บทที่ 3
ไม่มีทางเลือก
เช้าวันใหม่ของผมในรั้วคฤหาสน์แอนเดสันได้เริ่มต้นจากการได้ยินเสียงคนเปิดลิ้นชัก ดังกุกกักเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง หันไปมองก็เห็นคุณนาธานสวมใส่ชุดสูทอย่างเนี้ยบเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตื่นเช้ากว่าผมเสียอีก
“คุณจะไปแล้วเหรอ หาววว” ว่าแล้วก็อ้าปากหาวหวอด ส่งมือขึ้นเกาศีรษะแกร็ก ๆ หมดสภาพคนหน้าตาดีกันเลยทีเดียว
“อยู่ที่นี่ตื่นให้มันเช้า ๆ หน่อย แม่ฉันเป็นคนเข้มงวด อย่าทำอะไรให้มันเดือดร้อนมาถึงฉันก็แล้วกัน อยากได้อะไรก็บอก จะสั่งคนส่งมาให้”
กล่าวแล้วก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งทำหน้ายุ่งอยู่คนเดียว แต่เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นผมก็ดีดตัวลุกขึ้นด้วยความเริงร่า เพราะนับจากนี้ห้องนี้จะเป็นของผมคนเดียวแล้ว หลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำอย่างสบายใจ แต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุดเพื่อเอาใจคุณนายวิมล เลือกในตู้ที่คุณนาธานซื้อมาไว้นั่นล่ะครับ
เดินลงมาข้างล่างก็เห็นแม่บ้านสูงวัยกำลังตั้งโต๊ะ จึงเดินเข้าไปทักทายเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ป้าแม่บ้านคนนี้ชื่อ ‘ป้าแหวน’ ทำงานที่นี่มาตั้งแต่สมัยสาว ๆ จนกระทั่งตอนนี้อายุเกือบห้าสิบแล้ว แถมยังเป็นแม่นมของคุณนาธานด้วย จึงมีอภิสิทธิ์ในบ้านมากกว่าแม่บ้านคนอื่น ๆ และที่สำคัญได้รับความไว้วางใจจากคุณนายวิมลมาก ผมตีซี้ป้าแหวนจนเริ่มรู้จักนิสัยใจคอ ท่านเป็นคนใจดีมาก พูดจาสุภาพและมีความรู้เรื่องการทำอาหารและงานฝีมือมากอีกด้วย
“ปกติแล้วคุณแม่จะลงมาทานข้าวเช้ากี่โมงครับป้าแหวน”
“ปกติก็เจ็ดโมงครึ่งถึงสองโมงเช้าค่ะ มีคุณบิวมาอยู่ด้วยก็ดีท่านจะได้ไม่ต้องทานข้าวคนเดียว”
“อ้าว! ปกติคุณนาธานไม่กลับมาบ้านบ้างเลยเหรอครับ”
“นานทีค่ะ คุณหนูงานยุ่งหากไปกลับคงไม่ได้พักผ่อนกันพอดี ถามอย่างนี้เหมือนคุณบิวไม่ค่อยได้อยู่กับคุณหนูเลยนะคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับป้า พอดีว่าเราไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเท่าไหร่”
“ออค่ะ ถ้าอย่างนั้นป้าเข้าไปในครัวก่อนนะคะ คุณบิวนั่งรอคุณนายไปก่อน”
“ได้ครับป้า”
ผมนั่งรอคุณนายวิมลอยู่สักพัก ไม่นานท่านก็เดินลงมาในชุดสุภาพเรียบร้อย ท่านเป็นสตรีที่นิยมผ้าไทยมาก ชุดเป็นผ้าไหมทั้งหมด แต่การออกแบบคือสวยงามดูดีมีมูลค่ามากเลยทีเดียว เมื่อเห็นท่านผมก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่”
“นั่งลงเถอะ เธอรอนานหรือยังล่ะ”
“ไม่นานครับ เพิ่งช่วยป้าแหวนเตรียมโต๊ะสำรับเสร็จเมื่อสักครู่”
ท่านมองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพินิจพิจารณา “ชุดสวยดีนะ เหมาะกับเธอดี รู้ใช่ไหมว่าฉันชอบสะใภ้ที่เรียบร้อยอ่อนหวาน เก่งงานบ้านงานเรือน ดูแลสามีและลูกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
แหนะ! ยังเพ้อเรื่องลูกไม่หยุด สงสัยว่าท่านคงมีอาการทางประสาทแน่ ๆ
“ทราบครับคุณแม่ คุณนาธานบอกผมหมดทุกอย่างแล้ว”
“แปลกจริง เป็นผัวเมียกันแล้วแต่ยังเรียกคุณนาธานมันไม่ดูห่างเหินไปหน่อยเหรอ”
“เอ่อ...ผมเคยเรียกอย่างนี้เลยติดปากครับคุณแม่” ผมยิ้มแหย ๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเผยพิรุธออกมา ไม่รู้ว่าท่านจะเอะใจหรือไม่
“ไม่เอา ต่อไปนี้เรียกว่าพี่นาธาน มันจะได้ดูสนิทสนมคุ้นเคยกัน วันนี้ทานข้าวเช้าแล้วไปกรองมาลัยกับฉันในสวน อยากจะดูว่าฝีมือเธอเหมาะจะเป็นสะใภ้ฉันไหม”
กรองมาลัย...ใช้คำโบราณเสียจริง แต่ก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เรื่องนี้ผมรับรองว่าท่านจะต้องอึ้งแน่ เพราะอะไรน่ะเหรอ เห็นอย่างนี้ผมเคยได้แชมป์ร้อยมาลัยระดับเขตสมัยเรียนมัธยมปลายมาแล้วน่ะสิ หวานหมูแน่นอนงานนี้
“ครับคุณแม่ ผมเคยมีประสบการณ์มาบ้าง”
“ดีเลย ฉันเองก็อยากจะเห็นฝีมือเธอเหมือนกัน ทานข้าวกันเถอะ”
ผมยิ้มให้ท่านแต่กลับได้รับความเฉยเมยมา รอยยิ้มเจื่อนลงทันที นั่งรับประทานอาหารตัวเกร็ง พยายามหาเรื่องมีสาระสนทนากับคุณนายวิมล แต่ดูเหมือนท่านเอาแต่ถามถึงเรื่องราวของผมกับคุณนาธานตลอดเวลา
รับประทานอาหารเช้าแล้วเราก็ออกมาที่ศาลาทรงไทยในสวน ข้างศาลาคือสระบัวขนาดใหญ่ เห็นแล้วก็หวนให้นึกถึงละครพีเรียดสมัยก่อนที่คู่พระนางมักจะพายเรือไปเก็บดอกบัวเกี้ยวพาราสีกันอย่างหวานชื่น แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ผมนั่งพับเพียบอยู่ข้างป้าแหวน ตรงข้ามนั้นก็คือคุณนายวิมล ท่านให้สาวใช้เตรียมทุกอย่างมาไว้พร้อมแล้ว ดอกไม้นานาชนิด เข็มร้อยมาลัย เชือก กรรไกร และอื่น ๆ วางอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“ลองโชว์ฝีมือให้ดูสักพวงสิ”
“ได้เลยครับ”
ผมเริ่มลงมือหลังจากนั้น เมื่อได้ทำสิ่งที่ถนัดก็ทำได้โดยไม่มีสะดุด มีความสุข มีรอยยิ้ม เป็นตัวของตัวเอง นอกจากคุณนายวิมลและป้าแหวนแล้ว ยังมีสาวใช้อีกสองสามคนที่นั่งดูด้วย โดยที่ผมไม่ได้รู้สึกกดดันเลยสักนิด ประมาณยี่สิบนาทีก็ได้มาลัยหนึ่งพวง แม้ไม่ได้พวงใหญ่มากแต่เก็บรายละเอียดทุกเม็ดทุกดอกไม่ให้มีข้อบกพร่องเลย
“นี่ครับคุณแม่”
ท่านรับไปแล้วก็พลิกไปมาเพื่อยลโฉมมันอย่างละเมียดละไม ดูจากสีหน้าไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านพอใจหรือไม่ ดูจนเสร็จแล้วก็ส่งต่อให้ป้าแหวนช่วยดูอีกแรง ผมนั่งลุ้นเสียยิ่งกว่าอะไร
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ฝีมือพอใช้ได้ ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ถ้าฝึกบ่อย ๆ คงจะโอเคขึ้นกว่านี้”
“ผมสัญญาว่าจะพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นแน่นอนครับ จะฝึกทุกวันเพื่อให้คุณแม่นำไปใส่บาตรตอนเช้าดีไหมครับ”
“ก็ดี”
“อิฉันว่าสวยเลยทีเดียว ฝีมือดี ละเมียดละไม เก่งกว่านังพวกนี้ตั้งหลายขุมเชียวค่ะคุณนาย” ป้าแหวนเอ่ยชมยกใหญ่ ทำเอาคุณนายกระแอมไอเพื่อเตือนไม่ให้ชมจนเกินไป เห็นอย่างนั้นผมก็แอบอมยิ้มน้อย ๆ และได้รู้ว่าท่านเป็นคนปากแข็ง อยากจะชมแต่ไม่กล้าชมตรง ๆ
“ขอบคุณครับป้าแหวน ผมจะพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นนะครับ”
“แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ถ้าฝึกมากกว่านี้ก็ไม่รู้จะสวยขนาดไหนแล้วค่ะ”
“แหวนพูดมากจังเลยนะวันนี้” คุณนายวิมลชำเลืองมองแม่บ้านคนโปรดเหมือนไม่พอใจ ป้าแหวนจึงต้องก้มหน้าลงเพื่อเอาใจเจ้านาย
“คุณแม่อย่าเอ็ดป้าแหวนเลยนะครับ ท่านเป็นคนตรง ๆ คิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น เหมือนคุณแม่ยังไงละครับ”
“เธอเองก็พูดมากกว่าที่คิดเอาไว้ งั้นเย็นนี้จะให้เธอโชว์เสน่ห์ปลายจวัก เข้าครัวทำกับข้าวคนเดียว คนอื่นให้ช่วยแค่เตรียมวัตถุดิบเท่านั้น เข้าใจไหม”
“คนเดียวเหรอครับ!”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือทำไม่ไหว?”
“ไหวครับ ผมพอทำกับข้าวได้อยู่บ้าง ว่าแต่คุณแม่อยากทานเมนูไหนเป็นพิเศษไหมครับผมจะทำให้”
“เมนูไหนก็ได้ที่คิดว่าฉันกินแล้วไม่ตาย”
“ได้เลยครับคุณแม่”
“คุณบิวไหวแน่นะคะคนเดียว” ป้าแหวนถามพร้อมด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงไม่น้อย
“ไหวแน่นอนครับป้าแหวน”
“ถ้าไม่ถูกปากฉันล่ะก็...เก็บข้าวของกลับบ้านเธอไปเลย ฉันไม่ต้องการสะใภ้ไม่ได้เรื่อง”
“ผมจะทำให้คุณแม่ยอมรับให้ได้เลยครับ”
ผมสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ส่งยิ้มให้ทุกคนเพื่อให้อุ่นใจว่าผมทำได้แน่นอน ดูเหมือนว่าทุกคนจะเชื่อว่าผมทำได้ จะเว้นก็แต่คุณนายวิมลคนเดียวตามเคย
.
.
ช่วงเย็นผมรีบเข้าครัวเพื่อไม่ให้เสียเวลา เมนูวันนี้จะทำอาหารพื้น ๆ ที่เคยทำกินเมื่อตอนอยู่บ้าน คาดว่ารสชาติคงจะถูกปากท่านแน่นอน เพราะผมฝึกทำกับข้าวเป็นตั้งแต่เรียนชั้นประถม นั่นเพราะแม่เอาแต่เข้าบ่อนไม่มีเวลาได้อยู่บ้านสักเท่าไหร่ โชคดีที่ได้ยายข้างบ้านซึ่งเคยทำงานในรั้วในวังมาก่อนช่วยสอนให้
“ป้าแหวนครับขอผักกระเฉดหน่อย”
“ได้ค่ะคุณบิว”
“พี่ออยโขลกกระเทียมเสร็จหรือยังครับ”
“เสร็จแล้วค่ะคุณบิว”
“ขอบคุณครับ”
ภายในครัวตอนนี้เปรียบเหมือนสมรภูมิรบ ทุกอย่างดูวุ่นวายไปเสียหมดไม่ต่างจากกำลังแข่งขันทำอาหารในรายการดังอะไรเทือกนั้น หัวผมฟูไปหมด หน้ามันเลื่อมเพราะอยู่แต่หน้าเตา เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ไม่เคยท้อเพื่อเอาใจคุณนายวิมล
ในที่สุดทุกเมนูก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมนูวันนี้ได้แก่ แป๊ะซะปลาช่อนรสชาติกลมกล่อม น้ำพริกกะปิสูตรผีบอกกับผักลวกนานาชนิด จัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม ผัดผักบุ้งจีน กุ้งทอดกระเทียมสูตรพิเศษ ส่วนของหวานก็เป็นบวชแตงไทยง่าย ๆ อร่อยถูกปากทุกเพศทุกวัย
ทุกคนช่วยกันนำอาหารมาจัดสำรับไว้บนโต๊ะทานข้าว เสร็จเรียบร้อยดีแล้วผมก็ถอดผ้ากันเปื้อนมายืนรออยู่ข้างโต๊ะเพื่อรอคุณนายวิมล ไม่นานท่านก็เดินตรงมา ผมยิ้มให้แล้วช่วยขยับเก้าอี้ เอาใจขนาดนี้หวังว่าจะมีคะแนนพิศวาสบ้างล่ะ
“เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ครับคุณแม่”
ท่านกวาดสายตามองไปทั้งโต๊ะก่อนเงยขึ้นมองหน้าผม “ไม่นั่งทานด้วยกันเหรอ”
“ผมขอแนะนำเมนูให้คุณแม่ก่อนได้ไหมครับ”
“เอาสิ”
“ผมเลือกเมนูพื้น ๆ เพราะอยากให้คุณแม่ได้ชิมฝีมือรสชาติบ้าน ๆ บ้าง แต่รับรองว่าอร่อยไม่แพ้ภัตตาคารแน่นอนครับ เมนูวันนี้มีผัดผักบุ้งไฟแดง น้ำพริกกะปิกับผักลวก กุ้งทอดกระเทียมสูตรพิเศษ แล้วก็แป๊ะซะปลาช่อนผักกระเฉด ผมออกไปรับซื้อปลาช่อนจากชาวบ้านที่เพิ่งหาได้จากในคลองธรรมชาติเลยนะครับ เชิญลองทานดูครับคุณแม่”
เมื่อผมสาธยายจนจบแล้วท่านก็ลองชิมแต่ละเมนู สีหน้ามิอาจบ่งบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว ผมได้แต่นั่งลุ้นว่าท่านจะชอบหรือไม่ ภาวนาขออย่าให้มีอะไรผิดพลาดเลย
“น้ำพริกกะปิใส่กุ้งหวานด้วยเหรอ”
“ใช่ครับคุณแม่ กุ้งหวานทำให้รสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น เวลาเคี้ยวมีเนื้อของกุ้งด้วย เพิ่มอรรถรสในการรับประทานด้วยครับ”
ท่านพยักหน้าแล้วหันไปสนใจชามแป๊ะซะปลาช่อนต่อ “ปลาช่อนทอดได้กรอบกำลังพอดี น้ำซุปก็รสชาติกลมกล่อม ผักกระเฉดไม่สุกจนเกินไปถือว่าดี”
คำชมแรกของวันนี้ทำให้ผมยิ้มได้ ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะเอ่ยปากชมโดยไม่ได้แสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนก่อนแล้ว
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“เธอเองก็ทานเถอะ จะได้คุยกันไปด้วย”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ผมเริ่มลงมือรับประทานอาหารไปพร้อมกับท่าน บทสนทนาส่วนมากจะเกี่ยวกับอาหารทั้งสิ้น ถามเคล็ดลับว่าทำอย่างไรถึงได้รสชาตินี้ ไปเรียนมาจากไหน ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนทำอาหารถูกปากท่านสักเท่าไหร่นอกจากป้าแหวน
“ว่าแต่ตอนนี้ที่บ้านเธอเป็นยังไงบ้าง”
“คะ...คุณแม่หมายถึงที่บ้านผมเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิจะบ้านใคร เธอเป็นสะใภ้ฉันแล้ว ฉันก็ต้องรู้เกี่ยวกับภูมิหลังเธอทุกเรื่อง”
“เอ่อ...ที่บ้านผมมีแม่กับน้องชายอยู่กันสองคนแล้วก็แมวหนึ่งตัว น้องชายกำลังเรียนชั้นมอสี่ ส่วนแม่รับจ้างทั่วไปครับ”
“แน่ใจนะว่ารับจ้างทั่วไป”
“แน่ใจสิครับคุณแม่” คำถามของท่านทำให้ผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาทันที ถามราวกับว่ารู้จักแม่ผมเสียอย่างนั้น
“เมนูวันนี้อร่อยทุกอย่าง เธอทำกับข้าวเก่ง กรองมาลัยก็สวย กิริยามารยาทก็เรียบร้อยถูกใจฉันดี เสียอย่างเดียวเป็นแค่เด็กที่ถูกจ้างมาตบตาเท่านั้น”
ได้ยินอย่างนั้นช้อนที่อยู่ในมือก็ร่วงลงบนจานจนเกิดเสียง ผมเบิกตาด้วยความตกใจ มือไม้สั่นไปหมด ทำไมท่านถึงรู้เร็วนักทั้งที่ผมไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกมาเลย ตอนนี้ใจเริ่มสั่นด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง
“คือผมไม่ได้ถูกจ้างมานะครับคุณแม่”
“เธอคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงฉันจะแก่แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้จักนิสัยของลูกชายตัวเอง ฉันกับนาธานมีเรื่องไม่เข้าใจกันก่อนหน้านี้เธอรู้เรื่องไหม”
“ไม่ทราบครับ” ผมตอบเสียงอ่อยแทบไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะนั่ง เหนื่อยจากการทำอาหารมาแล้วยังมาเหนื่อยเพราะเรื่องนี้อีก อยากจะบ้าตายจริง ๆ เลย
“เธอไม่รู้เพราะเพิ่งจะมาเจอกับนาธานเมื่อไม่นาน แม่เธอติดการพนัน ติดหนี้ลูกชายฉัน นาธานเลยจ้างเธอมาเป็นเมียกำมะลอ เพื่อแลกหนี้ที่แม่เธอก่อไว้ ตัดรำคาญที่ฉันมักจะสั่งให้หาสะใภ้ที่เป็นผู้ชายเท่านั้น”
“เอ่อ...ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”
“ว่ามาสิ”
“ทำไมต้องเป็นสะใภ้ผู้ชายด้วยครับ คุณนาธานเล่าให้ฟังว่าคุณแม่เป็นสาววาย ชอบอ่านนิยายวาย และชอบดูซีรีส์วายมาก เป็นเพราะแบบนั้นใช่ไหมครับ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะดวงชะตาของนาธานต่างหาก”
“ดวงชะตางั้นเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ” ยิ่งพูดยิ่งงงกับตรรกะความคิดของท่าน นอกจากจะเป็นสาววายตัวยงแล้วยังเชื่อเรื่องดวงมากอีกด้วย หากผมเป็นคุณนาธานคงจะเหนื่อยมากแน่ ๆ
“ฉันตรวจดวงชะตาของนาธานแล้วพบว่าต้องมีเมียเป็นผู้ชายเท่านั้นถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ หากวันใดที่มีลูกมีเมียกับผู้หญิงวันนั้นจะต้องพบกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ในชีวิตถึงขั้นตาย”
“ผมว่า...บางทีเรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรเชื่อมากนะครับคุณแม่”
“แล้วฉันจะทำให้เธอเชื่อว่าสิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริงทั้งหมด แต่ฉันคงไม่ปล่อยให้ถึงวันที่ตานาธานมีลูกกับผู้หญิงคนไหนหรอก คนที่จะเป็นแม่ของหลานฉันคือเธอคนเดียวเท่านั้น”
“ผมเหรอครับ! ไม่จริงมั้งครับคุณแม่” ผมยิ้มแหยเมื่อได้ยินอย่างนั้น ใครจะเชื่อกันล่ะครับ เรื่องแบบนี้เคยมีในโลกซะที่ไหน
“แล้วเธอจะได้พิสูจน์มันด้วยตัวเอง” รอยยิ้มมุมปากและสีหน้าอันมั่นอกมั่นใจทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ถึงจะไม่เชื่อเรื่องแบบนี้แต่บรรยากาศมันทำให้รู้สึกแปลก ๆ
“ในเมื่อคุณท่านรู้เรื่องแล้วทำไมถึงยังให้ผมอยู่ที่นี่ต่อครับ”
“ไม่ต้องเรียกฉันคุณท่านหรอกให้เรียกคุณแม่เหมือนเดิม เพราะละครเรื่องนี้ยังคงต้องดำเนินต่อไป ตอนนี้ฉันรู้จักเธอมากขึ้น และคิดว่าเธอน่าจะไว้ใจได้”
“หากคุณนาธานรู้เรื่องนี้เข้าผมตายแน่ ๆ เลยครับ ฮือ ๆ คุณแม่อย่าทำให้ผมอึดอัดใจไปมากกว่านี้เลยนะครับ คุณแม่ช่วยบอกกับคุณนาธานให้ปล่อยผมไปได้ไหมครับ”
ผมรีบลงจากเก้าอี้ เดินเข่าไปกราบแทบเท้าคุณนายวิมลเพื่อขอความเห็นใจ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าท่านยังคงแสดงความเฉยเมยไม่ได้รู้สึกเห็นใจแต่อย่างใด ผมยิ่งรู้สึกใจแป้วเข้าไปใหญ่ จะมีโอกาสได้ออกจากบ้านหลังนี้ได้อย่างไร
“ในเมื่อลูกชายสุดที่รักของฉันมันเล่นสกปรก มาตบตาคนแก่อย่างฉันถึงขนาดนี้ ฉันก็จะเอาคืนให้สาสม ให้มันรู้ไปว่าลูกชายจะเก่งกว่าแม่ เธอและครอบครัวจะปลอดภัย ฉันไม่ให้ตานาธานทำอะไรพวกเธอแน่ แต่เธอต้องมาอยู่ข้างฉัน ทำงานให้ฉันจนกว่าจะเสร็จ”
“จริง ๆ นะครับ”
“ฉันไม่เคยผิดคำพูดกับใคร” กล่าวแล้วท่านก็เอียงหน้าไปมองกรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนัง เป็นรูปครอบครัวที่เคยถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อน ดูจากในภาพน่าจะเป็นช่วงที่คุณนาธานเรียนอยู่ชั้นประถม “นาธานไม่มีทางได้แต่งงานกับแม่นางเอกนั่นเด็ดขาด ฉันไม่ชอบขี้หน้าผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เพราะฉะนั้นฉันจะเล่นละครตบตาเช่นเดียวกัน ส่งเธอไปทำให้สองคนนั้นเลิกกันให้ได้”
“ผะ...ผมเหรอครับ ไม่มีทางหรอกครับคุณนาย คุณนาธานรักแฟนเขาจะตาย ไม่มีทางที่ผมจะทำให้เขาเลิกกันแน่ อีกอย่างเขาไม่ได้ชอบผู้ชายจะมาพิศวาสผมได้ยังไง”
“ถ้าเธอไม่ยอมทำฉันจะไม่ให้เธอได้ออกจากบ้านหลังนี้ตลอดชีวิต แต่ถ้าเธอยอมทำฉันจะส่งเงินให้แม่กับน้องเธอใช้ทุกเดือน ส่งเสียน้องเธอให้เรียนจนจบเท่าที่อยากจะเรียน เธอเองก็จะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ มีอยู่มีกินสบาย ๆ ไปตลอดชีวิต”
ข้อเสนอนี้ทำให้ผมฉุกคิดไปครู่หนึ่ง เอ๊ะ! ทำไมข้อเสนอดีอย่างนี้นะ มีแต่ได้กับได้
“แล้วถ้าคุณนาธานรู้เรื่องละครับ”
“เธอก็อย่าทำให้รู้เรื่อง เล่นละครต่อไป เรียกฉันคุณแม่เหมือนเดิมไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ทำหน้าที่เมียตานาธานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือต้องฟาดฟันกับแม่นางเอกนั่นบ่อยขึ้น”
“ตกลงครับ ผมจะทำ”
“ดีมาก หวังว่าฉันจะดูคนไม่ผิด หากทำสำเร็จฉันมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้แน่นอน”
“ขอบพระคุณครับคุณท่าน”
ได้ยินอย่างนั้นท่านก็ส่งสายตาดุมาให้ผม
“ขอบพระคุณครับคุณแม่”
“เย็นนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว ขึ้นไปหาฉันที่ห้องพระด้วย”
“ครับคุณแม่”
ในที่สุดสถานการณ์อันคับขันก็ผ่านไปได้ด้วยดี สรุปว่าผมต้องกลายมาเป็นหมากให้สองแม่ลูกตอบโต้กันไปมาอย่างนั้นหรือ ค่าตัวมันจะคุ้มค่าเหนื่อยของผมไหมนะ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องสู้เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เมื่อถึงเวลานัดหมายผมก็ออกมาจากห้องในสภาพชุดนอน ประแป้งจนขาวโพลนไปทั้งใบหน้า เดินตรงไปยังห้องพระตามคำสั่งของคุณนายวิมล เมื่อเปิดประตูเข้าไปผมก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เมื่อในนั้นไม่ใช่ห้องพระธรรมดาหากแต่เหมือนห้องทำคุณไสยของหมอผีในละครอะไรเทือกนั้น นอกจากโต๊ะหมู่บูชาแล้วยังมีของโบราณอีกมากมาย หัวกะโหลกของทั้งคนและสัตว์ มีเพียงแสงเทียนไขที่ให้ความสว่าง บรรยากาศวังเวงน่ากลัว คุณนายวิมลและป้าแหวนมาในชุดแม่ชีสีขาว เห็นแล้วผมต้องถอยหลังทีละก้าวอย่างช้า ๆ ด้วยความกลัว
“เอ่อ...ขอโทษครับ ตอนนี้คุณแม่กับป้าแหวนคงจะมีธุระกันอยู่ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“หยุด! เข้ามานั่งตรงนี้”
“ตรงนี้เลยเหรอครับ”
ทำยิ้มแหย ตาก็มองไปยังพื้นที่ซึ่งท่านกำลังชี้มา มันคือตรงกลางวงที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบเอาไว้ ตัวผมสั่นไปหมด คิดในใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ บ้านนี้นับวันยิ่งน่ากลัว เคยเห็นในข่าวว่ามีคนนับถือลัทธิประหลาดอย่าบอกนะว่าคุณนายวิมลและป้าแหวนจะเป็นอย่างนั้นด้วย
คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างตัวน้อย ๆ ด้วยเถิด!
ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากวิบากกรรมครั้งนี้ด้วยเถิด!
สาธุ๊!!!!!!