จากเด็กกำพร้าที่ดิ้นรนจนได้เป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ต้องมาตายเพราะสะดุดขาตัวเองล้มเนี้ยนะ ไม่รู้ว่าจะสงสารตัวเองหรืออับอายดี
View Moreนที ศาสตราจารย์วัย 39 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ในอดีตนทีนั้นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นทีเป็นคนที่เรียนเก่งเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ เขาทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนอายุ 18 ปี นทีเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงจนในที่สุดเขาสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อแพทย์ที่ประเทศจีน และสามารถสอบชิงทุนได้ทุกครั้งจนส่งตัวเองเรียนจบถึงปริญญาเอก นทีนับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือดีไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค หรือการผ่าตัด จนปัจจุบันนทีกลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์ นทีใช้ชีวิตในการสอนนักศึกษาแพทย์เวลาว่างก็เรียนรู้เรื่องสมุนไพร การปรุงยาและแพทย์แผนจีนโบราณจนชำนาญ ชีวิตดำเนินไปอย่างราบเรียบจนกระทั่งวันหนึ่งมัจจุราชที่มองไม่เห็นมาพรากชีวิตของเขาไปเพียงเพราะเขาแค่ สะดุดขาตัวเองล้ม!
'บ้าซะมัด ทำไมผมต้องมาตายด้วยเหตุผลน่าขายหน้าแบบนี้' นทีได้แต่ก่นด่าในใจ หัวที่ฟาดพื้นอย่างรุนแรงทำให้พรากลมหายใจของเขาไปในไม่กี่วินาที 'เกิดมายังไม่เคยสัมผัสคำว่าครอบครัวเลย' นทีคิดอย่างเศร้าใจก่อนจะเอ่ยคำอธิฐาน 'หากชาติหน้ามีจริงขอให้ผมได้เกิดใหม่มีครอบครัวที่รักและห่วงใยผมด้วยใจจริงด้วยนะครับ' ห้วงวินาทีสุดท้ายก่อนสติจะดับลงความรู้ทางการแพทย์ การปรุงยา หรือสมุนไพรต่างๆพุ่งเข้ามาในหวก่อนที่ศาสตราจารย์อายุน้อยจะสิ้นลมหายใจลงไป ณ ตรงนั้น เฮือก! นทีสะดุ้งตื่นขึ้นมาพลางกอบโกยลมหายใจเข้าปอด นี่เข้าฝันไปหรอกเหรอ นทีถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูกหน้าก่อนจะพบว่ามีสิ่งผิดปกติ "นะ นี่มันอะไรกัน" นทีเป็นคนที่มีรูปร่างกำยำคนหนึ่ง แล้วแขนที่เล็กและมือที่บอบบางราวกับเด็กนี่คืออะไร เมื่อมองดูดีๆเขาพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สำรวจตัวเองก็พบว่าเขาอยู่ในชุดคล้ายกับยุคจีนโบราณเหมือนที่เคยดูในซีรี่ย์จอมยุทธอย่างไรอย่างนั้น ฉับพลันเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงก่อนที่ภาพต่างๆจะไหลเข้ามาในหัวอย่างมากมาย "นะ นี่มันเรื่องจริงเหรอ" อดีตศาสตราจารย์ทางการแพทย์แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาได้ทะลุมิติมาในโลกที่เหมือนจะเป็นโลกคู่ขนาน เหอฟานเสวี่ย คือชื่อของคนที่นทีทะลุมิติเข้ามาอาศัยอยู่ในร่าง เหอฟานเสวี่ยเป็นเพศเกอ อายุ 12 หนาว บิดามีนามว่า เหอจงเทา มารดามีนามว่า สวี่ฟาง เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่กับบิดามารดาในบ้านหลังเก่าเพียงแค่สามคน แม้ว่าจะยากจนเพียงใดบิดามารดาของเหอฟานเสวี่ยก็เลี้ยงดูบุตรของตนอย่างดี เหอฟานเสวี่ยหมั้นหมายกับหม่าจางอี้บุตรชายของหม่าเฉินที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน ส่วนสาเหตุที่ทำให้นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของเหอฟานเสวี่ยนั้นเกิดจากเจ้าของร่างนั้นป่วยจนไข้ขึ้นสูงด้วยว่าครอบครัวไม่มีเงินเรียกหมอมารักษาเจ้าตัวจึงช็อกเพราะไข้ขึ้นสูงเกินไป "เฮ้อ ฉันจะใช้ชีวิตแทนนายก็แล้วกันนะ" นทีพึมพำอย่างแผ่วเบา ต่อไปนี้ไม่มีแล้วศาสตราจารย์นที จะมีแต่เหอฟานเสวี่ยเท่านั้น "เสวี่ยเออร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" สวี่ฟางเปิดประตูเข้ามาเห็นบุตรชายลุกขึ้นมานั่งก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "ข้ามิเป็นอันใดแล้วขอรับ" นทีหรือตอนนี้ก็คือเหอฟานเสวี่ยเพิ่งเคยได้รับความห่วงใยจากมารดาเป็นครั้งแรกหัวใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมา "เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าหิวหรือไม่ประเดี๋ยวแม่จะไปทำข้าวต้มมาให้เจ้ากิน" สวี่ฟางลูบหัวบุตรชายด้วยความเอ็นดู "ข้าหิวนิดหน่อยขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยตอบ ตอนนี้ท้องเขาเองก็เริ่มหิวแล้ว "เช่นนั้นเจ้ารอสักประเดี๋ยว" "ข้าออกไปกินข้างนอกกับท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยอยากกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัว "เช่นนั้นก็ได้ เจ้ารอแม่อยู่ในนี้สักครู่อาหารเสร็จแล้วแม่จะมาตามเจ้าไปกิน" สวี่ฟางตามใจบุตรเกอคนเดียวของตน "ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยตอบรับอย่างว่าง่าย 'การมีครอบครัวมันอบอุ่นเช่นนี้เองหรือ' ยามโหย่ว (17:00-18:59) สวี่ฟางก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จ เหอจงเทาผู้เป็นบิดาของเหอฟานเสวี่ยก็กลับมาพอดีสวี่ฟางจึงไปตามบุตรชายมากินข้าว "เสวี่ยเออร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอด้วยความห่วงใย "ข้าหายดีแล้วขอรับ ท่านพ่อมิต้องห่วง" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยตอบพลางยิ้มน้อยๆ "หายดีก็ดีแล้ว พ่อต้องขอโทษเจ้าที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อยามาให้เจ้ากิน" เหอจงเทารู้สึกผิดอยู่เต็มอก ลำพังดักกระต่ายและไก่ป่าได้แค่บางวัน นำไปขายก็ได้แค่ไม่กี่สิบอีแปะอย่าว่าแต่ตามหมอมารักษาเลย แค่จะซื้อสมุนไพรบรรเทาอาการยังไม่มีปัญญา เขาช่างเป็นบิดาที่แย่นัก "ท่านพ่อ ท่านอย่าได้โทษตัวเอง" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยปลอบบิดาเพราะห้วงสุดท้ายของชีวิตของเหอฟานเสวี่ยคนเก่าไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองบิดามารดาหรือน้อยใจโชคชะตาของตนเลยสักนิด "เอาล่ะ กินข้าวกันเถิดประเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียก่อน" สวี่ฟางรีบเปลี่ยนเรื่องบรรยากาศจึงกลับมาเป็นปกติ เหอฟานเสวี่ยมองดูอาหารตรงหน้าก็รู้สึกหดหู่ใจ ข้าวต้มที่มีแต่น้ำกับผัดผักหนึ่งจาน นี่มันแย่กส่าอาหารที่บ้านเด็กกำพร้าเสียอีกมิน่าครอบครัวนี้ถึงได้ผ่ายผอมกันนัก ไม่เป็นไรในเมื่อเขามีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้นั่นก็แปลว่าครอบครัวนี้คือครอบรัวของเขา เขาจะทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ดีขึ้นเอง หลังจากกินข้าวเสร็จเหอฟานเสวี่ยก็อาสาล้างจานแต่ถูกสวี่ฟางผู้เป็นแม่ไล่ให้มาพักผ่อนเขาจึงกลับเข้ามานั่งในห้องก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ความรู้ทางการแพทย์ การปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จักนั้นตอนนี้ในหัวของเขาจดจำได้ทั้งหมด แม้กระทั่งการนำสมุนไพรทั่วไปนำมาปรุงยาจนสามารถทำให้มันกลายเป็นยาล้ำค่าได้ทั้งๆที่เขาในชาติก่อนไม่รู้เรื่องนี้เลย เหอฟานเสวี่ยได้แต่นอนคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะผล็อยหลับไป "วันนี้ท่านพ่อมิได้ไปล่าสัตว์หรือขอรับ" เหอฟานเสวี่ยที่เพิ่งจัดการธุระตัวเองเสร็จในยามเช้าเห็นบิดานั่งทำลูกดอกหน้าไม้อยู่จึงเข้ามาถาม "วันนี้พ่อไม่ได้ไป คิดว่าจะปลูกผักเสียหน่อยมิเช่นนั้นหน้าหนาวคงไม่มีอะไรกิน" เหอจงเทาตอบผู้เป็นลูก "เช่นนั้นให้ข้าช่วยนะขอรับ" เหอฟานเสวี่ยรีบเสนอตัวทันที "พ่อว่าเจ้าพักก่อนดีหรือไม่ มิรู้ว่าอาการป่วยของเจ้าหายดีแน่แล้วหรือยัง" เหอจงเทาเอ่ยอย่างเป็นห่วง "แต่... " "คนบ้านเหออยู่หรือไม่" เหอฟานสวี่ยยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงเรียกขึ้นที่หน้าบ้านเสียก่อนสองพ่อลูกจึงเดินไปดู เพราะในตอนนี้สวี่ฟางผู้เป็นมารดากำลังทำอาหารอยู่ "คาระวะท่านผู้นำหมู่บ้านขอรับ มิทราบว่ามีธุระอันใดหรือขอรับ" เหอจงเทาเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดมาหาก็ทำการคำนับก่อนจะเอ่ยถามว่าเหตุใดคนบ้านหม่าถึงได้ยกโขยงมากันทั้งบ้านรวมถึงคู่หมั้น ของบุตรตนด้วยทั้งสองเดินกลับเข้ามาในบ้านที่มีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะเข้าไปนั่งข้างบิดามารดาของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั่งลงแล้วจ้าวฮูหยินก็เปิดปากพูดขึ้น”เสวี่ยเออร์ แม่ได้คุยกับบิดามารดาของเจ้าแล้ว บิดามารดาของเจ้ายินดีหากเจ้าจะหมั้นกับอาจวิน” “…..” เหอฟานเสวี่ยหันหน้าไปมองบิดามารดาของตนก็เห็นว่าทั้งคู่พยักหน้าให้“เจ้าล่ะ ยินดีจะหมั้นหมายกับจวินเกอของเจ้าหรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม จ้าวเพ่ยจวินเองก็มองคนน้องด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ภายในใจก็ลุ้นอยู่ไม่น้อย“ข้า…ขอเรียนท่านแม่ตามตรง ตัวข้านั้นยังอยากอยู่กับบิดามารดาเปิดบ้านรักษาชาวบ้านเช่นนี้ หากวันนึงข้าต้องแต่งงานกับจวินเกอข้าอาจไม่สามารถไปอยู่ที่เมืองหลวงได้” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตน แม้ว่าครอบครวคนพี่จะเคยพูดว่าไม่ได้กังวลที่จะให้บุตรชายมาอยู่ที่นี่แต่เขาก็อยากจะพูดคุยให้ชัดเจนอีกครั้ง“อาจวิน เจ้าว่าอย่างไร ยินดีจะมาอยู่กับน้องที่นี่หรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย“ลูกยินดีขอรับท่านแม่ ขอแค่มีเสวี่ยเออร์อยู่ลูกอยู่ที่ไหนก็ได้ขอรับ” จ้าวเพ่ยจ
วันเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนเวลาล่วงเลยผ่านมาสามปี เหอฟานเสวี่ยยังคงทำหน้าที่เป็นหมอเทวดาน้อยได้อย่างดีเช่นเดิมจวบจนตอนนี้จากเกอน้อยวัย 12 หนาวกลายเป็นเกอวัย 15 หนาวซึ่งตามธรรมเนียมคือถึงช่วงวัยปักปิ่นและออกเรือนสำหรับเกอและสตรีในยุคนี้ งานปักปิ่นให้กับเหอฟานเสวี่ยจะถูกจัดขึ้นอีกสามวันข้างหน้าผู้เป็นมารดาใบหน้ามีความสุขที่เห็นบุตรของตนเติบโตขึ้นมากผิดกลับบิดาที่รู้ว่าบุตรเกอของตนถึงวัยออกเรือนก็เอาแต่ทำหน้าเครียด “ท่านพ่อเลิกทำหน้าเศร้าเถิดขอรับ ข้ามิได้จะออกเรือนวันพรุ่งนี้เสียหน่อย” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกบิดาด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่“พ่อเพียงแค่เป็นห่วงเจ้า” นับวันบุตรเกอของตนยิ่งงดงามขึ้นมีแม่สื่อจากหลายตระกูลมาทาบทามแม้ว่าจะพูดไปว่าบุตรของเขามีคู่หมายแล้วก็ตาม“ท่านพี่อย่าคิดมากไป ถึงอย่างไรวันนึงเสวี่ยเออร์ก็ต้องออกเรือน” สวี่ฟางเอ่ยกับสามี“เหอะ แล้วนี่ไอ้บุรุษหน้าเหม็นผู้นั้นไปไหนเล่า มาประกาศตัวแล้วก็หนีหายมิใช่ว่าทิ้งเจ้าไปแต่งงานแล้วหรือ” เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ เหอฟานเสวี่ยที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับบิดา ตั้งแต่จ้าวเพ่ยจวินกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้เป็นเวลา
หลังจากจับตัวคนที่ก่อเรื่องส่งทางการไปชาวบ้านคนอื่นๆก็ต่างแห่พากันตามไป เหอฟานเสวี่ยก็ต้องเดินทางไปเพราะถือว่าเป็นผู้เสียหายแม้ว่าเหอจงเทาจะไม่อยากให้บุตรของตนไปเจอหน้าคนพวกนั้นอีกก็ตาม ครอบครัวเหอรวมถึงจ้าวเพ่ยจวินและลูกศิษย์ทั้งสองพากันเดินทางมายังในตัวเมือง ผู้ตัดสินคดีในครั้งนี้คือท่านเจ้าเมืองผู้ที่เคยตัดสินคดีของนายอำเภอและหม่าจางอี้ “ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองช่วยบุตรชายของข้าด้วยชาวบ้านพวกนี้มันทำร้ายร่างกายบุตรชายข้า” สตรีวัยกลางคนรีบเอ่ยขอความช่วยเหลือคนผู้นั่งอยู่บนโต๊ะตัดสินสูงสุดทันทีปัง!“เงียบ! พวกเจ้าจงอยู่ในความสงบข้าจะเป็นผู้ไต่สวนเอง” ท่านเจ้าเมืองพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจอย่างไม่อาจต้านทาน“บอกชื่อของเจ้ามา” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามบุรุษผู้เต็มไปด้วยรอยแผลตามร่างกาย“คาระวะท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยหย่งเล่อ ขอรับ” “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมา เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวมาส่งทางการแล้วเหตุใดร่างกายจึงเต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามเสียงเรียบ ท่าทางเต็มไปด้วยอำนาจทำให้บุรุษหนุ่มพูดไม่ออกเพราะกลัวความผิด“อะ เอ่อ…คือ”“จะอะไรเสียอีกเล่า เกอผู้นี้ยั่วยวนบุตรชา
จ้าวเพ่ยจวินลืมตาตื่นมาในตอนเช้ามืด ร่างสูงลุกขึ้นบิดไล่ความขบเมื่อยการนอนต่างที่ต่างถิ่นเป็นเรื่องปกติของเขาไปเสียแล้ว คราที่มาแอบดูคนน้องบางครั้งเขายังนอนบนต้นไม้ไม่ก็หลังคาเรือน จ้าวเพ่ยจวินรีบลุกขึ้นไปจัดการธุระตนเองเพราะจากการที่เมื่อก่อนมาแอบดูคนน้องเขารู้ดีว่ากิจวัตรในทุกเช้านั้นคืออะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปที่เรียนครัวที่ตอนนี้มีสามคนพ่อแม่ลูกกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารกันอยู่“จวินเกอ!” เหอฟานเสวี่ยที่หันไปเห็นคนท่เพิ่งเข้ามาก็ร้องเรียกด้วยความตกใจ“มีอันใดให้พี่ช่วยหรือไม่” จ้าวเพ่ยจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้เหอฟานเสวี่ยเขินอายอยู่ไม่น้อย“ไม่มีขอรับ”อีกฝ่ายเป็นแขกเขาจะให้มาช่วยทำงานได้อย่างไรกัน“คุณชายจ้าวเหตุใดจึงตื่นเช้านักเล่า ไม่ไปนอนต่ออีกเสียหน่อย หรือว่าที่หลับนอนไม่สบายเดี๋ยวป้าจะเข้าเมืองไปซื้อฟูกมาปูให้ใหม่” สวี่ฟางเอ่ยถามบุรุษหนุ่ม จ้าวเพ่ยจวินเป็นถึงคุณชายจากเมืองหลวงนอนผ้าปูพื้นบางๆคงจะไม่สบายตัวเป็นแน่“เป็นบุรุษหากทนลำบากแค่นี้ไม่ได้แล้วจะดูแลภรรยาในอนาคตได้อย่างไร” เหอจงเทาค่อนแคะ“ไม่เป็นไรขอรับท่านป้า แค่นอนไ
จ้าวเพ่ยจวินกับเหอฟานเสวี่ยออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อที่จะได้ถึงเมืองที่เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่ก่อนตะวันตกดิน พวกเขาเลือกพักกินอาหารแค่ครู่เดียวก็ออกเดินทางต่อ จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเชินขบวนรถม้าหลายคันก็เข้าสู่หมู่บ้านและมุ่งหน้ามายังบ้านเหอ ชาวบ้านหลายคนต่างพากันเดินตามมาดูขบวนรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อเห็นว่ามาจอดที่บ้านเหอจึงพากันยืนมุงดูอยู่ด้านนอก“ท่านพ่อ! ทานแม่!” เหอฟานเสวี่ยที่ลงจากรถม้าได้ก็รีบพุ่งไปกอดบิดามารดาของตนเองทันที“เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางอ้าแขนรับกอดลูกของตัวเองด้วยความคิดถึง เหอจงเทาที่เห็นว่าบุตรเกอของตนกลับมาอยากปลอดภัยความกังวลที่มีอยู่หลาดวันมานี้ก็คลายลง“คาระวะนายท่านเหอ ฮูหยินเหอ” จ้าวเพ่ยจวินเดินเข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง “เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางมองหน้าบุตรเกอของตนด้วยสายตาตั้งคำถาม ส่วนเหอจงเทาที่เห็นว่ามีบุรุษเดินทางมากับบุตรเกอของตนก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ นี่คุณชายจ้าวเพ่ยจวินขอรับ ช่วงที่อยู่เมืองหลวงข้าพักที่จวนสกุลจ้าวแล้ววันนี้คุณชายจ้าวจึงอาสามาส่งข้าขอรับ” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยแนะนำคนพี่ให้รู้จัก“เจ้าคือคนที่มอบปิ่
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยงอันสนุกสนาน? คุณหนูหลายตระกูลก็ถูกสั่งให้กักตัวอยู่แต่ภายในจวน คุณหนูเซี่ยเองต้องไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชนตามรับสั่งของฮ่องเต้จนชาวเมืองต่างเล่าลือกันสนุกปาก ส่วนเหอฟานเสวี่ยนั้นต้องเข้าวังถวายการตรวจพระครรภ์ของฮองเฮาอยู่หลายครั้งสลับกับการไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ของสำนักหมอหลวงโดยที่มีจ้าวเพ่ยจวินตามไปด้วยไม่เคยห่างจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเดือนจึงถึงเวลาที่เหอฟานเสวี่ยต้องเดินทางกลับบ้านของตน“เสวี่ยเออร์ลาท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เหอฟานเสวี่ยคำนับลาผู้อาวุโสของจวนตามธรรมเนียม“ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือลูก” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางน้ำตาซึม ตลอดเวลาเกือบเดือนที่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่เขารู้สึกเอ็นดูไม่น้อย“อย่าทำให้ลูกลำบากใจเลย เส้นทางยาวไกลหลายพันลี้อาจวินเจ้าต้องดูแลน้องดีๆ พ่อขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย” บิดาของจ้าวเพ่ยจวินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวเพ่ยจวินรับคำผู้เป็นบิดา“อย่าลืมมาหาแม่บ้างนะเสวี่ยเออร์ จวนตระกูลจ้าวตอนรับเจ้าเสมอ” จ้าวฮูหยินเอ่ยบอกเกอน้อย“ขอรับ หลายวันมานี้เสวี่ยเออร์มารบกวน ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ดูแลข้าอย่างดีขอรับ” เหอฟานเสวี
Comments