EPISODE 1
คราม
หนึ่งเดือนก่อนหน้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหยีคะ”
“…”
“คุณหยี”
“…”
ถ้าถามว่าอะไรเป็นบาปสูงสุดที่พึงจะเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ สำหรับฉันแล้วคือการมารบกวนคนที่กำลังนอนอยู่นี่แหละ บาปขั้นสุดเลย!
ขนาดว่าแกล้งทำเป็นหลับต่อ ไม่หือไม่อือ นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงแบบที่เรียกได้ว่าซ้อมตาย ก็ดูเหมือนคนข้างนอกจะไม่สนใจ เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่นาทีถัดมาผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงออกจากตัว
“พี่ช้อย…”
สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องผุดตัวลุกขึ้นนั่งพึมพำเรียกชื่อคนที่มักจะชอบมารบกวนเวลาการนอนหลับพักผ่อนอันมีค่าของฉันเสมอ พี่ช้อยแม่บ้านสาวที่อายุห่างกันไม่มากนักกำลังพับผ้าห่มให้ ใบหน้าที่โบกแป้งพม่าเสียขาววอกแย้มยิ้มขบขันเมื่อเห็นว่าคนโดนปลุกแบบฉันกำลังทำสีหน้ายังไง
“ขอหยีตื่นสายแบบไม่กวนสักวันไม่ได้เหรอ?”
“นี่ไม่เรียกว่าสายนะคะคุณหยี ตอนนี้บ่ายสามแล้วค่ะ”
“…”
โอเค…
พี่ช้อยเดินไปรูดผ้าม่านเปิดออก แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามาจนคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียงแบบฉันต้องยกมือขึ้นมาป้องดวงตาเอาไว้
“คุณนายให้มาตามค่ะ มีคนมาหาคุณหยี”
“บ้านเราถังแตกแบบนี้ หยียังมีเพื่อนคบอยู่อีกเหรอ?” ฉันยกมือขึ้นลูบใบหน้าตั้งท่าจะทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ แต่ประโยคถัดมาของคนที่กำลังยืนยิ้มมองอยู่กลับทำให้ต้องเบิกตาโต
“คุณชิดจันทร์พาลูกชายมาพบคุณหยีค่ะ”
“ฮะ!!”
“หล่อมากเลยนะคะคุณหยี หน้างี้ยังกับดาราเกาหลี ตัวก็สูงยังกับนายแบบในทีวี…”
“มะ… มากันรึยัง?”
ฉันไม่สนใจท่าทางเคลิบเคลิ้มของพี่ช้อย ตาลีตาเหลือกกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปหน้าบ้าน และมันก็เป็นจริงอย่างที่พี่ช้อยว่า ตอนนี้ในรั้วมีรถหรูไม่คุ้นตาจอดอยู่สองคัน ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเลยว่าคนที่กำลังรออยู่ข้างล่างคือใคร
“แล้วทำไมแม่ไม่บอกก่อนเนี่ย? ดูสภาพหยีสิ!”
“คุณนายบอกแล้วนะคะเมื่อวาน แต่ตอนนั้นคุณหยีเอาแต่กิน กับดูผู้ชายในทีวีค่ะ”
“…”
โอเค… ช่างมันก็ได้!
ฉันขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ แต่หันมาจัดการกับสภาพตัวเองทันที น้ำไม่จำเป็นต้องอาบเพราะไม่มีใครมาดม ตอนนี้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งหน้า ทำผม แต่งตัวก็พอ…
จะเจอหน้าว่าที่เจ้าบ่าวทั้งทีจะให้หัวกระเซิงลงไปเจอได้ยังไงกัน!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ในที่สุดตอนนี้ฉันก็สลับร่างจากโหมดอยู่บ้านมาอยู่ในชุดเดรสประดับพลอยเทียมสุดอลังการที่ใส่ไปได้ครั้งเดียวเท่านั้นตอนที่ไปงานราตรีสโมสรกับแม่เมื่อปีก่อน เรือนผมสีแดงปล่อยสยายยาวถึงบั้นเอว
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเวอร์เกินไปหรอก เพราะการนัดดูตัวกันก็น่าจะต้องเป็นอะไรที่จริงจังทั้งฉันเองก็เป็นพวกชอบแต่งตัวเยอะ ๆ อยู่แล้วเลยไม่ได้คิดอะไร
แต่พอเดินเข้ามาในห้องรับแขก คนที่อยู่ด้านในถึงกับหันมามองเป็นตาเดียว และฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่เข้าพวกขึ้นมาทันที เพราะแม่กับคุณป้าชิดจันทร์ซึ่งกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่โซฟาสวมใส่เพียงชุดลำลองผ้าฝ้ายบางเบาเท่านั้น ไม่ได้ทำทรงผมตีกะบังแบบที่ฉันจินตนาการ…
“สะ… สวัสดีค่ะคุณป้า”
“หยีจะไปไหนเหรอลูก?”
“…”
ฉันไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ ทำเพียงแค่เดินยิ้มแล้วเข้าไปหาเท่านั้น ในห้องรับแขกมีเพียงแค่ท่านสองคน ไม่ยักเห็นหน้าคนที่รอคอยจะได้เจอกันอีกครั้งอย่างเฮียคราม
แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามถึงคนที่ว่า ก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูบ้านดังขึ้นทางด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็ได้รับคำตอบที่ต้องการเมื่อร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา
เห็นแค่นั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคล้ายจะเป็นลมล้มลงไปกอง เพราะว่าที่เจ้าบ่าว... ตัวจริงหล่อจัดแบบที่ทำเอาหูอื้อตาลายละสายตาแทบไม่ได้ หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาทั้งอย่างนั้น เพราะคลั่งไคล้คนหล่อเป็นทุนเดิม ทำให้ตอนนี้สมองสั่งการอะไรแทบไม่ได้เลย
จนกระทั่ง… เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้า…
เฮียครามมีสีหน้านิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ สบตากันอยู่อึดใจก็หันไปมองคุณป้ากับคุณแม่ที่ยังคงนั่งกันอยู่ที่เดิม
“มีของมาส่งครับ ผมอยู่นอกรั้วพอดีเลยรับเอาไว้ให้…”
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ยกกล่องพัสดุในมือขึ้นเล็กน้อย และตอนนั้นเองที่ฉันเบิกตาโตจ้องจ่าหน้าที่แปะสัญลักษณ์อะไรบางอย่างของทางร้านค้าเอาไว้ เกือบจะสำลักลมหายใจตัวเองตายเมื่อได้เห็นว่าไอ้พัสดุที่ว่านั่นคืออะไร
คนตรงหน้าหันมองกลับมาสบตากันอีกครั้งก่อนจะยื่นกล่องมาให้โดยไม่คิดจะถามสักคำว่ามันเป็นของใคร และประโยคต่อมาของเขาก็ทำเอาฉันอับอายร้อนผ่าวไปทั้งตัว
“เห็นชื่อจ่าหน้ามาว่ายาหยี”
“…”
“บ้านนี้คงจะมียาหยีแค่คนเดียว…”
“พี่ช้อย!”
ฉันหลับหูหลับตาร้องลั่นทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด คว้าเอากล่องนั่นมาถือไว้ พอพี่ช้อยเดินเข้ามาใกล้ระยะที่สามารถส่งต่อได้ ก็รีบยื่นไปให้ทันที…
“อะไรคะคุณหยี? สั่งมาอีกแล้วเหรอคะ?”
“สะ… สั่งมาอีกแล้วบ้าอะไรกันพี่ช้อย”
“ก็นี่…”
“ของพี่ช้อยนั่นแหละ ที่ฝากหยีสั่งไง”
“?”
“ช่างมันเถอะ! เอาเป็นว่ามันคือของที่พี่ช้อยฝากหยีสั่งมา”
ฉันพยายามส่งสัญญาณบอกให้แม่บ้านคนสนิทรู้ว่าตอนนี้ตัวฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก พี่ช้อยจ้องมองกล่องที่มีสัญลักษณ์ร้านค้าซึ่งระบุชัดเจนว่าเป็นสินค้าประเภทสิบแปดบวกอยู่อึดใจ โชคยังดีในที่สุดก็ถึงบางอ้อสักที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเฮียครามกำลังยืนจ้องอยู่
“ของพี่ก็ได้ค่ะ”
“!!!”
และไอ้คำว่า ‘…ก็ได้’ ของพี่ช้อยก็ทำให้ฉันดูแย่หนักกว่าเดิม เจ้าตัวเดินจากไปแล้วพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ส่งต่อให้หนุ่มหล่อ
เฮียครามมองหน้าฉันอยู่อึดใจไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่เดินผ่านไปหาผู้ใหญ่สองคนในห้อง ปล่อยให้ฉันยืนกล้ำกลืนความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่นานเกือบนาที
ใช่… ฉันเป็นคนสั่งของแบบนั้นมาเอง แต่มันก็มีเหตุผล… หากจะต้องให้อธิบายคงจะยาว และทำให้ตัวเองดูแย่หนักกว่าเก่า สุดท้ายก็ได้แต่เลยตามเลย
ช่างเจอกันได้น่าประทับใจจริง ๆ
ยี่สิบนาทีต่อมา
ฉันนั่งนิ่งมองจานอาหารตรงหน้าที่ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าสะอาดสะอ้าน มือสองข้างประสานกันไว้บนตัก เสียงคุณป้ากับแม่กำลังปรึกษาเรื่องงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นในเร็ววัน เราทั้งหมดย้ายเข้ามาอยู่ในห้องอาหารเพื่อเตรียมกินข้าวเย็น
คงจะมีแค่ฉันที่ยังคงพูดไม่ออกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อน กับอีกคนที่กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างปิดไม่มิดเมื่อการสนทนาระหว่างผู้ใหญ่ทำท่าจะลากยาวอีกเป็นชั่วโมง
เฮียครามว่าที่เจ้าบ่าวของฉันซึ่งเราเคยเจอหน้ากันเมื่อตอนเด็ก ตอนนี้กลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปเสียแล้ว ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเฮียจำฉันไม่ได้แน่… เขาไม่ใช่คนประเภทที่จดจำอะไรใครได้หรอก…
เรียวคิ้วเข้มตัดกับผิวขาวขมวดเข้าหากันไม่คลาย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เจ้าตัวก็ยิ่งมีสีหน้าเบื่อหนักมากขึ้นเท่านั้น ดวงหน้าคมคายสะอาดเกลี้ยงเกลาเอาแต่พ่นลมหายใจทุกครั้งที่เราบังเอิญสบตากัน
อาจเป็นเพราะฉันเอาแต่มอง… มองหน้าหล่อ ๆ นั่นไม่หยุดมาสักพักแล้ว…
เฮียดูหล่อเหลายิ่งกว่าในรูปที่ได้เห็นเมื่อเดือนก่อนเสียอีก นัยน์ตาสีดำเหมือนรัตติกาลที่แค่สบตาก็รู้สึกหัวใจกระตุกวูบ โครงหน้าชัดเรียวสวยได้รูป จมูกโด่ง ปากหยักลึก สันกรามสวย ทั้งยังมีผิวขาวสะอาดตาแบบผู้ดีมีอันจะกิน เรือนผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ ใบหูมีจิวเจาะเรียงเป็นแพแบบนั้นทำให้ดูแบดขึ้นมานิด ๆ ทว่าก็ยังดูดี และแม้ท่าทางจะดูเป็นคนขี้รำคาญไปหน่อย แต่องค์ประกอบโดยรวมของคนตรงหน้าก็ดูเพอร์เฟกต์อย่างไม่น่าเชื่อ
เอาตรง ๆ ก็คือโคตรหล่อเลย…
คงเป็นเพราะฉันเอาแต่มอง เจ้าตัวก็เลยจ้องกลับบ้าง แต่สายตาที่มองกันกลับไร้ซึ่งความพิศวาสใด ๆ เรียวคิ้วเข้มเลื่อนเข้าหากันเพราะคงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าฉันอยู่ในชุดหรูหราหมาเห่าแค่ไหน ทั้งยังแต่งหน้าจัดเต็มชนิดที่อีกนิดเดียวคงไปออกงานสมาคมได้
โอเค… ถึงตรงนี้ฉันก็เริ่มจะรู้สึกเสียเซลฟ์นิด ๆ แล้วนะ…
หลังจากที่เรานั่งจ้องกันไปจ้องกันมานานหลายนาที เฮียครามก็ดูเหมือนจะหมดความอดทน ร่างสูงผุดตัวลุกขึ้นยืนกะทันหันทำเอาเราสามคนที่เหลือเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน
“จะไปไหน?” คุณป้าชิดจันทร์ทำเสียงดุ ๆ ใส่ลูกชายตัวเองที่สีหน้าไม่ได้สลดลงเลยสักนิด
“เพื่อนตาม นัดกับพวกมันไว้”
“คราม…”
คุณป้าส่งสายตาปรามลูกชายตัวเองท่าทางเคร่งเครียด ฉันกับแม่หันมองหน้ากันเองเพราะข้ออ้างประหลาดเหลือแสนนั่น ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลยสักนิด ใครจะมาตามได้ตอนไหนกัน
“นั่งลง”
“ต้องไปแล้วแม่” เฮียครามไม่พูดเปล่าแต่คว้าโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกันก็ยกมือไหว้แม่ฉันซึ่งทำได้เพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น “ลาละครับคุณน้า เจอกันที่งานแต่งนะครับ”
“คราม…” น้ำเสียงของคุณป้าชิดจันทร์เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นนิด ๆ เมื่อเห็นว่าลูกชายตัวเองตั้งท่าจะไปจริงอย่างปากว่า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่ ให้ตาครามเขาไปเถอะ คงจะเบื่อบรรยากาศแบบนี้กระมัง” แม่ฉันรีบห้ามทัพ
“ขอบคุณนะครับคุณน้า”
“ให้น้องเดินไปส่งนะลูก” แม่ฉันไม่พูดเปล่าแต่รีบหันมาสั่งทางสายตา
“ยะ… หยีไปส่งค่ะ”
“…”
หลังจากรอเฮียครามร่ำลาคนอื่นเสร็จ เราทั้งคู่ก็เดินออกมาด้านนอก คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหยุดชะงักลงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนจะหันมองกลับมา
“เรื่องแต่งงาน…”
“…”
“ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้ว จะหย่าเมื่อไรก็บอกมาได้ เฮียไม่ซี…”
“!!!”
ฉันถึงกับเบิกตาโตจ้องใบหน้านิ่งสนิทของเขาที่ไม่คิดว่าจะพูดเรื่องหย่าออกมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแบบนี้ และดูท่าจะเป็นแค่ประโยคบอกเล่าเท่านั้น คนพูดไม่ได้รอฟังคำตอบแต่เดินจากไปแบบที่ไม่คิดจะหันมองกลับมา
ดูเหมือนว่า… ชีวิตการแต่งงานของฉันจะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หวังจะให้เป็น ซ้ำยังทำท่าจะเละตุ้มเป๊ะเป็นขี้
ถึงเจ้าตัวจะเอ่ยเรื่องนั้นออกมา แต่บอกได้เลยว่า… หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่หย่าหรอก รอดูได้เลย!