“ผู้ใดปลูกดอกโบตั๋นได้งดงามถึงเพียงนี้”
“เรือนหลังนี้ ท่านแม่ทัพให้คนเตรียมไว้เพื่อฮูหยินเจ้าคะ”
“หมายถึงข้าหรือ?” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง
“อันที่จริง ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในจวนนัก แต่เจ้าทึ่มหวงอี้ชอบเล่าให้ข้าฟังบ่อยๆ ท่านแม่ทัพให้คนมาทำความสะอาดอยู่เสมอ บอกว่าสักวันท่านจะมา พวกเรายังคิดอยู่ว่าเมื่อไหร่ฮูหยินท่านแม่ทัพจะมา แล้ววันนี้ท่านก็มาจริงๆ”
“เขา...รอข้า...”
เหตุใดหัวใจนางเต้นรัวเช่นนี้
หรูซื่อยกมือขึ้นกดที่หน้าอกตัวเอง หัวใจเต้นรัวเหลือเกิน ดีใจ? นางกำลังดีใจอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้ ภายในอกเกิดระลอกคลื่นอารมณ์แปลกประหลาด รู้สึกดีเหลือเกินที่มีคนรอคอยนางถึงเพียงนี้ ยิ่งกวาดตามองเห็นสวนดอกไม้งดงาม ยิ่งทำให้เชื่อว่าเขาใส่ใจและรอคอยนางจริงๆ
แล้วเหตุใดนางไม่รีบมาหาเขา เป็นสามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันนี่
“เจ้าเป็นอะไรไป เจ็บหัวใจรึ”
น้ำเสียงร้อนรนทำให้หญิงสาวรีบหมุนตัวกลับมา นางปะทะกับแผงอกของเขา เพราะไม่คิดว่าคนที่พูดจะยืนอยู่ใกล้มาก ความสูงที่ต่าง
กันมาก นางต้องแหงนหน้ามองเขาเลยทีเดียว
“เหตุใดออกมาข้างนอกเช่นนี้” น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิ ทว่าเจือความห่วงใยด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางพูดตะกุกตะกัก ยังไม่คุ้นชินกับการอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษ แม้ว่าเขาจะเป็นสามีของนางก็ตาม แก้มเนียนจึงแดงระเรื่อ แต่ทำให้บุรุษเบื้องหน้ายกมือขึ้นประคองใบหน้าของนางไว้
“แก้มเจ้าแดง มีไข้หรือเปล่า”
หรูซื่อส่ายหน้าไปมา แต่การใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ใบหน้ายิ่งหน้าแดงจัด ซุนหลวนคุนยังไม่เข้าใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล รีบช้อนร่างนางอุ้มขึ้นทันที
“ท่านแม่ทัพ!ท่านจะทำอะไร!” หรูซื่อร้อนรนดิ้นขลุกขลัก นางเพิ่งรู้ตัวว่ามีทหารยามอยู่ไม่ไกล พวกเขาต่างก้มหน้าหลบสายตากันหมด แต่กระนั้น นางก็ยังเขินอายอยู่ดี
“เจ้าหน้าแดงถึงเพียงนี้ยังจะไม่เป็นอะไรอีกรึ” เขาดุนาง
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ” นางหวงฝูเอ่ยพยายามกลั้นหัวเราะ “ฮูหยินมิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ที่หน้าแดงเพราะท่านแม่ทัพต่างหาก”
“เพราะข้า” เขาทำหน้างง แต่เมื่อก้มมองคนในอ้อมอกก็เห็นว่านางเอาแต่ซุกหน้ากับอกของเขา ใบหูน้อยๆ แดงระเรื่อราวถูกย้อมสี
“พวกท่านสามีภรรยาค่อยๆ คุยกันนะเจ้าคะ”
นางหวงฝูยิ้มให้แล้วหมุนตัวเดินออกไป นางโบกมือไล่ไม่ให้ทหารอยู่ใกล้ ปล่อยให้ท่านแม่ทัพกับฮูหยินอยู่กันตามลำพัง
“เจ้าไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”
เขาถามย้ำ นางตอบด้วยการพยักหน้า แต่เมื่อได้อุ้มนางแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปล่อย นางตัวเบาราวกับนกน้อยตัวเล็กน่าทะนุถนอม เห็นทีว่าต้องบำรุงนางให้มากยิ่งขึ้น
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่อยากเดินเล่น อุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว”
“ยังปวดหัวอีกหรือไม่ กินยาที่ท่านหมอให้ไว้หรือเปล่า กินข้าวเช้าหรือยัง”
หรูซื่อเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายผู้นี้มีใบหน้าคมสัน ผิวสีทองแดง ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ดวงตาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาความคิดได้ แต่ท่าทางห่วงใยนี้ทำให้หัวใจของนางอิ่มเอม
“หากไม่ฝืนคิดเรื่องที่หลงลืมไปแล้วก็ไม่ปวดหัวอีก” นางพูดไปตามตรง “ข้ากินข้าวกินยาแล้วด้วย”
“จำไม่ได้ก็ช่างเถิด” เขาถอนใจเบาๆ “ขอแค่เจ้าปลอดภัยดีก็พอ”
“ข้าทราบแล้ว” นางพยักหน้าน้อยๆ
‘สามีของนางช่างดีเหลือเกิน ชีวิตแต่งงานของนางต้องดีมากอย่างแน่นอน’
ซุนหลวนคุนได้แต่ข่มความรู้สึกของตัวเองลงไป สวรรค์ให้โอกาสเขา ให้นางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งนางจำเรื่องของเขาไม่ได้เลยนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
นับจากนี้ เขาจะทำให้นางรักเขาอย่างหมดหัวใจ
อีกครั้ง.
ภายในจวนแม่ทัพพิทักษ์ประจิมรับรู้เพียงว่า ฮูหยินของท่านแม่ทัพเดินทางมาเพื่อดูแลสามีที่ไม่ได้กลับบ้านถึงสองปีเศษ การดูแลชายแดนฝั่งตะวันตกติดพันยาวนานทำให้สามีภรรยาห่างเหิน ว่ากันว่า ท่านแม่ทัพห้ามมิให้ฮูหยินเดินทางมาที่นี่ เพราะแร้นแค้นกันดาร แต่เมื่อทุกคนได้เห็นโฉมหน้างดงามของนางแล้ว จึงไม่แปลกใจที่ท่านแม่ทัพทะนุถนอมนางยิ่งนัก
ทว่านอกจากหมอทหารแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า สมองของฮูหยินท่านแม่ทัพได้รับการกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อม นางจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตนเอง และทุกครั้งที่นางพยายามเค้นสมองคิดว่าตนเองเป็นใครและเหตุใดจึงได้รับอุบัติเหตุหนักหนาถึงเพียงนี้ นางจะทรมานจากการปวดศีรษะจนแทบอยากกัดลิ้นตายไปเสีย นั้นทำให้นางตัดสินใจไม่หวนคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และสามีของนางก็เห็นพ้องต้องกัน นางจึงไม่พูดเรื่องที่ตนความจำเสื่อมกับใคร
“ชื่อของข้าคือหรูซื่อ เป็นบุตรสาวของท่านราชครูอู๋เจ๋อ ได้รับสมรสพระทานกับแม่ทัพซุนหลวนคุนตอนอายุสิบสอง...เอ๊ะ! ข้าแต่งงานกับท่านตั้งแต่อายุสิบสองหรือเจ้าคะ”
ซุนหลวนคุนพยักหน้ารับ แสร้งยกถ้วยชาขึ้นจิบกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างในใจ
“ตอนนั้นท่านแต่งกับข้า ท่านอายุเท่าใดกัน” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย สามีนางช่างแสนดีและใจเย็นนัก ค่อยๆ สอนให้นางเรียนรู้เรื่องของตนเองไปที่ละเรื่องสองเรื่อง
“ตอนนั้นข้าอายุสิบเก้า”
“แล้วตอนนี้?”
“ยี่สิบสาม”
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าอายุ...” นางยกนิ้วขึ้นนับ “สิบหกใช่ไหมเจ้าคะ”
“อืม ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้ว”
“ข้ากับท่านก็แต่งงานกันมาห้าปีแล้วสินะ” นางถามเองตอบ แต่เห็นเขาพยักหน้ารับก็ลอบมองสีหน้าของเขา “ห้าปีมานี่ ข้ากับท่านใช้ชีวิตอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้า...” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นเจ้าอายุแค่สิบสอง ข้าต้องออกรบ จึงให้เจ้าอยู่กับมารดาข้าที่เมืองหลวง เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่นัก แต่งงานห้าปียังไร้ทายาท มารดาข้าร้อนใจจึงให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าที่นี่”
“แต่งงานห้าปียังไร้ทายาท ข้านี่บกพร่องเสียจริง” สีหน้านางเป็นกังวลยิ่ง
“อย่าคิดมากไป ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เขาอึกอัก
“เอ๋? หรือท่านพี่ไม่สบายเจ้าคะ” นางยื่นมือไปแตะท่อนแขนของเขา
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขาเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ตัดสินใจว่าจะไม่บอกนางว่าเขากับนางยังไม่ได้ร่วมหอกันอย่างแท้จริง
เขาแต่งกับนางที่อายุเพียงสิบสอง คืนเข้าหอนางก็หลับน้ำลายไหลก่อนเขาจะเข้ามาเปิดผ้าคลุมหน้าเสียอีก นางยังเด็กมากสำหรับเขา แม้ผู้อื่นจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขารอนางได้ และคิดว่าจะรอต่อไป แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดมารดาจึงส่งนางมาเช่นนี้
“ที่นี่ทุรกันดารมาก หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการก็บอกป้าหวงฝูได้ คนในจวนก็เหมือนคนของเจ้า ต้องการใช้งานใดก็สั่งการได้ทันที”
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่ลำบากอะไร” นางระบายยิ้มหวานเกลือนใบหน้า ดวงตาพราวระยับดุจดวงดารา เล่นเอาคนจ้องมองถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ “ท่านแม่ทัพใจดีกับข้ามาก”
“ท่านพี่”
“....” หญิงสาวนิ่งไป
“เรียกข้าว่าท่านพี่”
“ท่าน...ท่านพี่” แก้มเนียนฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที นางรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย หรือว่า เพราะว่าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน นางจึงเขินอายอย่างนี้
ได้เห็นท่าทีเขินอายของนางแล้ว หัวใจพลันคันยุบยิบ เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ
“หากไม่มีผู้อื่น เจ้าจะเรียกข้าว่าหลวนคุนก็ได้”
ลมหายใจอุ่นร้อนคลอเคลียใบหูทำให้หญิงสาวไม่กล้าเงยหน้าขึ้นจึงพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“หลวนคุน ลองเรียกดูสิ”
“หลวนคุน” นางทำตามเขาสั่ง ช้อนตาขึ้นมองเห็นสีหน้าพอใจของเขาแล้วก็ใจเต้นรัวขึ้นมา
ดีจริง เขาคงพอใจสินะ สามีของนางช่างดีเหลือเกิน
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”