ก๊อกๆๆ แกร่กก
มือเล็กๆ เปิดประตู เข้ามาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำอนุญาตใดๆ ซึ่งเพียงแค่เธอเดินผ่านประตูเข้ามาคนที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบดีดตัวลุกขึ้นในทันที
“คุณไปไหนมาผมส่งข้อความหาคุณก็ไม่ตอบ”
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนด้วยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ฉันโตแล้วนะคะจะไปไหนจะต้องรายงานคุณด้วยหรือยังไงไม่ดีหรอกเหรอที่ฉันให้เวลาคุณได้เป็นส่วนตัวกับคนรักของคุณบ้าง”
“โถ่คุณ ผมขอโทษอย่าโกรธผมเลยนะถ้าแม่รู้ว่าผมทำให้คุณโกรธแล้วหายไปทั้งคืนแบบนี้คงโดนแม่เอาตายแน่เลย”
“งั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้ห่วงฉันจริงๆ น่ะสิคะแค่ห่วงตัวเองกลัวจะโดนคุณแม่บ่นเอาต่างหาก”
เธอพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำสองมือเล็กๆ ของเธอจับโทรศัพท์มือถือไว้ในแล้วใถหน้าจอเช็คความเคลื่อนไหวต่างๆ ในหนึ่งวันที่ผ่านมาซึ่งสำหรับเธอนั้นเป็นหนึ่งวันที่ผ่านมาเหตุการณ์เลวร้ายมามากมายเหลือเกิน เกิดแต่กับอรฤดีจริงๆ สินะ!
มีแต่เรื่องแต่ราวไม่เว้นวันเห็นทีคงต้อง หาเวลา เข้าวัดเข้าวา ทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างสักหน่อย
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคุณ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ”
“ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะคนที่คุณควรจะเป็นห่วงคือคนรักของคุณไม่ใช่ฉันแล้วฉันก็ไม่ได้ต้องการความเป็นห่วงเป็นใยอะไรจากคุณ ที่ฉันยอมทำตามคำพูดของคุณป้าเพราะฉันไม่อยากให้มีปัญหาฉันไม่อยากให้แม่ฉันต้องคิดมากคุณเองก็ควรดูแลจัดการเรื่องส่วนตัวของคุณให้ดี แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันนะคะ”
อรฤดีร่ายยาวในสิ่งที่อยู่ในหัวสมองของเธอ ออกมาให้ชายหนุ่มได้ฟังทุกถ้อยคำซึ่งเมื่อได้ยินอย่างงั้นก็ค่อนข้างจะอึ้งไปกับคำของเธอไม่น้อย
แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่าคนที่เขาควรจะคิดถึงความรู้สึกมากกว่านี้ คนที่เขาควรจะเป็นห่วงมากกว่านี้คือลูกปัดแต่ทำไมเค้าถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อเธอทำตัวเย็นชา ต่างจากวันแรกๆ ที่เขาและเธอได้พบกันอย่างนี้นะ
“อ้อแล้วอีกเรื่อง ฉันไปคุยกับหมอมาแล้ววันพรุ่งนี้คุณก็กลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกคุณป้าให้ก็แล้วกันนะคะ”
เธอพูดจบแล้วก็หยิบหนังสือท่องเที่ยวที่เคยอ่านค้างเอาไว้ขึ้นมาอ่านต่อปล่อยให้บรรยากาศภายในห้องอึดอัดอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ แตกแตกต่างจากอีกคนที่รู้สึกสับสนในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ คำถามที่ดังก้องในใจวนเวียนอยู่ไม่จางหายแต่กลับไม่มีคำตอบที่กระจ่างแจ้งให้ตัวเองได้เลยสักครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น
“แม่ต้องขอบใจหนูอรมากจริงๆ เลยนะลูกที่ดูแลตาจอมแทนแม่จนหายดีน่ารักจริงๆ เลย”
ทัศนีย์ลูบหัวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดูเมื่อกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ไงกลับมาหล่อเหมือนเดิมแล้วสินะไอ้ว่าที่ลูกเขย”
คเชนทร์ ว่าที่พ่อตาเอ่ยแซวว่าที่ลูกเขยด้วยรอยยิ้มเมื่อสังเกตุเห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าแปลเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองไปที่ลูกสาวของตนเอง เห็นทีว่าการที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลา ร่วมกันในช่วงหลายวันมานี้จะไม่เสียเปล่าเสียแล้ว
“ครับคุณอา เล่นเอาผมใจหายใจคว่ำหมดเลยครับ”
“อาเอออะไรอีกไม่กี่วันเราก็จะดองกันอยู่แล้วถ้าไม่เรียกพ่อไม่ยกลูกสาวให้นะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณพ่อ ผมยังไม่ทันได้เป็นเจ้าบ่าวเลยครับ”
“เอาเอาถือว่าฟาดเคราะห์ ต่อไปเรื่องร้ายๆ ก็หมดลงแล้วต่อไปครอบครัวของพวกเราก็จะได้มีความสุข”
แล้วทั้งสองครอบครัวก็แยกย้ายกันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มด้วยความยินดีแต่ไม่รู้ทำไมลึกๆ ภายในใจของทั้งอรฤดีและจอมทัพกลับมีความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาทดแทน
“เดือนหน้า ลูกก็จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง.. จะได้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นกันได้นะลูกมันต้องอาศัยความเข้มแข็งความซื่อสัตย์และความอดทนครอบครัวของลูกจะเป็นยังไงอยู่ที่ลูกเป็นคนตัดสินใจแม่หวังว่าลูกจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขขึ้นมาได้นะ”
ทัศนีย์หันมองหน้าลูกชายของตัวเองแล้วพูดออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อีกฝ่ายรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนเป็นแม่ทั้งรักและทั้งห่วงตัวเองมากขนาดไหน
ทัศนีย์ได้แต่คิดในใจว่านี่แหละจังหวะ เหมาะจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ ดูท่าแล้วลูกลูกชายของเขาคงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับว่าที่ภรรยาไม่น้อยเลยทีเดียวในช่วงที่ได้อยู่ด้วยกัน
“ขอบคุณครับแม่ ว่าแต่รู้หรือยังครับว่าใครเป็นคนทำร้ายอร”
“แม่อยากพูดกับลูกเรื่องนี้อยู่พอดี”
ทัศนีย์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นเมื่อลูกชายของเธอเปิดประเด็นเรื่องที่เธอค่อนข้างรู้สึกหนักใจในการที่จะบอกให้เค้ารู้
“แสดงว่ารู้แล้วเหรอครับ มันเป็นใครครับคุณแม่”
ทัศนีย์มีสีหน้ากลุ้มใจที่จะพูดมาอย่างเห็นได้ชัดจนลูกชายของเธอขมวดคิ้ว มุ่น ด้วยความสงสัยที่คนเป็นแม่ กลับมีท่าทีแบบนี้ทั้งที่เขาและว่าที่ลูกสะใภ้ถูกทำร้าย
“มีอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับคุณพ่อคุณแม่ทำไมถึงทำท่าทางแบบนี้กันล่ะ”
จอมทัพทนไม่ไหวที่เห็นทั้งสองคนเอาแต่เงียบได้แต่ถามย้ำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ยอมพูดความจริงมาสักที
“จอม”
“พูดมาเถอะครับ แม่”
“ลูกปัด”
“…”
ทัศนีย์ พูดชื่อคุ้นหูของจอมทัพออกมานั่นยิ่งทำให้เขางงเข้าไปใหญ่เกี่ยวอะไรกับลูกปัดอยู่ๆ แม่ของเขาจะเรียกชื่อเธอขึ้นมาทำไม จนเขาได้แต่โครงหน้ามองคนเป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ลูกปัด”
เมื่อเริ่มเข้าใจบริบทจอมทัพก็ชะงักนิ่งใช้ความคิดของตัวเองทบทวนทั้งที่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองสักเท่าไหร่
“อะไรนะครับแม่ แม่อย่าบอกนะว่า”
“แกเข้าใจถูกแล้วแหละคนที่ทำร้ายหนูอรกับแกก็คือแฟนแก”
สุเมธตอบคำถามของลูกชายจนเค้าอึ้งไปอีกหนึ่งตลบ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่ฝีมือของลูกปัดแน่ๆ
“ไม่น่าจะใช่นะครับเพราะแม่ถึงลูกปัดจะใจร้อนแล้วก็วู่วามแต่ ผมว่าไม่กล้าทำอะไรแบบนี้หรอกครับ”
ชายหนุ่มพูดเข้าข้างคนรักของตัวเอง อย่างเต็มที่จะให้เค้าเชื่อได้อย่างไรในเมื่อตลอดเวลาที่เธออยู่กับเขาเธอไม่เคยทำตัวหรือมีความคิดที่เข้าข่ายกับการกระทำแบบนี้ได้เลย
“นี่ตาจอมถึงแม่จะไม่ค่อยชอบแฟนแกคนนี้สักเท่าไหร่แต่แม่ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดใส่ร้ายใครแกคิดว่าพ่อกับแม่แต่งเรื่องขึ้นมาโกหกแก่จริงๆ เหรอคิดดีๆ สิ”
จอมทัพหันไปมองหน้าพ่อของตนเองที่พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยานั่นยิ่งทำให้จอมทัพฉุกคิดย้อนไปถึงวันที่ลูกปัดเจอกับอรฤดีที่โรงพยาบาล
“เด็กคนนั้นไม่พอใจที่ลูกจะต้องแต่งงานกับหนูอร ก็เลยส่งคนมาจับตัวหนูอรไปแต่บังเอิญว่าแกเข้าไปขัดจังหวะพอดีคนร้ายมันถึงหันมาเล่นงานแกด้วยอย่างนี้ไงล่ะ”
“ที่แม่แกพูดเป็นความจริง พ่อว่าแกต้องกลับไปทบทวนเรื่องของแกกับเด็กผู้หญิงคนนั้นให้ดีๆ แล้วก็ตัดสินใจให้เด็ดขาด ถึงแกจะให้อภัยไม่เอาเรื่องไม่เอาความแต่ทางบ้านหนูอร ยังไงเค้าก็คงอยู่เฉยไม่ได้หรอกนะพ่อเตือนเอาไว้ก่อน”