งเขา *** หลี่เฟิ่งเซียนนั่งมองคนชั่วในกรงสุนัขจากช่องฝาผนังของห้องเก็บฟืน นางไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดเขาต้องช่วยนางมากเพียงนั้น ถึงขั้นยอมอยู่ในกรงสุนัข เห่าหอนเช่นสุนัข หากเป็นนางคงหนีเอาตัวรอดก่อน หรือไม่ก็ตายให้สิ้นเรื่อง นางนั่งมองเขาจนนางหลับไป ส่วนคนชั่วคนนั้น จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางนั่งจ้องเขาอยู่เป็นนานสองนาน ในเมื่อห้องเก็บฟืนเก่านั่น ผนังไม้หลุดไปหลายแผ่น ไม่ได้มิดชิดอะไร เขาได้แต่หงุดหงิด หัวใจสั่นรัวเป็นบางครั้ง แต่ไม่กล้ามองกลับไปทางที่นางอยู่ คิดเพียงว่านางอาจกำลังสมเพชเขาที่ยอมถูกดูแคลนมากเช่นนี้ หรือไม่ก็กำลังดูถูกเขาที่นั่งอยู่ในกรงราวกับสุนัข ****
もっと見るหลี่เฟิ่งเซียน คุณหนูใหญ่ ลูกสาวคนเดียวที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนแม่ทัพ รั้นเอาแต่ใจอยากตามท่านพ่อและท่านอ๋องเยียนไปชายแดนสวีโจวให้ได้ นางให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตามไปเกี้ยวท่านอ๋องเยียน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชายงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม้จะถูกท่านย่าทำโทษคุกเข่าในศาลบรรพชนกระทั่งขบวนทัพออกเดินทางได้หลายวันแล้ว สุดท้ายเมื่อท่านย่ารู้ หลี่เฟิ่งเซียนก็หอบผ้าขี่ม้าตามขบวนทัพไปแล้ว
เพราะตามมาช้าหลายวัน ต่อให้หลี่เฟิ่งเซียนควบม้าไม่พัก จนต้องเปลี่ยนม้าไปสองตัวก็ยังไม่สามารถตามขบวนทัพทัน นางได้แต่ก่นด่าตามถนนครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเมื่อมืดค่ำก็ยังต้องหาที่พักก่อน
คืนนั้นในห้องพัก ระหว่างที่นางกำลังหลับสบาย จู่ๆก็มีบางอย่างปิดลงมาที่หน้าของนางอย่างแรง ด้วยความตกใจหลี่เฟิ่งเซียนสะดุ้งตื่น จมูกได้กลิ่นฉุนบางอย่างคล้ายสมุนไพร นางตะเกียกตะกายคว้าโดนมือของใครบางคน แต่โชคร้าย มือข้างนั้นบีบลงมาที่คอของนางอย่างแรง หายใจไม่สะดวก รู้สึกปวดแสบทั่วลำคอเพราะกลิ่นฉุนและแรงกด แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ เลือนรางลง
นางสิ้นสติในที่สุด!!
หลี่เฟิ่งเซียน ตื่นมาด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว ลืมตาตื่นท่ามกลางความมืด แต่คล้ายว่านางนอนขดตัวอยู่บนรถม้าที่เต็มไปด้วยฟางข้าวสาลี ที่กำลังวิ่งโคลงเคลงไปตามถนนขรุขระ มีบางอย่างมัดมือของนางไว้ทั้งสองข้างไพล่หลัง
นางพยายามดิ้นรนแต่ไม่หลุด พยายามจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่เสียงที่ออกมาจากปากของนาง แหบแห้งจนฟังแล้วคล้ายกับเสียงลูกหมูที่กำลังถูกเชือดคอ สิ่งที่น่าตกใจที่สุดยังไม่ใช่เสียงของนาง
แต่เป็นความรู้สึกด้านในลำคอที่ราวกับถูกถ่านไฟแดงฉานลวก ทั้งปวดแสบปวดร้อน ทั้งทุกทรมานทุกช่วงขณะที่หายใจ ด้วยความโมโห นางเตะขาไปทั่ว จนกระทั่งไปโดนถูกบางอย่างเข้า
หลังจากนั้น หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินเสียงคล้ายบางอย่างกำลังขยับ นางจึงนิ่งตั้งใจฟัง หวังว่าจะเป็นสาวใช้หรือใครบางคนที่ต้องรีบหาทางจุดไฟ และรีบขอโทษขอโพยคุณหนูใหญ่เช่นนาง แต่นางคาดผิด จู่ๆ ก็มีมือผอมบางเย็นยะเยือกข้างหนึ่ง คลำไปทั่วตัวของนาง!
คราแรกก็คลำจากสะโพก ไปที่เอว ค้นเจอถุงเงินและบางอย่างก็หยิบฉวยขโมยทันที หลี่เฟื่องเซียนอยากจะกรีดร้องประท้วงแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่เตะเปะปะ ดิ้นรนไม่พอใจ
"ชู่ว..." มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายกระซิบห้ามนางส่งเสียงที่ข้างหู
หลี่เฟิ่งเซียนขนลุกซู่ ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว นางเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!
มือเย็นข้างนั้นยังคงเลื่อนขึ้นไปบริเวณใกล้หน้าอก ก่อนจะเลี่ยงไปจับแขนของนาง ลูบคลำไปเรื่อยๆ จนถึงลำคอ และเลื่อนไปลูบคลำที่ใบหูของนาง ค่อยๆ ดึงตุ้มหูทองคำแกะสลักที่ฮ่องเต้ประทานให้เมื่อปีก่อนออก
นางเข้าใจแล้วว่ากำลังถูกปล้น แต่ทั้งชีวิตคุณหนูใหญ่เช่นนางไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ถึงนางจะเป็นลูกสาวจวนแม่ทัพ กล้าหาญเหนือชายหลายคน ในสถานการณ์น่ากลัวเช่นนี้ นางทำสิ่งใดไม่ได้มาก ได้แต่นิ่งเฉย ปล่อยให้ตัวเองถูกลูบคลำ ถูกขโมย และร้องไห้ด่าตะโกนในใจ ไม่เช่นนั้นนางอาจตายได้ นางเข้าใจสถานการณ์ดี
นางนิ่งเงียบหวาดกลัวจนคนถ่อยที่ลูบคลำรู้สึกได้ เขาจึงหยุดกระทำเรื่องชั่ว หันไปนั่งห่างๆเช่นเดิม
'หน็อยแน่!!! เจ้าคนชั่ว ทำมาเป็นคนดี ทั้งที่เจ้าขโมยของมีค่าบนตัวข้าไปหมดแล้ว ฮึ่ม!' หลี่เฟิ่งเซียนก่นด่าในใจ เจ็บใจที่กระทั่งด่านางยังทำไม่ได้
เนื่องจากปกติที่ปกติหรือเพราะยาสลบที่นางโดนยังไม่หมดฤทธิ์ดีสำหรับคุณที่มองเห็นการมองเห็นซึมหลับไปอีกครั้งในรถม้าจะกระเด้งกระดอนไม่สบายตัวผ่านมานานมากอย่างเห็นได้ชัด...
นางยังคงถูกมัดมือไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดตามเนื้อตัวและยังคงรู้สึกแสบร้อนในหลี่เฟิ่งเซียนสำรวจตามองไปรอบ ๆ ห้องนี้มีลักษณะคล้ายปรุงอาหารในจวนแม่ทัพอยู่มากเพียงแต่ที่นี่ทั้งสกปรกมีกลิ่นเหม็นพบกับคราบน้ำเฉอะแฉะยังคงดีที่มีกองคานบางๆปูให้นั่งให้นอน
ที่สำคัญนางไม่ใช่คนเดียวที่เจอ!! ส่วนเพิ่มเติมที่คนที่นั่งตัวสั่นสำหรับความต้องการใดๆ จำเป็นต้องเข้าถึงที่ต้องใช้ความผอมแห้งมากขดตัวซุกหน้านอนคู้อยู่ตรงมุมห้องเพราะไม่จำเป็นต้องส่องไปไม่ถึงที่มุมนั้นนางจึงเห็นร่างนั้นไม่ชัดรู้เพียงว่าเสื้อผ้าสกปรกยิ่ง
หลี่เฟิ่งเซียนเบะปากขยะ แขยงและความไม่พอใจ เพราะเหตุใดมีเพียงนางที่ถูกมัดมือ!! แต่ถึงจะโหมโหฬารนางยังคงส่งเสียงไม่ได้หายใจยังยากต่อเนื่อง
จู่ๆก็มีเสียงพูดคุยดังมาแต่ไกลคราแรกยังจับใจฟังประกาศกันรู้เพียงว่าเสียงของชายฉกรรจ์หลายๆ คนที่นี่จะเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนอย่างเห็นได้ชัดอย่างไรอย่างไร
“ฉันเอาคนขาวๆ”
"ฉันอยากได้นางม้าพยศ ฮ่าๆ.."
"ฉันจองคนเด็กสุด"
"เดี๋ยวก่อนจะไม่อยากได้ไม้ต่อผีผอมแห้งนั่น"
หลี่เฟิ่งเซียนพยายามจับใจและวิเคราะห์ที่พูดคุยกันแต่จู่ๆ ความเย็นที่มุมห้องนั่นก็ลุกพราวปราดเข้ามาใกล้นาง ขับไล่นางบนกองแป้งแต่เพราะกองแป้งไม่ได้หนามาก นางยังคงเจ็บร่างกายนางความโมโหมากแต่พูดไม่ได้นางจึงชักสีหน้าแบบคุณหนูใหญ่กลับมา
แต่กลับมีประตูปิดที่ปากแทนนางส่งเสียงมือหนึ่งและดึงเชือกมัดเอวของหลี่เฟิ่งเซียน นางสัมผัสแต่ทำอะไรไม่ได้มากแต่ดิ้นความต้องการของร่างที่คร่อมนางอยู่จะผอมมาก แต่ยังมีแรงสามารถกดนางได้อยู่แล้วคนคนนั้นนั้นบางส่วนถอดเสื้อผ้าของนางปีนี้หลี่เฟิ่งเซียนไม่สามารถยอมได้จริงๆ ถึงแม้ว่าผู้ที่พยายามจะถอดจะเป็นสตรีนางนางเริ่มส่งเสียงแม้จะพูดไม่ได้
"อื้อออ.. อ้ากกก.."
หลายๆ คนที่อยู่ข้างๆ มองมาด้วยความบังเอิญไม่ค่อยจะขยับหลี่เฟิ่งเซียนโมโหนางร้องขนาดนี้เป็นสาเหตุของการล่องเรือที่นางยังคงโง่มไม่ลุกมาช่วยนางอีก
ติดตามของนางหลุดลุ่ยจนเห็นตู้โตว แต่ยายผู้หญิงสกปรกที่นั่งคร่อมนางยังคงอยู่ไม่หยุด ส่งมือมาดึงดึงตู้โตวของนางทิ้ง ระบบภูมิคุ้มกันและยอดชมพูที่ราวกับซาลาเปาลูกท้อกับผู้พิทักษ์ชะงักไปเล็กน้อยอีกครั้งดึงนางขึ้นมาดูแก้มัดมือให้หลี่เฟิ่งเซียน
แต่น่าเสียดายหลี่เฟิ่งเซียนนางต้องการให้คนผู้หนึ่งตำหนิกับนางหรือนางกัดไปบนไหล่ของร่างที่กอดนางอยู่
'นางนี่ ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้วหรือไร ...' แล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็นึกถึงออก
มือผอมบางเย็นยะเยือกนี่คือใช่เจ้าคนที่ปล้นเมืองเมื่อคืนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงนี่!!!
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป
หลี่เฟิ่งเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ได้ แต่ข้าไม่ตัดนะ ท่านพ่อไม่ให้เอาใจเจ้า” นางบอก“...ข้าเพียง อยากได้กรรไกร” เขาไม่รู้จะรับมือกับนางอย่างไร“ห้ามใช้กรรไกร ท่านแม่บอกว่ามันอาจตัดวาสนารัก เจ้าอาจได้พบหญิงงามน้อยลง ผมเส้นหนึ่งคือคนงามหนึ่งคน” นางอธิบาย“...” เขาไม่รู้จะบอกกับนางอย่างไรดี หากไม่ใช้กรรไกร เขาจะตัดผมตัวเองอย่างไร หากผมหนึ่งเส้นคือคนงามหนึ่งคน ชีวิตนี้เขาต้องมีวาสนารักกับคนงามกี่คนกัน เขาได้แต่ถอนหายใจ“ไม่ต้องห่วง ข้าใช้กระบี่ตัดให้เจ้าได้ ข้าบอกก่อน นี่ไม่ใช่เอาใจเจ้า แต่ข้ากำลังตอบแทนบุญคุณ” นางบอกเขาเขาได้แต่พยักหน้าและลุกออกไป นางจะใช้กระบี่ตัดผมตอบแทนคุณ‘หากกระบี่ตอบแทนคุณไม่ได้ตัดเส้นผม แต่ตัดอย่างอื่น ยังจะใช่การตอบแทนคุณอยู่หรือ?’ เขานึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปเขานั่งรอหลี่เฟิ่งเซียนด้านนอกกระโจม สักพักนางก็ตามออกมา ถือกระบี่และมีดสั่นมาด้วย เขารู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยนางยังรู้ว่ากระบี่ไม่ใช่เครื่องมือตัดผมแต่เขาวางใจได้เพียงครู่ นางก็พูดขึ้นว่า“เตรียมตัว”ลู่มู่เฉินขมวดคิ้ว เตรียมตัวอันใด เขามองนาง เห็นนางมองกลับมา ตั้งท่าอย่างมั่นใจ เขาได้แต่กำเสื้อตัวเอง
แต่เจ้าคนชั่วไม่สนใจคำพูดนางสักนิด ยังคงลงจากเตียง แต่พอเขาลงจากเตียง กลับล้มลงไปนั่งกองกับพื้นทันที นางเห็นเขาล้มก็รีบไปพยุงลากเขาขึ้นไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง“ท่านพ่อ!!” นางหันไปดุพ่อของตัวเอง“เอาล่ะๆ ท่านผู้มีพระคุณอย่าเพิ่งรีบลงมา ข้าใจร้อนไปเอง” แม่ทัพหลี่เชื่อฟังลูกสาวทันทีเจ้าคนชั่วถูกจัดให้นั่งอยู่บนเตียง เขาทำได้เพียงเชื่อฟังหลี่เฟิ่งเซียน นางยังดึงผ้าห่มที่มีกลิ่นดอกไม้จางๆ มาห่มขาให้เขาด้วย เมื่อเขานั่งได้ดีๆแล้ว จึงยกสองมือประสานทำความเคารพแม่ทัพหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ ทำเป็นไม่สนใจมือข้างซ้ายที่ถูกห่อจนเป็นก้อนกลม“ข้าน้อย ลู่มู่เฉิน เป็นหมอพเนจร คารวะท่านแม่ทัพ” คนชั่วของหลี่เฟิ่งเซียนบอกชื่อแซ่ของเขา‘ที่แท้ชื่อของเขาก็น่าฟังเช่นนี้ อาบแสงดวงดาว เหมาะกับดวงตาของเขายิ่ง’ หลี่เฟิ่งเซียนแอบคิด“มู่เฉิน เป็นชื่อที่ดี” แม่ทัพหลี่พูด ก่อนเขาจะถอยออกเล็กน้อยและคุกเข่าลงไปบนพื้น“ผู้มีพระคุณลู่ ได้โปรดรับการคารวะจากคนแก่เช่นข้า” ท่านแม่ทัพกล่าวเสียงสั่นลู่มู่เฉินไหนเลยจะกล้ารับการคารวะที่หนักหน่วงนั้น เขาที่พึ่งถูกจัดให้นั่งบนเตียงดีๆ ก็ต้องรีบทิ้งตัวลงมาบนพื้นอีกครั้ง“ท่านอย่าทำเช่นน
コメント