ในตำหนักส่วนพระองค์ของโอรสสวรรค์
เฟยเซียนกับอวี้หลางนั่งคุยถึงสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายอย่างออกรสชาติ โดยมีเสียงท่านแม่ทัพขัดขวางขึ้นเป็นระยะ
จ้าวเหมยฮวาลอบหาวด้วยความเบื่อหน่าย เพราะเป็นเพียงเด็กจึงไม่อาจร่วมวงสนทนา นางจึงทำได้แค่นั่งฟังเงียบๆ ไม่ช้าความอดทนก็หมดลง ร่างเล็กเริ่มขยับกายลุกส่งเสียงใสถาม
“เสด็จลุง ท่านแม่ ขอฮวาเอ๋อร์ออกไปเล่นข้างนอกได้ไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินจ้าวฟังคำบุตรีแล้วจึงหันไปมองหน้าผู้เป็นพี่ชายเพื่อขอความเห็น อวี้หลางขยับพระพักตร์ให้เป็นเชิงอนุญาต พระองค์ทรงเข้าใจดี ว่าเด็กวัยนี้คงจะเบื่อยิ่งนัก หากต้องมานั่งทนฟังผู้ใหญ่คุยกันเป็นเวลานานๆ
“ฮวาเอ๋อร์ ไปกับพ่อดีกว่าลูก เดี๋ยวพ่อไปเล่นขายของกับเจ้าเอง” หมิงหลงรีบเอ่ยบอกบุตรสาว ร่างสูงพลางกุลีกุจอลุกทันที
หลิวกงกงที่ยืนถวายการรับใช้มีอันต้องเงยหน้าสะดุ้ง ในหัวจินตนาการภาพแม่ทัพไร้พ่ายผู้มีใบหน้าถมึงทึงกำลังเล่นขายของด้วยการตักดินหั่นใบไม้มาสมมุติเป็นอาหาร ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นภาพท่านแม่ทัพกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับบุตรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
‘อา... สวรรค์ ต้าเฉินกำลังจะเกิดอาเพศใช่หรือไม่’
อวี้หลางรีบเอ่ยขัด “หมิงหลง เจ้าให้ฮวาเอ๋อร์ไปเล่นผู้เดียวก่อนเถิด พวกเราจะได้มาปรึกษาเรื่องงานกันต่อ”
เขาหวังจะอาศัยช่วงเวลานี้ปรึกษาปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง ที่ยามนี้มีแต่เรื่องให้วุ่นวายมิเว้นวัน ทว่าแม่ทัพคู่พระทัยกลับแยกเขี้ยวใส่เต็มใบหน้า ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธออกมาอย่างไร้เยื่อใย ไม่คิดสนใจสถานะที่สูงส่งกว่าของพระองค์แม้แต่น้อย
“เรื่องอะไร นี่มันวันหยุดข้านะ เหตุใดข้าต้องมานั่งปรึกษาอันใดกับเจ้าด้วย”
ฮ่องเต้แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย พระพักตร์งดงามที่ยามปกติมักมีรอยยิ้มประดับ เวลานี้เขียวคล้ำขึ้นหลายส่วนด้วยความโมโห
“หมิงหลง ไอ้คนสารเลว เจ้าพรากน้องข้าไปแล้ว ยังไม่เคารพข้าผู้เป็นถึงฮ่องเต้และพี่เขยอีก”
จ้าวเฟยเซียนมองสามีสลับมองพี่ชาย แววตามีร่องรอยความอ่อนใจ ก่อนเอ่ยตัดบททั้งคู่ขึ้น
“ท่านพี่ ให้นางกำนัลไปเล่นเป็นเพื่อนลูกฮวาเอ๋อร์ก่อน แล้วพวกเรามาคุยกันต่อจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”
แม่ทัพหันมาทางภรรยา เตรียมจะเอ่ยปากคัดค้าน ทว่าเมื่อสบสายตาดุๆ ก็พลันนิ่งเงียบ ถึงอย่างไรเสียเขาก็ยังไม่อยากถูกซ้อมในวังหลวงให้ทุกคนเอาไปกระจายข่าวหรอกนะ
“คุยก็คุยสิ ข้าว่ามันก็ดีนะที่เราจะมาปรึกษากัน จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เจ้าว่าจริงไหมอวี้หลาง”
ฮ่องเต้มองสหายรักควบตำแหน่งน้องเขย ผู้เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ในใจก็นึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายยิ่งนัก
‘ฮึ! อย่างเจ้าสมควรแล้ว ที่ต้องเจอยอดหญิงเช่นน้องข้า’
จ้าวเหมยฮวาคลี่ยิ้มใต้ผ้าคลุมสีขาว พลางส่งมือน้อยให้นางกำนัลสาวคนหนึ่งที่หลิวกงกงจัดให้มาคอยดูแลนาง ก่อนที่เด็กหญิงจะก้าวตามอีกฝ่ายหายไปด้านนอกตำหนักอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” เสียงใสเอ่ยถาม
นางกำนัลสาวก้มมองใบหน้าเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีขาว ก่อนจะสบตากับดวงตาคู่โตที่เป็นประกายระยิบระยับดุจผืนราตรีที่มีดวงดาวเต็มฟ้า ดูแล้วชวนให้นึกเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าน้อยมีนามว่า ‘จิงหยู’ เจ้าค่ะคุณหนู”
คำตอบที่ได้รับมีความอ่อนน้อมถ่อมตน สำเนียงอ่อนโยนไม่อวดเก่งข่มตนใส่ทั้งที่นางเป็นเด็ก จ้าวเหมยฮวารู้สึกถูกชะตาคนตรงหน้ายิ่งนัก ด้วยท่าทางการวางตัวที่อ่อนโยนเรียบร้อย ทำให้บรรยากาศโดยรอบตัวนางกำนัลผู้นี้แลดูอบอุ่นเป็นมิตรอย่างยิ่ง
ทำเอาเด็กหญิงนึกอยากจะเอ่ยปากขอตัวจิงหยูจากเสด็จลุงนัก เผื่อว่าถ้าให้อยู่คู่กันกับจิ้งเหยียนของนาง ทางนั้นอาจจะอ่อนโยนไม่เย็นชาแบบนี้ก็เป็นได้
“คุณหนูอยากเล่นอะไรเจ้าคะ เดี๋ยวจิงหยูจะหามาให้” นางกำนัลเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างเล็กเงียบไป
ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันส่ายเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อยากเล่น แค่เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามาผ่านอุทยาน เห็นมีดอกไม้เยอะมากเลยอยากจะไปดู”
จิงหยูอมยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ฟัง นี่ล่ะนะเด็กผู้หญิง จะอย่างไรก็ย่อมชมชอบของสวยๆ งามๆ ด้วยกันทั้งนั้น
“งั้นบ่าวจะพาคุณหนูไปชมทางด้านโน้นดีไหมเจ้าคะ ดอกไม้ในอุทยานหลวงยามนี้กำลังเบ่งบานงดงามนัก”
จ้าวเหมยฮวาหัวเราะน้อยๆ กับน้ำเสียงหลอกล่อของนางกำนัลสาว ที่ทำประหนึ่งว่านางนั้นเป็นเพียงทารกน้อย ก่อนจะผงกศีรษะให้เป็นเชิงตกลง
ไม่นานจิงหยูก็พาร่างเล็กมาหยุดที่ศาลากลางอุทยาน รอบด้านมีบุปผาหลากหลายชนิดชูช่ออวดโฉม โบตั๋นดอกใหญ่หลากสีเบ่งบานราวกับจะแข่งขันความงามกัน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือแปลงเหมยกุ้ยฮวาที่ออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณยามที่ลมพัดมา
“สวยจัง” เด็กหญิงเอ่ยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม ดวงตาพราวระยับนั้นจ้องมองสวนดอกไม้เบื้องหน้าไม่วางตา
“ชอบหรือไม่เจ้าคะ” นางกำนัลสาวถามก่อนจะแย้มยิ้มยินดี เมื่อเห็นแววตาพอใจฉายในดวงตาคู่งามของคุณหนูตัวน้อย
‘เฮ้อ… ช่างน่าเสียดายนัก นี่ถ้าคุณหนูจวนแม่ทัพไม่ได้ติดโรคร้ายจนหน้าตาเปลี่ยนไปดั่งข่าวลือแล้วละก็ นางต้องเติบโตมาเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงแน่ๆ’
จิงหยูครุ่นคิดในใจ เมื่อสายตาลอบมองไปยังใบหน้าของเด็กหญิงที่มีผ้าคลุมสีขาวปิดอยู่
“บังอาจนัก! ใครใช้ให้นางกำนัลเยี่ยงเจ้ามายืนเสนอหน้าชมดอกไม้ในอุทยานหลวงเช่นนี้ได้”
เสียงแหลมกราดเกี้ยวของสตรีสาวผู้มาใหม่ดังขึ้นด้านหลังจ้าวเหมยฮวากับนางกำนัลข้างกาย จิงหยูพลันสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าหญิงสาวยามนี้ซีดขาว ร่างบางสั่นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสายตาหันไปมองเห็นสตรีที่ก้าวเข้ามาในศาลา
“พระสนมเสียนเฟย!”
“บังอาจ! ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใคร แล้วทำไมยังไม่ถวายความเคารพ หรือว่าพระสนมเยี่ยงข้านั้นต่ำต้อยจนไม่อยู่ในสายตาของเจ้า”
จิงหยูได้ยินดังนั้นจึงได้สติ นางทิ้งร่างคุกเข่าก่อนจะหมอบลงโขกศีรษะกับพื้นรัวๆ เพื่อขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ พระสนมโปรดเมตตา”
จ้าวเหมยฮวามองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ เด็กหญิงพอจะเดาออกว่าสตรีหน้าตาสวยงาม ผู้มีเรือนร่างอรชรดุจกิ่งหลิว อยู่ภายใต้อาภรณ์สีแดงสดปักลวดลายเหมยกุ้ยฮวาหลากสีงดงามนั้น เป็นถึงพระสนมขั้นหนึ่งชั้นเอกแห่งฮ่องเต้ แต่นางหาได้สนใจจะทำความเคารพไม่ ยิ่งเห็นวิธีปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคนตรงหน้าด้วยแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
เด็กหญิงรู้ตัวเองดีว่าหาใช่คนใจดีมีเมตตา ทว่าเพราะมีปมในใจทำให้นางเกลียดคนประเภทนี้ยิ่งนัก ถือว่าตนสูงส่งข่มเหงรังแกคนที่ต่ำต้อยกว่า ช่างน่ารังเกียจนัก!
พระสนมว่านเสียนเฟยใช้สายตาเย็นเยียบมองนางกำนัลสาวที่โขกศีรษะขอความเมตตาอย่างเฉยเมย จริงๆ แล้วคนตรงหน้าก็หาได้ทำสิ่งใดผิดไม่ ทว่ายามนี้เป็นตัวของนางต่างหากที่มีโทสะเสียจนต้องมาระบายเอากับนางกำนัลตัวเล็กๆ แทน
‘ฮึ! เป็นเพราะนังสารเลวเฟยเซียนแท้ๆ ฝ่าบาทถึงได้ผิดนัดเสวยน้ำชากับข้า’
เมื่อคิดถึงองค์หญิงพระขนิษฐาของฮ่องเต้ที่แต่งออกไปกับชายที่นางหลงรัก ยิ่งทำให้ว่านเสียนเฟยโมโหหนักขึ้น ใบหน้าสวยยามนี้จึงยิ่งบึ้งตึงเป็นทวีคูณ
จิงหยูผู้น่าสงสาร ด้วยนางเป็นเพียงนางกำนัลมาใหม่ จึงยังไม่รู้กฎระเบียบในวังหลวงดีพอ ที่ได้เป็นนางกำนัลประจำตำหนักฮ่องเต้ก็เพราะหลิวกงกงขันทีคนสนิทชื่นชมนิสัยอ่อนน้อมและรู้จักประมาณตน จึงเลือกให้ไปช่วยงานเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่จิงหยูไม่เคยรู้เลยก็คือ พระสนมว่านเสียนเฟยนั้นรู้สึกขัดหูขัดตานางมานานแล้ว ที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็เพราะที่ผ่านมานางกำนัลผู้นี้มักอยู่ในสายพระเนตร หรือไม่ก็มีหลิวกงกงคอยดูแลตลอด ทำให้ว่านเสียนเฟยไม่สบโอกาสที่จะหาเรื่องลงโทษอีกฝ่าย ยามนี้เป็นโอกาสอันดี มีหรือที่นางจะยอมปล่อยให้มาเป็นหนามยอกอกในวันข้างหน้า คิดได้เช่นนั้น เท้าข้างหนึ่งจึงเหยียบขยี้บดแรงลงบนหลังมือนางกำนัลสาวอย่างไม่เบานัก
จิงหยูแม้รู้สึกเจ็บมากเพียงใด แต่รู้ดีแก่ใจว่ายิ่งขัดขืนอาจยิ่งโดนโทษหนักกว่านี้ นางจึงไม่คิดที่จะชักมือกลับ ชีวิตข้ารับใช้ในวังจะอยู่หรือตายนั้นสุดแท้แต่ผู้เป็นนายจะบงการ หากต้องตายนางก็หาได้กลัวไม่ จะกลัวก็แต่บิดาผู้ป่วยชราอยู่ที่บ้านนอก ใครเล่าจะส่งเสียเลี้ยงดูท่านเมื่อนางตายไป
‘ท่านพ่อ จิงหยูอกตัญญูนัก คงต้องตายก่อนไม่อาจแทนคุณท่านได้’
ว่านเสียนเฟยแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหวาดกลัวไม่กล้าตอบโต้หรือขัดขืน เท้านางก็ยิ่งเพิ่มแรงขยี้จนมือเรียวขาวครูดกับพื้น ผิวหนังเปิดถลอกเห็นเนื้อแดงๆ ที่ชุ่มโลหิต มือขาวนวลเนียนของผู้เป็นพระสนมฮ่องเต้คว้าจับไปที่ผมของอีกฝ่าย ก่อนจะกระชากให้แหงนหน้าขึ้นอย่างแรง แล้วเอ่ยน้ำเสียงต่ำคำรามในลำคอ
“เจ้าลบหลู่เกียรติข้าเช่นนี้ หากปล่อยเจ้าไปแล้วข้าจะยังมีหน้าไปมองหน้าใครได้อีกเล่า”
นางกำนัลสาวยามนี้มีน้ำตานองใบหน้า ร่างบอบบางสั่นสะท้านจนตัวโยน มือข้างที่ถูกเหยียบมีโลหิตไหลจนชุ่มไปถึงแขน ตัวนางหาได้คิดลบหลู่พระสนมไม่ แต่ชีวิตนางกำนัลเล็กๆ ไร้ค่านัก เจ้าเหนือหัวสั่งให้ตายก็ต้องตาย
“โปรดเมตตาด้วย หม่อมฉันหาได้คิดเช่นนั้นเพคะ ขอโปรดเมตตา...”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับผิวหน้านางกำนัลสาว จนใบหน้าขาวผ่องนั้นปรากฏรอยนิ้วมือแดงก่ำ โลหิตสีแดงรสเค็มปร่าไหลซึมมุมปากสีชมพู ก่อนตกสู่พื้นเป็นดวงๆ
“ป่าเถื่อน!” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกสายตาทุกคนในศาลาให้หันไปมองคนพูด
“จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต” เด็กสาวเจ้าของเสียงยังคงเอ่ยต่อช้าๆ ดวงตากลมโตฉายแววเย็นชาหลายส่วน
“อา... ข้านึกว่าคนเป็นพระสนมจะต้องงดงามเพียบพร้อมทั้งกายและใจทุกคน ไม่นึกว่าจะเอาสัตว์เดรัจฉานมาเป็นได้ด้วย มิน่าเล่ากิริยามารยาทถึงได้ทรามนัก… เห็นแล้วช่างไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย”
ภายในศาลาเกิดความเงียบ นางกำนัลผู้ติดตามว่านเสียนเฟยต่างมองมาที่ร่างเล็กซึ่งไม่มีผู้ใดสนใจเมื่อครู่ จวบจนกระทั่งร่างเล็กได้เปิดปากพูดออกมา
‘อา... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร นางคงต้องตายแน่ๆ’
ว่านเสียนเฟยผละจากร่างจิงหยูสืบเท้ามายืนเบื้องหน้าร่างเล็กก่อนจะกรีดเสียงแหลมถามขึ้น “นังเด็กสารเลว เจ้าเป็นใคร? บังอาจมาด่าข้า”
เจ้าของร่างน้อยแสร้งเอียงคอ ก่อนถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดุจจะยั่วเย้า “ใครด่าท่านหรือ”
“สามหาว นังเด็กทารกปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้าหรือ”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของนางไม่ได้ทำให้เด็กหญิงตรงหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเล็กๆ นั่นยังคงเลิกคิ้วสูงใส่ประดุจจะยียวน
“ข้าด่าพระสนมที่กระทำตนป่าเถื่อน หยาบช้า ไร้เหตุผล ทำร้ายผู้อื่นเยี่ยงสัตว์เดียรฉาน ท่านกระทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
ประโยคคมนั้นดุจมีด พระสนมว่านเสียนเฟยได้ฟังพลันนึกสะอึกในใจ นางเป็นถึงเสียนเฟย พระสนมแต่งตั้ง ในวังหลวงเป็นรองแค่ไม่กี่คน ไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าหักหน้า แล้วนี่อะไรกัน แค่ทารกน้อยวัยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันผู้นี้กินดีหมีใจเสือที่ใดมา ถึงได้กล้าท้าทายอำนาจนางเยี่ยงนี้
“ปากคอเราะรายนักนะนังเด็กสารเลว ดี... ในเมื่อเจ้ากล้ามาท้าทายข้าก็จะสนองให้ เด็กๆ ตัดลิ้นนังเด็กนรกนี่เสีย แล้วจงนำมันไปโบยให้ตาย”