จากเด็กกำพร้าที่ดิ้นรนจนได้เป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ต้องมาตายเพราะสะดุดขาตัวเองล้มเนี้ยนะ ไม่รู้ว่าจะสงสารตัวเองหรืออับอายดี
Lihat lebih banyakนที ศาสตราจารย์วัย 39 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ในอดีตนทีนั้นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นทีเป็นคนที่เรียนเก่งเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ เขาทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนอายุ 18 ปี นทีเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงจนในที่สุดเขาสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อแพทย์ที่ประเทศจีน และสามารถสอบชิงทุนได้ทุกครั้งจนส่งตัวเองเรียนจบถึงปริญญาเอก นทีนับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือดีไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค หรือการผ่าตัด จนปัจจุบันนทีกลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์ นทีใช้ชีวิตในการสอนนักศึกษาแพทย์เวลาว่างก็เรียนรู้เรื่องสมุนไพร การปรุงยาและแพทย์แผนจีนโบราณจนชำนาญ ชีวิตดำเนินไปอย่างราบเรียบจนกระทั่งวันหนึ่งมัจจุราชที่มองไม่เห็นมาพรากชีวิตของเขาไปเพียงเพราะเขาแค่ สะดุดขาตัวเองล้ม!
'บ้าซะมัด ทำไมผมต้องมาตายด้วยเหตุผลน่าขายหน้าแบบนี้' นทีได้แต่ก่นด่าในใจ หัวที่ฟาดพื้นอย่างรุนแรงทำให้พรากลมหายใจของเขาไปในไม่กี่วินาที 'เกิดมายังไม่เคยสัมผัสคำว่าครอบครัวเลย' นทีคิดอย่างเศร้าใจก่อนจะเอ่ยคำอธิฐาน 'หากชาติหน้ามีจริงขอให้ผมได้เกิดใหม่มีครอบครัวที่รักและห่วงใยผมด้วยใจจริงด้วยนะครับ' ห้วงวินาทีสุดท้ายก่อนสติจะดับลงความรู้ทางการแพทย์ การปรุงยา หรือสมุนไพรต่างๆพุ่งเข้ามาในหวก่อนที่ศาสตราจารย์อายุน้อยจะสิ้นลมหายใจลงไป ณ ตรงนั้น เฮือก! นทีสะดุ้งตื่นขึ้นมาพลางกอบโกยลมหายใจเข้าปอด นี่เข้าฝันไปหรอกเหรอ นทีถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูกหน้าก่อนจะพบว่ามีสิ่งผิดปกติ "นะ นี่มันอะไรกัน" นทีเป็นคนที่มีรูปร่างกำยำคนหนึ่ง แล้วแขนที่เล็กและมือที่บอบบางราวกับเด็กนี่คืออะไร เมื่อมองดูดีๆเขาพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สำรวจตัวเองก็พบว่าเขาอยู่ในชุดคล้ายกับยุคจีนโบราณเหมือนที่เคยดูในซีรี่ย์จอมยุทธอย่างไรอย่างนั้น ฉับพลันเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงก่อนที่ภาพต่างๆจะไหลเข้ามาในหัวอย่างมากมาย "นะ นี่มันเรื่องจริงเหรอ" อดีตศาสตราจารย์ทางการแพทย์แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาได้ทะลุมิติมาในโลกที่เหมือนจะเป็นโลกคู่ขนาน เหอฟานเสวี่ย คือชื่อของคนที่นทีทะลุมิติเข้ามาอาศัยอยู่ในร่าง เหอฟานเสวี่ยเป็นเพศเกอ อายุ 12 หนาว บิดามีนามว่า เหอจงเทา มารดามีนามว่า สวี่ฟาง เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่กับบิดามารดาในบ้านหลังเก่าเพียงแค่สามคน แม้ว่าจะยากจนเพียงใดบิดามารดาของเหอฟานเสวี่ยก็เลี้ยงดูบุตรของตนอย่างดี เหอฟานเสวี่ยหมั้นหมายกับหม่าจางอี้บุตรชายของหม่าเฉินที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน ส่วนสาเหตุที่ทำให้นทีได้เข้ามาอยู่ในร่างของเหอฟานเสวี่ยนั้นเกิดจากเจ้าของร่างนั้นป่วยจนไข้ขึ้นสูงด้วยว่าครอบครัวไม่มีเงินเรียกหมอมารักษาเจ้าตัวจึงช็อกเพราะไข้ขึ้นสูงเกินไป "เฮ้อ ฉันจะใช้ชีวิตแทนนายก็แล้วกันนะ" นทีพึมพำอย่างแผ่วเบา ต่อไปนี้ไม่มีแล้วศาสตราจารย์นที จะมีแต่เหอฟานเสวี่ยเท่านั้น "เสวี่ยเออร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" สวี่ฟางเปิดประตูเข้ามาเห็นบุตรชายลุกขึ้นมานั่งก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "ข้ามิเป็นอันใดแล้วขอรับ" นทีหรือตอนนี้ก็คือเหอฟานเสวี่ยเพิ่งเคยได้รับความห่วงใยจากมารดาเป็นครั้งแรกหัวใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมา "เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าหิวหรือไม่ประเดี๋ยวแม่จะไปทำข้าวต้มมาให้เจ้ากิน" สวี่ฟางลูบหัวบุตรชายด้วยความเอ็นดู "ข้าหิวนิดหน่อยขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยตอบ ตอนนี้ท้องเขาเองก็เริ่มหิวแล้ว "เช่นนั้นเจ้ารอสักประเดี๋ยว" "ข้าออกไปกินข้างนอกกับท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยอยากกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัว "เช่นนั้นก็ได้ เจ้ารอแม่อยู่ในนี้สักครู่อาหารเสร็จแล้วแม่จะมาตามเจ้าไปกิน" สวี่ฟางตามใจบุตรเกอคนเดียวของตน "ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยตอบรับอย่างว่าง่าย 'การมีครอบครัวมันอบอุ่นเช่นนี้เองหรือ' ยามโหย่ว (17:00-18:59) สวี่ฟางก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จ เหอจงเทาผู้เป็นบิดาของเหอฟานเสวี่ยก็กลับมาพอดีสวี่ฟางจึงไปตามบุตรชายมากินข้าว "เสวี่ยเออร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอด้วยความห่วงใย "ข้าหายดีแล้วขอรับ ท่านพ่อมิต้องห่วง" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยตอบพลางยิ้มน้อยๆ "หายดีก็ดีแล้ว พ่อต้องขอโทษเจ้าที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อยามาให้เจ้ากิน" เหอจงเทารู้สึกผิดอยู่เต็มอก ลำพังดักกระต่ายและไก่ป่าได้แค่บางวัน นำไปขายก็ได้แค่ไม่กี่สิบอีแปะอย่าว่าแต่ตามหมอมารักษาเลย แค่จะซื้อสมุนไพรบรรเทาอาการยังไม่มีปัญญา เขาช่างเป็นบิดาที่แย่นัก "ท่านพ่อ ท่านอย่าได้โทษตัวเอง" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยปลอบบิดาเพราะห้วงสุดท้ายของชีวิตของเหอฟานเสวี่ยคนเก่าไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองบิดามารดาหรือน้อยใจโชคชะตาของตนเลยสักนิด "เอาล่ะ กินข้าวกันเถิดประเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียก่อน" สวี่ฟางรีบเปลี่ยนเรื่องบรรยากาศจึงกลับมาเป็นปกติ เหอฟานเสวี่ยมองดูอาหารตรงหน้าก็รู้สึกหดหู่ใจ ข้าวต้มที่มีแต่น้ำกับผัดผักหนึ่งจาน นี่มันแย่กส่าอาหารที่บ้านเด็กกำพร้าเสียอีกมิน่าครอบครัวนี้ถึงได้ผ่ายผอมกันนัก ไม่เป็นไรในเมื่อเขามีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้นั่นก็แปลว่าครอบครัวนี้คือครอบรัวของเขา เขาจะทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ดีขึ้นเอง หลังจากกินข้าวเสร็จเหอฟานเสวี่ยก็อาสาล้างจานแต่ถูกสวี่ฟางผู้เป็นแม่ไล่ให้มาพักผ่อนเขาจึงกลับเข้ามานั่งในห้องก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ความรู้ทางการแพทย์ การปรุงยา และความรู้เรื่องสมุนไพรทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จักนั้นตอนนี้ในหัวของเขาจดจำได้ทั้งหมด แม้กระทั่งการนำสมุนไพรทั่วไปนำมาปรุงยาจนสามารถทำให้มันกลายเป็นยาล้ำค่าได้ทั้งๆที่เขาในชาติก่อนไม่รู้เรื่องนี้เลย เหอฟานเสวี่ยได้แต่นอนคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะผล็อยหลับไป "วันนี้ท่านพ่อมิได้ไปล่าสัตว์หรือขอรับ" เหอฟานเสวี่ยที่เพิ่งจัดการธุระตัวเองเสร็จในยามเช้าเห็นบิดานั่งทำลูกดอกหน้าไม้อยู่จึงเข้ามาถาม "วันนี้พ่อไม่ได้ไป คิดว่าจะปลูกผักเสียหน่อยมิเช่นนั้นหน้าหนาวคงไม่มีอะไรกิน" เหอจงเทาตอบผู้เป็นลูก "เช่นนั้นให้ข้าช่วยนะขอรับ" เหอฟานเสวี่ยรีบเสนอตัวทันที "พ่อว่าเจ้าพักก่อนดีหรือไม่ มิรู้ว่าอาการป่วยของเจ้าหายดีแน่แล้วหรือยัง" เหอจงเทาเอ่ยอย่างเป็นห่วง "แต่... " "คนบ้านเหออยู่หรือไม่" เหอฟานสวี่ยยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงเรียกขึ้นที่หน้าบ้านเสียก่อนสองพ่อลูกจึงเดินไปดู เพราะในตอนนี้สวี่ฟางผู้เป็นมารดากำลังทำอาหารอยู่ "คาระวะท่านผู้นำหมู่บ้านขอรับ มิทราบว่ามีธุระอันใดหรือขอรับ" เหอจงเทาเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดมาหาก็ทำการคำนับก่อนจะเอ่ยถามว่าเหตุใดคนบ้านหม่าถึงได้ยกโขยงมากันทั้งบ้านรวมถึงคู่หมั้น ของบุตรตนด้วย"เจ้าหมายความว่าเช่นไร" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ"ความจริงแล้วข้าไม่ได้แค่วิชาการรักษามา แต่สวรรค์เมตตาข้าให้มิติสมุนไพรมาด้วยขอรับ ไม่ใช่เพียงแค่นั้นภายในมิติเองก็มีเครื่องมือที่ข้ารู้จักและไม่รู้จักขอรับ คราแรกข้าก็ไม่แน่ใจแต่พอข้าลองหยิบของในมิตินั้นออกมามันก็นำออกมาได้จริงๆ" เหอฟานเสวี่ยเล่าสิ่งต่างๆที่ได้พบในมิติให้บิดาฟัง ไม่ว่าจะเครื่องมือสำหรับรักษา ปรุงยา และสมุนไพรในมิติ"เสวี่ยเออร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด" เหอจงเทาเอ่ยบอกบุตรเกอ"ขอรับ นอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้วข้าก็ไม่ไว้ใจผู้ใดขอรับ" ืเหอฟานเสวี่ยพยักหน้ารับ"ดีแล้ว ต่อไปเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก" เหอจงเทาลูบหัวบุตรของตน"เช่นนั้นเราเอาสมุนไพรไปขายที่ตัวเมืองได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถามผู้เป็นบิดา"ย่อมได้ เช่นนั้นเรากลับลงจากเขากันเถิดกว่าจะเดินทางเข้าเมืองใช้เวลานาน" สองพ่อลูกเดินลงจากเขาโดยได้ของติดมือมาเพียงเล็กน้อย พอกลับมาถึงบ้านเหอจงเทาก็เล่าทุกอย่างให้ภรรยาฟังสวี่ฟางเองก็ตกใจไม่น้อยและคิดว่าบุตรของตนนั้นช่างโชคดียิ่งนัก"เสวี่ยเออร์ เจ้าจงระวังให้มากรู้หรือไม
"จริงสิเสวี่ยเออร์ เจ้าอ่านหนังสือออกได้อย่างไรกัน" "คือว่าเรื่องนั้น ตอนที่ข้าไม่สบายหนักแล้วหลับไปหาวันข้าฝันขอรับ ในฝันนั้นข้าไปเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายโดยเฉพาะเรื่องการรักษาที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ในจะการปรุงยาและสมุนไพรต่างๆข้าก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันดี คราแรกข้าก็คิดว่ามันเป็นเพียงความฝันขอรับแต่พอตื่นขึ้นมาข้ากลับยังจำทุกอย่างได้ดีอยู่ ข้าคิดว่าสวรรค์คงเป็นเมตตาข้าขอรับท่านพ่อท่านแม่ " เหอฟานเสวี่ยแต่งเรื่องขึ้นมาแอบคิดในใจว่าเรื่องราวเกินจริงแบบนี้ผู้ใดเขาจะเชื่อ"จริงหรือเสวี่นเออร์ ลูกพ่อเจ้าช่างโชคดียิ่งนัก" เอ่อ บิดาเขานี่แหละเชื่อ"เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็รู้วิธีการรักษาสินะ" สวี่ฟางอดตกใจระคนยินดีไม่ได้"ขอรับท่านแม่ ทั้งวิธีการรักษา การปรุงยา และสมุนไพรต่างๆข้ารู้สึกว่าตัวข้าคุ้นเคยราวกับศึกษามานานหลายปีเลยขอรับ" เหอฟานเสวี่ยได้แต่ขอโทษทั้งสองคนในที่ต้องโกหก"ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก" สวี่ฟางเอ่ยขึ้น"ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ พวกท่านคิดว่าอย่างไรหากข้าอยากใช้วิชาความรู้ที่ได้มาช่วยเหลือผู้อื่น" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถามบิดามารดา"เจ้าหมายถึงรักษาคนหรือ" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเ
"คาระวะท่านผู้นำหมู่บ้านขอรับ มิทราบว่ามีธุระอันใดหรือขอรับ""เข้าไปคุยกันด้านในเถิด" หม่าเฉินพูดขึ้นก่อนจะเดินไปในบ้านหน้าตาเฉยโดยที่เจ้าของบ้านยังไม่ทันได้เชิญ คนที่เหลือจึงเดินตามเข้าไป"ท่านผู้นำหม่าเชิญนั่งก่อน บ้านข้าไม่มีของดีๆต้อนรับพวกท่านต้องของอภัยด้วยนะเจ้าคะ" สวี่ฟางที่เห็นแขกมาก็รีบเชิญมานั่งที่โต๊ะก่อนจะรินน้ำร้อนผสมน้ำตาลให้แขกกิน ครอบครัวหม่าได้แต่มองน้ำตาลนั้นเป็นของมีราคาหากเป็นที่บ้านของตนคงไม่นำมาผสมน้ำให้แขกดื่มเป็นแน่"มิเป็นไรพวกข้านั้นย่อมเข้าใจ ชาวบ้านจนๆอย่างพวกเจ้าลำพังแค่หาของป่ามาขายก็แทบไม่พอประทังชีวิตจะเอาของดีๆที่ไหนมาต้อนรับพวกข้าเล่า" นางกัวเหม่ยมารดาของหม่าจางอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน "มิทราบว่าพวกท่านมาที่นี่มีธุระอันใดหรือขอรับ" เหอจงเทาพยายามไม่สนใจถ้อยคำดูหมิ่นนั่น มุ่งเข้าจุดประสงค์หลักที่คนพวกนี้มาทันทีหากไม่ใช่ว่าครั้งตอนผู้เฒ่าหม่ายังมีชีวิตอยู่เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรเกอให้กับหลานชายของตนมีหรือเขาจะยอมให้บุตรของเขาไปยุ่งกับคนพวกนี้ หากมิใช่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีกับผู้เฒ่าหม่าน่าเสียดายที่เมื่อสิ้นผู้เฒ่าหม่าแล้วก็เหลือเพียงบุตรหลานที่ล
นที ศาสตราจารย์วัย 39 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ในอดีตนทีนั้นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นทีเป็นคนที่เรียนเก่งเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ เขาทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนอายุ 18 ปี นทีเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงจนในที่สุดเขาสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อแพทย์ที่ประเทศจีน และสามารถสอบชิงทุนได้ทุกครั้งจนส่งตัวเองเรียนจบถึงปริญญาเอก นทีนับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือดีไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค หรือการผ่าตัด จนปัจจุบันนทีกลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์ นทีใช้ชีวิตในการสอนนักศึกษาแพทย์เวลาว่างก็เรียนรู้เรื่องสมุนไพร การปรุงยาและแพทย์แผนจีนโบราณจนชำนาญ ชีวิตดำเนินไปอย่างราบเรียบจนกระทั่งวันหนึ่งมัจจุราชที่มองไม่เห็นมาพรากชีวิตของเขาไปเพียงเพราะเขาแค่ สะดุดขาตัวเองล้ม! 'บ้าซะมัด ทำไมผมต้องมาตายด้วยเหตุผลน่าขายหน้าแบบนี้' นทีได้แต่ก่นด่าในใจ หัวที่ฟาดพื้นอย่างรุนแรงทำให้พรากลมหายใจของเขาไปในไม่กี่วินาที 'เกิดมายังไม่เคยสัมผัสคำว่าครอบครัวเลย' นทีคิดอย่างเศร
Komen