เพราะความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อราชครูหลี่ จึงพระราชทานปูนบำเหน็จความชอบอยู่มิขาด เรียกได้ว่าฐานะและชื่อเสียงของท่านราชครูนั้น มิได้ด้อยไปกว่าจวนของเสนาบดีแต่ละฝ่ายเลย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าหลวงเหล่านั้นรัศมีช่างแรงกล้านัก” สวีซื่อ ฮูหยินบ้านรองกล่าวขึ้น หลายวันที่ผ่านมา พวกนางต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่กล้าย่างเท้าออกจากเรือน ดีที่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น จึงสามารถยกเป็นข้ออ้างในการไม่ออกนอกเรือน
“อืม” ฮูหยินผู้เฒ่าเผลอพยักหน้าคล้อยตามลูกสะใภ้อย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วพลันต้องชะงักหน้าค้างเอาไว้ แล้วกลับมานั่งหลังตรงดังเดิม
“ฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องสินเดิม” จางซื่อเอ่ยขึ้น เมื่อนางนึกถึงเรื่องสำคัญในตอนนี้ ข้าหลวงกลับวังไปแล้ว หากพวกนางรายงานความคืบหน้าต่อฮองเฮา แน่นอนว่าไม่นานนี้ ขบวนของหมั้นหมายจักต้องตามมาอย่างแน่นอน
“อืม เคยเตรียมเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ถิงเอ๋อร์ไร้ซึ่งวาสนาแล้ว เดิมทีมันควรเป็นของเจียวเอ๋อร์ตั้งแต่แรก ในเมื่อเจ้าของตัวจริงกลับมาก็คืนไปเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวน้ำเสียงเหนื่อยล้า พูดจบก็ไล่บรรดาลูกสะใภ้กลับไป
จางซื่อลอบกำหมัดอยู่ภายใต้แขนเสื้อ เจ็บใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คล้ายว่าแม่สามีไม่ไยดีกับเรื่องนี้เลยสักนิด
สำหรับฮูหยินผู้เฒ่านั้น หลานคนใดได้เป็นพระชายาก็ล้วนแต่เชิดหน้าชูตาด้วยกันทั้งสิ้นกระมัง แต่ถิงเอ๋อร์ของนางเล่า ต้องปฏิเสธแม่สื่อที่มาทาบทาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาประพฤติตนอยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เท่ากับว่า ข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานหรอกหรือ เช่นนั้นนางจะยอมได้อย่างไร ในเมื่อจวนนี้ไม่มีความสามารถช่วยเหลืออะไรได้ เห็นทีว่านางคงต้องขอความช่วยเหลือจากฝั่งบิดาเสียแล้ว
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลี่เจียวเหนื่อยไม่น้อย วันนี้จึงเป็นวันที่นางสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด เฝ้านับวันรอเรื่องการกลับมาของคนผู้นั้นด้วยใจจดจ่อ
“คุณหนูชาร้อน ๆ เจ้าค่ะ” ฉินซินสาวใช้ข้างกายเรียกเจ้านาย ที่ตอนนี้สติล่องลอยไปยังพื้นที่ห่างไกล
“อืม” หลี่เจียวรับคำในลำคอ จากนั้นก็ยกชาขึ้นจิบเพื่อขับไล่ ความเหน็บหนาว
“คุณหนูเจ้าคะ คนเรือนในส่งข่าวเรื่องสินเดิมของคุณหนูมาเจ้าค่ะ” ฉินซินรายงานความเคลื่อนไหว แม้ว่าคุณหนูของนางจะเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่สามารถปิดหูตาที่ถูกส่งไปเฝ้าระวังในเรือนต่าง ๆ ได้
“จะต้องกังวลเรื่องเหล่านั้นไปไย ถึงอย่างไรพวกเขาคงไม่ปล่อยให้จวนราชครูขายหน้ากระมัง หากจัดเตรียมสินเดิมให้กับว่าที่พระชายาไม่ดีพอ เรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องตลกที่ถูกเล่าขานไปจนลูกหลานเติบใหญ่” หลี่เจียวไม่คิดกังวลเลยสักนิด
ในครั้งนั้นนางจำได้ว่าขบวนสินเดิมของน้องสาวนั้นยาวมากเพียงใด เรียกได้ว่าเป็นรององค์ชายแปดเพียงสามส่วนเท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดที่ด้อยค่าเลยสักนิด เพราะมารดาของหลี่ถิงคือบุตรสาวของรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรนางก็ย่อมจัดให้สมเกียรติอย่างหาที่ติมิได้
หลี่เจียวในตอนนั้น ถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความปีติยินดีกับน้องสาวเอาไว้ไม่ไหว จากนั้นไม่นานโชคชะตาก็นำพาให้นางได้พบกับชายในดวงใจ แล้วเกิดเรื่องราวมากมายขึ้น คิดถึงตรงนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
นางไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้มากน้อยเพียงใด กระทั่งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วยังไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเส้นเรื่องจะยังคงเดิม ทว่าตอนนี้ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว จิตใจของคนผู้นั้นเล่า จะเปลี่ยนตามไปด้วยหรือไม่
ทางด้านตำหนักชินอ๋อง ทราบข่าวเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างองค์ชายแปดกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่แล้ว ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง สง่างาม ตามแบบฉบับของราชวงศ์สูงศักดิ์ รูปโฉมนั้นไม่ต้องเอ่ย ถึงอย่างไรก็เป็นที่กล่าวขานของสตรีไปทั่วทั้งเมืองหลวง
“นางกลับมาแล้วหรือ” เสียงทุ้มทว่ากลับทำให้คนฟังถึงกับเคลิบเคลิ้ม อยากจะให้ผู้นั้นเปล่งวาจาอีกสักครึ่งคำ เพื่อให้หัวใจได้รู้สึกอบอุ่น
บ่าวข้างกายซื่อจื่อถึงกับขมวดคิ้ว คล้ายว่าเจ้านายสอบถามตน แต่มิแน่ใจในท่าทีที่เหม่อลอยมองออกไปไกล อาการเช่นนี้คล้ายกับกำลังคะนึงหาสาวงามในดวงใจก็มิปาน หรือว่าซื่อจื่อของเขาจะถูกใจคุณหนูจวนใดเข้าให้แล้ว
“ซื่อจื่อหมายถึงผู้ใดขอรับ บ่าวจะได้ไปสืบความมาให้” ต้าหลางบ่าวผู้จงรักภักดี ซ้ำยังเป็นบ่าวรับใช้เคียงคู่เจ้านายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
“คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ นางกลับมาแล้วใช่หรือไม่” ซื่อจื่อแห่งจวน ชินอ๋องคล้ายเก็บงำความแคลงใจนี้ไม่ไหว ถึงต้องถามบ่าวรับใช้ออกไป
“คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ นามว่าหลี่ถิงกระมัง นางก็มิได้ไปที่ใดนี่ขอรับ หลายปีมานี้ได้ข่าวว่าจวนราชครูทุ่มเบี้ยหวัด จ้างอาจารย์ฝีมือดี เพื่อมาอบรมกิริยามารยาทให้กับคุณหนูผู้นั้น” ต้าหลางพูดขึ้น
ซื่อจื่อ ผู้สืบทอดตำหนักชินอ๋องถึงกับมองบ่าวข้างกายด้วยสายตาเฉยชา แฝงด้วยความตำหนิอีกหลายส่วน ทันใดนั้นสมองของต้าหลางคล้ายกับว่ารำลึกบางอย่างได้
“ซื่อจื่อหมายถึงคุณหนูใหญ่ หลี่เจียว ที่ถูกเนรเทศเมื่อสิบปีก่อน ใช่หรือไม่ขอรับ” เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่แสนเย็นชาของเจ้านาย ต่อให้สมองทึบปานใด เขาจำเป็นต้องเค้นเอาความทรงจำส่วนลึกนั้นกลับคืนมาให้จงได้
ซื่อจื่อของเขานั้นไม่ชอบพูดมาก เพียงใช้สายตาสั่งงาน หรือสื่อความหมายเท่านั้น นี่จึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ดึงดูดสาวงามจากทั่วทิศมาเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ
ไม่ถูกต้อง คุณหนูใหญ่ผู้นั้น เคยวิ่งเล่นกับซื่อจื่อของเขาเมื่อยังเยาว์ เพราะเป็นพระสหายขององค์ชายแปดหรือว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งจะถูกแต่งตั้งในอีกไม่นาน เมื่อครั้งทรงสร้างผลงานปราบโจรจากแดนเหนือได้
แม้ว่ามิใช่องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา หรือเป็นองค์ชายพระองค์แรกของราชวงศ์ ทว่ากลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก เนื่องจากพระองค์เกิดจากเสวียนกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมิเสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
“เป็นนาง” ชินหวังซื่อจื่อทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ครั้นนึกถึงเด็กน้อยที่คอยเอาแต่ถามเขาไม่หยุดปาก ว่าเหตุใดถึงได้คัดอักษรงดงามเพียงนั้น เด็กน้อยที่ออดอ้อนให้พี่ชายดีดพิณสายหนึ่งให้ฟังแล้วหลับไป
ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากเล็ก ๆ ขมุบขมิบคล้ายกำลังเคี้ยวของกินตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานอนนางยังเก็บเอาไปฝันว่าได้กินของอร่อย เมื่อคิดถึงใบหน้านั้นเขาก็พลันมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ขึ้นที่มุมปาก
“ให้บ่าวไปสืบความให้ดีหรือไม่ขอรับ” บ่าวรับใช้ถามอย่างเอาอกเอาใจ ด้วยรู้ใจเจ้านายเป็นที่สุด
“ไม่ต้อง รอหมิงหยวนกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อแล้วเดินเข้าห้องตำราไป ทิ้งให้บ่าวรับใช้เกาหัวกับอารมณ์ในช่วงนี้ของเจ้านาย
ตั้งแต่ข่าวเรื่องสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ประกาศออกมา ดูคล้ายว่าซื่อจื่อของเขามิเบิกบานใจสักเท่าไหร่ นานวันยิ่งเหมือนคนอมทุกข์ ตรอมใจที่ชายาหนีไปกับชายชู้ก็มิปาน ทั้งที่มีคุณหนูจวนสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องการเกี่ยวดองกับตำหนักชินอ๋อง
แน่นอนว่าซื่อจื่อของเขานั้น เป็นรองแค่เพียงองค์ชายแปดเพียง คนเดียวเท่านั้น เพราะเป็นบุตรมังกร จึงสง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทว่าซื่อจื่อของเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ งดงามราวกับเทพเซียนในภาพวาดของปรมาจารย์ ไม่ว่าจะมองยามใดก็มิเบื่อ ยิ่งมองยิ่งเคลิบเคลิ้ม หากผู้ใดได้เป็นพระสวามี รับรองว่าจักต้องเป็นสตรีที่โชคดีผู้หนึ่ง ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างต้องอิจฉาในวาสนานั้น