“ข้า ข้า..” หลี่เฟิ่งเซียนไม่รู้จะพูดอะไร
แต่ลู่มู่เฉินไม่คิดจะฟัง เขาเป็นห่วงนางมากจนรีบเดินเข้าไปรั้งนางมากอดเอาไว้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว” เขาพูดเช่นนั้นและใช้มือลูบหัวของนางอย่างรักใคร่
“เจ็บตรงไหนหรือไม่” เขายังคงถามแต่เรื่องของนาง
หลี่เฟิ่งเซียนส่ายหัว
“ไม่เจ็บก็ดี ข้าจะพาเจ้าไปล้างมือ” เขาจูงมือนางเดินไปทางปีกเรือนพักที่เป็นห้องนอนของเขา ไม่สนใจสายตาของพวกคนใช้ กระทั่งท่านย่าเขาก็ไม่มอง จ้าวเหลียงที่ชีวิตรวยริน เขาผู้เป็นหมอก็ไม่สนใจ
เขาพานางไปนั่งในห้องของเขา ยังไม่ทันทำอะไรอาหงก็วิ่งมาถึง นางใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“ไปตักน้ำมาที” ลู่มู่เฉินสั่งอาหง
นางรีบไปตักน้ำใส่ถังเล็กมา
“เจ้าไปต้มน้ำให้ข้าที ด้านหลังมีถังอาบน้ำ อีกครู่เจ้าช่วยนางล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย” อาหงพยักหน้าและรีบไปในครัวต้มน้ำตามที่เขาสั่ง ส่วนตัวเขา หาเศษผ้ามาจุ่มน้ำและเริ่มเช็ดคราบเลือดบนตัวหลี่เฟิ่งเซียนด้วยความเบามือ นางก็นั่งนิ่งให้เขาเช็ดให้
หลังจากเช็ดคราบเลือดให้หมดแล้ว เขาพานางมานั่งที่เตียง หลี่เฟิ่งเซียนอารมณ์เย็นขึ้นแล้ว แต่ความขุ่นเคืองยังจางหายไปไม่หมด นางจึงนั่งหน้างอ ปล่อยให้ลู่มู่เฉินเก็บผ้าเปียกและถังน้ำที่เต็มไปด้วยเลือด
“อีกเดี๋ยวอาหงจะพาเจ้าไปอาบน้ำ รอตรงนี้ก่อน” เขาบอก หลี่เฟิ่งเซียนทำเพียงพยักหน้า เขาเตรียมเสื้อของเขาเองไว้ให้นางเปลี่ยนและเขาก็เริ่มทำความสะอาดในห้อง ผ่านไปยังไม่ถึงเค่อ อาหงจึงมาพานางไปอาบน้ำด้านหลังห้อง มีถังอาบน้ำขนาดใหญ่และน้ำอุ่นเตรียมไว้แล้ว
หลี่เฟิ่งเซียนล้างเนื้อตัวโดยมีอาหงช่วย จนกลิ่นคาวเลือดจางไปจึงออกมาเปลี่ยนเสื้อ เพราะเป็นช่วงเย็นแล้วจึงไม่ได้สระผม อาหงกลัวว่านางจะไม่สบายได้ เปลี่ยนเสื้อแล้วอาหงก็พานางมานั่งที่เตียง ตัวอาหงขอกลับไปอาบน้ำที่ห้องบ้าง หลี่เฟิ่งเซียนได้แต่พยักหน้า
ลู่มู่เฉินเก็บทุกอย่างเสร็จ ตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีคราบเลือดที่ใดแล้ว ใช้ยาสมุนไพรบางอย่างวางไว้ในจุดต่างๆเพื่อดับกลิ่นคาวเลือด จากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆเตียง มองสำรวจตามตัวหลี่เฟิ่งเซียนว่ายังมีรอยเลือดที่ใดอีกหรือไม่ เพียงแต่นางที่กำลังสวมเสื้อของเขาอยู่ ช่างน่ามองอย่างประหลาด เขาจึงไม่กล้ามองตามเนื้อตัวของนางมาก
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปสบตาเขา แม้ในห้องนอนของเขาจะมีแสงไม่มาก แต่นัยน์ตาของเขายังคงงดงามมากจริงๆ
“ตาของเจ้างดงามมาก” นางพูดออกมาหลังจากนั่งนิ่งมานาน คำพูดนั้นกลับเป็นคำชมเขาเสียนี่ เขาอุตส่าห์เป็นห่วงความรู้สึกของนางแทบแย่
“เวลาเช่นนี้ เจ้ายังพูดคำพูดพวกนั้นออกมาได้ เจ้าควรเก็บเอาไว้เกี้ยวชายงามที่เจ้าทะนุถนอมไม่ดีกว่าหรือ” เขาพูด ถอนหายใจออกมาคล้ายไม่ใส่ใจ มือขวาหยิบฟ้าผืนเล็กจากอกเสื้อ นำออกมาเช็ดคราบเลือดเล็กน้อยที่ยังติดบนเส้นผมของนาง
“ดูสิ เส้นผมเปื้อนคราบเลือดเช่นนี้ ต่อให้ไม่ถูกตัด วาสนารักที่เจ้าเฝ้าฝันก็อาจหายไปได้นะ แทนที่จะได้พบกับชายรูปงาม อาจกลายเป็นคนอัปลักษณ์ได้ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรือ” ลู่มู่เฉินพูดยิ้มๆ พยายามพูดล้อเล่นเพื่อคลายความตึงเครียดของนาง
“ข้าแต่งงานแล้ว วาสนารักใดข้าก็ไม่ต้องการอีก ข้าจะตัดผมเดี๋ยวนี้เลยยังได้” หลี่เฟิ่งเซียนพูดอย่างจริงจัง นางไม่คิดว่าตัวเองกำลังเกี้ยวผู้ใด นางเพียงพูดความรู้สึกของนาง
“ได้ๆ แต่ตอนนี้อยู่นิ่งๆก่อน ให้ข้าเช็ดคราบเลือดก่อน” เขาไม่ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเช็ดคราบเลือดเล็กๆพวกนั้น สนใจราวกับคราบเลือดนั้นจะทำให้นางเจ็บได้
หลี่เฟิ่งเซียนนั่งมองเขาอย่างใจลอย
“เสร็จแล้ว” เขายิ้มน้อยๆบอกนาง ตรงข้างแก้มปรากฏรอยบุ๋มน่าหลงใหลอีกครั้ง ภาพที่เขายิ้มให้เด็กสาวในชุดขาวก็กลับมากวนใจนางอีกครั้ง
“เมื่อครู่ข้าพูดเรื่องจริง” หลี่เฟิ่งเซียนยื่นมือไปจับมือเขามากุมไว้ ลู่มู่เฉินรู้สึกว่ากองไฟในอกกำลังค่อยๆเผาไหม้อีกแล้ว เขาจึงทำเป็นเฉไฉ
“ข้ารู้แล้ว เจ้าพูดเรื่องจริง” เขาดึงมือกลับและแสร้งทำเป็นเช็ดคราบที่ไม่มีอยู่จริงตรงหางคิ้วของนาง รู้สึกหวาดหวั่นว่าตัวเองจะนั่งอยู่ข้างนางได้อีกไม่นาน หลี่เฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว คิดว่าเขาหลีกเลี่ยงนางเพราะเขาอาจชอบสาวน้อยตากลมโตในชุดขาวผู้นั้นแล้ว
เขาช่วยเก็บผมที่ลุ่ยอยู่ข้างแก้มทัดใส่ใบหู ลู่มู่เฉินจึงเห็นว่าตรงแถวติ่งหูของนางยังมีคราบดำๆเปื้อนอยู่ เพราะแสงไฟในห้องมีน้อย เขาจึงขยับเข้ามาใกล้เพื่อมองให้ชัด
“ตรงนี้ยังมีคราบอยู่ เจ้าอาบน้ำอย่างไรกัน” เขาบ่น
เขาใช้ผ้าในมือลองเช็ดดู แต่เช็ดคราบนั้นไม่ออก เขาจึงใช้นิ้วมือจับติ่งหูของนางและถูไปมา ความรู้สึกบางอย่างต่างวิ่งเข้าสู่หัวใจของทั้งสองคน!
สำหรับหลี่เฟิ่งเซียน นางรู้สึกไม่คุ้นชิน สัมผัสจากปลายนิ้วของเขาทำให้นางขนลุกไปทั้งแขน เสียวแปลบปลาบไปที่สันหลัง นางต้องหลับตาลงกัดฟันแน่น มันทั้งจั๊กจี้และรู้สึกดีแปลกๆ ยิ่งเขาโน้มตัวมาใกล้ กลิ่นหอมเปลือกไม้จากตัวเขายิ่งชัดเจน ทั้งกลิ่นทั้งสัมผัสทำให้หลี่เฟิ่งเซียนตัวสั่นเบาๆ หายใจไม่สะดวก
แต่สำหรับลู่มู่เฉิน ความรู้สึกที่ปลายนิ้วนั้น นุ่มนิ่มน่าหลงใหลจนเขาหักห้ามใจไม่ได้ เขาเช็ดจนคราบหายไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่อาจปล่อยมือ คล้ายทุกอย่างหยุดนิ่งลง เขาขยับเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อดูให้แน่ใจว่ามีสิ่งใดตรงติ่งหูของนางกันแน่ เหตุใดถึงได้นุ่มชวนหลงใหลมากมายเช่นนี้
หลี่เฟิ่งเซียนเองก็ขยับไปใกล้เขามากขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว ยิ่งใกล้ก็ยิ่งรู้สึกเมากลิ่นเปลือกไม้ของเขา ในหัวเริ่มคิดสิ่งใดไม่ออก นางอ้าปากเพื่อหายใจ ณ ตอนนั้นนางถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองตัวสั่นไปหมด
ลู่มู่เฉินได้ยินนางหายใจสั่นๆ จึงละสายตาจากติ่งหูมามองหน้านาง เขาเห็นว่านางคล้ายคนเมาสุรา ปรือตาอ้าปากเล็กน้อย หายใจสั่นหอบอย่างน่าเวทนา