ตอนที่ 3 จุดเริ่มต้น
“คุณหนูกินยาก่อนนะคะ” เสียวปิงยื่นถ้วยยาที่มียาเม็ดโตให้หญิงสาว ถิงถิงรับยานั้นมาก่อนจะกลอกลงปากแล้วดื่มน้ำตาม
“คุณหนูคิดว่าประธานฮั้วจะตอบรับข้อเสนอของคุณหนูหรือเปล่าคะ” หลังจากถิงถิงกินยาเสร็จเสียวปิงก็เริ่มถามเรื่องที่เธอเป็นกังวล เธอได้รับหน้าที่ดูแลคุณหนูมาตั้งแต่ตอนที่คุณท่านพาคุณหนูกับคุณชายมาที่บ้านตั้งแต่เมื่อสิบสองปีที่แล้ว จนตอนนี้เธอเห็นคุณหนูเป็นน้องสาวของเธอมากกว่าแค่เจ้านาย เพราะคุณหนูนั้นดีกับเธอมากแม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูว่ายังไงก็ตาม แต่เธอรู้ว่าที่คุณหนูทำไปทั้งหมดล้วนมีเหตุผล
“รับสิ ฉันมั่นใจว่ายังไงพี่ก็ต้องตอบรับข้อเสนอของฉัน เธอบอกให้คุณลุงซ่งเตรียมร่างสัญญาไว้ได้เลย” ถิงถิงบอกเสี่ยปิงด้วยความมั่นใจ
“รับทราบค่ะคุณหนู”
“แล้ววันนี้อาการคุณปู่เป็นยังไงบ้าง” ถิงถิงถามถึงอาการคุณปู่ของเธอปกติเธอจะต้องเขาไปเยี่ยมและคุยเล่นกับคุณปู่ทุกวัน แต่วันนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นไหว ไม่คิดเลยว่าการไปเจอกับเขาแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เธอหมดแรงถึงขนาดนี้
“คุณท่านอาการปกติดีค่ะ มีตื่นมาตอนบ่ายแล้วถามหาคุณหนูแต่พยาบาลที่ดูแลบอกว่าคุณหนูออกไปซื้อของ คุณท่านเลยบอกว่าดีแล้วให้คุณหนูออกจากบ้านบ้างไม่ใช่คลุกอยู่แต่กับท่าน” เสียวปิงตอบตามที่เธอไปสอบถามมา
“ถ้าคุณปู่รู้ว่าฉันไปทำอะไรมาคงได้ตกใจแย่” ถิงถิงพูดติดตลก
“ขอบใจนะเสียวปิง เธอไปพักเถอะฉันเองก็จะนอนแล้ว” เสียวปิงช่วยห่มผ้าให้คุณหนูของเธอก่อนจะขอตัวออกไปพักผ่อน
หลังจากเสียวปิงออกไปคนที่บอกว่าจะนอนแต่กลับนอนไม่หลับ ถิงถิงคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในอดีต ครั้งแรกที่เธอเจอคุณปู่คือในงานศพของคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอ ท่านทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุขับรถตกสะพานหลังจากกลับจากงานกินเลี้ยง ตำจรวจบอกว่าพ่อของเธอที่เป็นคนขับเมาแล้วขับเลยควบคุมรถไม่ได้เลยชนเข้ากับราวสะพานก่อนจะตกลงแม่ในน้ำ ในตอนนั้นเธออายุแค่สิบขวบส่วนน้องชายของเธออายุแค่ห้าขวบ พวกเธอทั้งสองคนทำได้เพียงแค่กอดกันร้องให้ในงานศพเพราะไม่รู้ว่าต่อไปนี้พวกเธอจะทำยังไงจะอยู่ที่ไหน แล้วอยู่ๆ ก็มีชายสูงอายุเดินเขามาในงานพร้อมกับบอกพวกเธอว่าเขาเป็นปู่ของพวกเธอ
แล้วตั้งแต่วันนั้นคุณปู่ก็รับเธอกับน้องชายมาอยู่ด้วย และตั้งแต่นั้นชีวิตของเธอกับน้องก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเมื่อก่อนเธอกับครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่ตอนนี้แค่ห้องนอนของเธอแค่ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่เธอเคยอยู่ทั้งหลัง แต่ถึงมันจะใหญ่แค่ไหนสำหรับเธอมันกับไม่มีความอบอุ่นเหมือนบ้านหลังน้อยของเธอเลย ผู้คนที่นี่ก็เหมือนกัน ต่างพากันบอกว่าเป็นญาติเธอแต่ไม่มีใครที่ดีกับเธอหรือกับน้องเธอสักคน มีเพียงคุณปู่ที่คอยปกป้องเธอ เธอเลยต้องอาศัยอาการป่วยของตัวเองให้เป็นประโยชน์ มีครั้งหนึ่งตอนที่เธอมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ลูกเลี้ยงของคุณอาเว่ยแกล้งผลักเธอ แต่เธอรู้ทันเลยทำเป็นล้มก่อนที่หมอนั่นจะได้ผลักเธอจริงๆ แล้วเธอก็ร้องไห้เสียงดังก่อนจะแกล้งเป็นลมผลคือคุณปู่สั่งห้ามหมอนั่นไม่ให้มาเหยียบที่บ้านของสกุลจางนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เล่นเอาคุณอาเว่ยหัวเสียแค้นเธอมาจนถึงทุกวันนี้ เลยคอยจ้องจะหาเรื่องเธอตลอดเวลา ล่าสุดพออาเว่ยทราบข่าวอาการของคุณปู่แทนที่เธอจะห่วงอาการของพ่อตัวเอง แต่อาเว่ยกลับมาข่มขู่เธอบอกว่าทันทีที่คุณปู่เสียจะไล่เธอกับน้องออกจากบ้านทันที แล้วให้ลูกเลี้ยงของเธอขึ้นมาเป็นหัวหน้าตระกูลแทน ถึงแม้ว่าอาเขยจะแต่งงานเข้าตระกูลแล้วเปลี่ยนมาใช้สกุลจางแต่ลูกเลี้ยงของเธอก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี แล้วนิสัยของหมอนั่นก็เลวร้ายขั้นสุด ทั้งการพนัน เสพยา แล้วยังมีเรื่องไปยุ่งเรื่องธุรกิจสีเทาอีก เธอจะปล่อยให้คนแบบนั้นขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลได้ยังไง ถ้าเธอทำแบบนั้นไม่เท่ากับเธอปล่อยให้สิ่งที่คุณปู่สร้างมาทั้งหมดล่มสลายหรอกเหรอ ไม่ได้เธอจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เธอต้องการให้เขามาแต่งงานด้วย
“หวังว่าพี่จะไม่ใจร้ายกับฉันเกินไปนะ”
บ้านใหญ่ตระกูลจาง
“วันนี้ลมอะไรหอบมาเหรอหลานสาวที่น่ารักของฉันถึงได้มาที่นี่ได้ ไม่อยู่เฝ้าคุณปู่ของเธอเหรอ หรืออยากมาเดินชมความงามของบ้านหลังนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก” วันนี้เธอเข้ามาทำธุระแทนคุณปู่ แต่งยังเดินไม่ทันถึงห้องทำงานก็เจอกับอาเว่ยอาแท้ๆ ของเธอที่เดินออกมาจากห้องเข้าซะก่อน
“อาพูดถึงตัวเองเหรอคะ” ถิงถิงหยุดเดินก่อนจะหันไปตอบคำถามคนถาม “ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อนอาให้ลูกเลี้ยงของอาเข้ามานอนที่บ้านหลังนี้ใช่หรือเปล่าคะ” คำถามที่ถิงถิงถามทำให้อาเว่ยถึงกับโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“แล้วจะทำไม ถึงยังไงจางหย๋งก็ถือว่าเป็นลูกชายของฉัน ทำไมจะมานอนที่บ้านนี้ไม่ได้ คอยดูนะต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้ลูกชายฉันนอนที่ห้องรับรองแขกแล้ว แต่ฉันจะยกห้องของน้องชายแกให้กับจางหย๋งด้วย” อาเว่ยพูด ถิงถิงที่ได้ยินแบบนั้นเลยต้องเปลี่ยนจุดหมายจากห้องทำงานเป็นเดินตรงไปหาคุณอาเว่ยสุดที่รักของเธอแทน
“อาก็ลองทำแบบนั้นดูสิคะ” ถิงถิงที่เดินมาหยุดตรงหน้าอาเว่ยพูดเสียงต่ำ
“ทะ ทำไม แกจะทำไมฉัน ฉันไม่กลัวแกหรอก” อาเว่ยพูดตะกุกตะกัก ทั้งๆ ที่กลัวแต่เธอจะยอมแพ้นังเด็กนี่ไม่ได้
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ ฉันก็แค่จะใช้สิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์แค่นั้นเอง” ถิงถิงโชว์ตราประทับประจำตระกูลให้อาเว่ยดู
“แกมีมันได้ยังไง คุณพ่อให้แกมาเหรอ ไม่มีทางแกต้องขโมยมาแน่ๆ เอามานี้นะ” อาเว่ยพยายามที่จะแย่งตราประทับจากมือของถิงถิง แต่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะผู้ติดตามของเธอเข้ามากันตัวอาเว่ยไว้ก่อนที่จะถึงตัวเธอ
“ฉันไม่ได้ขโมยและไม่จำเป็นต้องขโมย แต่คุณปู่เป็นคนให้ฉันเองกับมือของท่าน ถ้าอาไม่เชื่อก็ไปถามทนายซ่งได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่ตัดชื่อของลูกชายสุดที่รักของอาให้ออกจากตระกูลฉันก็ทำได้” ถิงถิงบอก พร้อมกับยิ้มให้อย่างเหนือกว่า
“แกทำไม่ได้หรอก ถ้าแกจะตัดชื่อจางหย๋งออกแกต้องมีเหตุผลที่ดีพอที่จะตัด เหอะคิดว่าเรื่องแค่นี้ฉันไม่รู้เหรอ อย่าได้คิดเอาเรื่องนี้มาขู่ฉัน ฉันไม่กลัวแกหรอก” อาเว่ยพูดด้วยความมั่นใจว่าถิงถิงทำอะไรเธอกับลูกเลี้ยงของเธอไม่ได้
“ใครบอกอาเว่ยว่าฉันมีเหตุผลไม่เพียงพอที่จะตัดชื่อลูกชายสุดที่รักของอาเว่ยเหรอคะ เหตุผลแค่นั้นนะฉันมีเป็นร้อยเรื่อง เอาแค่เรื่องที่ขัดคำสั่งของหัวหน้าตระกูลก็พอ แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอให้ไล่ออกได้แล้วค่ะ หรือถ้าอาเว่ยไม่เชื่อจะให้ฉันสาธิตให้ดูดีไหมคะ” อาเว่ยมีสีหน้าตกใจเธอไม่คิดว่าถิงถิงที่วันๆเอาแต่นอนซมเพราะอาการป่วยจะรู้เรื่องกฎพวกนั้นถึงขั้นกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่เธอเลยเหรอ
“อย่านะ ฉันให้จางเว่ยมานอนแค่คืนเดียวเองจะอะไรหนักหนา แล้วอีกอย่างห้องน้องชายแกก็เล็กนิดเดียว รอจางเว่ยได้เป็นหัวหน้าตระกูลก่อนเถอะฉันจะหาห้องที่ใหญ่กว่านี้ให้เขาอยู่ ส่วนแกสองพี่น้องก็เตรียมตัวไปนอนข้างกองขยะได้เลย” พูดจบอาเว่ยก็เดินสะบัดก้นจากไป ถิงถิงได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนที่เดินจากไป
“ฉันควรจะเปลี่ยนชื่อให้สองแม่ลูกนั่นเป็น เปิ้ลตั้น* กับ ซ่ากวา** ดีกว่าไหม ฉันว่าดูเหมาะกับสองคนนั้นมากกว่านะ”
*เปิ้ลตั้น = โง่
**ซ่ากวา = โง