“แม่ทัพจ้าว ฮูหยิน”
“หลิวกงกง ช่วยกราบทูลเสด็จพี่ให้ที ว่าข้าพาบุตรสาวมาขอเข้าเฝ้า”
หลิวกงกงรับคำ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในตำหนัก แล้วเดินยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน ฮ่องเต้...”
“ไม่ว่างสินะ เห็นหรือไม่เล่า ข้าก็บอกเจ้าแล้วน้องหญิง วันหนึ่งฮ่องเต้ทรงมีภารกิจมากมายจะตาย เราอย่าไปรบกวนพระองค์เลยนะ กลับเถอะๆ”
หลิวกงกงพลันอ้าปากค้าง นี่มันเรื่องอันใดกัน เขากำลังจะบอกว่า ฮ่องเต้ตรัสว่าให้เข้าไปได้แท้ๆ แล้วเหตุใดท่านแม่ทัพจึงไม่ยอมฟังเขา แถมยังชวนฮูหยินกลับเสียนี่
เฟยเซียนนั้นเกิดอาการไม่เข้าใจขึ้นมาทันที โดยปกติแล้วเข้าวังมาทีไร พี่ชายมักจะยินดีและดีใจเป็นที่สุด แม้ว่าจะทรงยุ่งกับราชกิจเพียงใดก็เข้าเฝ้าได้ตลอด แล้วเหตุใดครั้งนี้นางพาบุตรีมาจึงทรงไม่ให้เข้าเฝ้ากัน
จ้าวหมิงหลงนั้นถือโอกาสตีเนียนคว้าจับมือขาวผ่องของภรรยาที่ยังงงอยู่พาหันหลังกลับทันที ในใจก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องที่สามารถหาเหตุพาลูกเมียกลับได้
‘ขืนให้เจอก็แย่น่ะสิ ลูกชายมันมีมากมาย เกิดเจ้านั่นคิดจับคู่ให้ฮวาเอ๋อร์ของข้าเล่า’
ยังไม่ทันจะมีผู้ใดเอ่ยคำ สุรเสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้นเบื้องหลังทุกคน ด้วยวาจาและสำเนียงคล้ายเสียดสีประโยคเมื่อครู่ของแม่ทัพ
“ข้าเองก็เพิ่งจะรู้นะว่าตัวข้างานยุ่งขนาดนั้นเลยเชียว”
ร่างบางของฮูหยินแม่ทัพมองตามสุรเสียงทุ้ม นางยิ้มแย้มยินดีเมื่อเห็นร่างสง่าในชุดสีทอง ก่อนจะทำความเคารพแช่มช้อย
“เสด็จพี่ ถวายพระพรเพคะ”
เจ้าของพระวรกายสูงสง่าก้าวมาจับไหล่น้องสาว พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นด้วยความดีใจ พร้อมกับตรัสสุรเสียงทุ้มกังวานก้อง
“ไม่ต้องมากพิธีไป แค่เจ้ามาพี่ก็ดีใจแล้ว ฮ่าๆๆ”
จ้าวหมิงหลงมองภาพพี่น้องรักใคร่พลางเบ้ปากกลอกตามองบนเล็กน้อย ค่อนคอดพระวรกายสูงอยู่ในใจไร้เสียง
‘เฮอะ! เจ้าพี่หลงน้องเอ้ย!’
ผู้เป็นโอรสสวรรค์มองเห็นท่าทางสีหน้าของแม่ทัพผู้ใต้บังคับบัญชา พระองค์พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่
‘เฮอะ น้ำหน้าอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้ากัน ไอ้พ่อเห่อลูกเอ้ย!’
จ้าวเฟยเซียนมองเห็นประกายตาที่พี่ชายกับสามีฟาดฟันกัน นางรีบดันร่างเล็กของบุตรสาวออกมาดึงความสนใจทันที
“เอ่อ... ฮวาเอ๋อร์ ถวายพระพรเสด็จลุงสิลูก”
“เหมยฮวา ถวายพระพรเสด็จลุงเพคะ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” เด็กหญิงกล่าวน้ำเสียงสดใส ร่างเล็กย่อกายทำความเคารพอย่างงดงามอ่อนช้อย ดุจเดียวกับที่มารดาเคยสอนไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
อวี้หลางก้มลงสบดวงตากลมโตที่เป็นประกายแวววาว ในพระทัยให้นึกเอ็นดูหลานสาวคนนี้นัก พระหัตถ์แกร่งคว้าไหล่เล็กๆ ยกขึ้น ตรัสสุรเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู “มาๆ ให้เสด็จลุงดูหน้าเจ้าหน่อย ฮ่าๆๆ หลานรัก”
“ขอพระราชทานอภัยเพคะเสด็จลุง ใบหน้าของฮวาเอ๋อร์...” เสียงหลานสาวบอกพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย
ผู้เป็นลุงทอดพระเนตรหลานสาวก้มหน้าไม่ยอมเงยก็นึกสงสาร พานนึกด่าพระองค์เอง ที่เอ่ยสิ่งใดไม่คิดก่อนจนทำให้หลานสาวรู้สึกแย่
“เอาเถิดๆ ลุงขอโทษ เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน เพื่อเป็นการชดเชย ลุงจะให้ของขวัญรับขวัญเจ้า อยากได้สิ่งใดลุงจะให้ดีไหมเล่า”
จ้าวเหมยฮวาซ่อนยิ้มในสีหน้าพลางปั้นหน้ายิ้มยินดี
“ของขวัญอะไรหรือเพคะเสด็จลุง” ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มเอ่ยคำถาม น้ำเสียงใสที่เปล่งออกมาดุจจะฉอเลาะผู้เป็นลุง ทำให้อวี้หลางมองแล้วยิ่งนึกเอ็นดูเป็นทวีคูณ
‘มิน่าเล่า ไอ้สหายบ้าเห่อถึงได้หวงนักหวงหนา’
“นั่นสิของขวัญอะไรดีนะ อือ... เอาเป็นว่าลุงจะพระราชทานงานหมั้นให้เจ้ากับเจ้าสามของลุงดีหรือไม่”
สุรเสียงทุ้มเอ่ยด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม ทว่าต้องสะดุ้งพระวรกายโหยง เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากร่างแม่ทัพคู่พระทัย
‘อวี้หลาง ข้าจะสังหารเจ้าทิ้งเสีย หลังจากนั้นค่อยพาลูกกับเมียข้าไปอยู่แคว้นอื่น’
จ้าวหมิงหลงหรี่ตามองในใจครุ่นคิด ร่างกำยำยิ่งขับปราณกดดันใส่คนตรงหน้าด้วยแรงโทสะ
“เสด็จลุงล้อหลานเล่นเสียแล้ว หลานยังเด็กไม่คิดเรื่องแบบนั้นหรอกเพคะ” เด็กหญิงรีบกล่าววาจาออกตัว เมื่อเห็นบิดาทำท่าจะบีบคออีกฝ่าย ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่อยากให้บิดาได้ชื่อว่าเป็นกบฏ
ฝ่ายอวี้หลางอยากจะแย้งเสียเหลือเกิน ว่าตนนั้นหาได้ตรัสเล่นๆ ไม่ แต่พอทอดพระเนตรเห็นสายตาฆ่าคนของแม่ทัพจึงไม่เอ่ยต่อ ใช่ว่าพระองค์จะกลัวอีกฝ่ายหรอกนะ ก็แค่ไม่อยากให้น้องสาวสุดที่รักต้องมากังวลเท่านั้นแหละ
“แล้วฮวาเอ๋อร์ของลุงอยากได้สิ่งใดล่ะ” ฮ่องเต้ตรัสพลางลูบศีรษะเล็กๆ นั้นอย่างเอ็นดู
“หลานเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย หากหลานจะขอเว้นไม่ทำความเคารพตามธรรมเนียมจะได้ไหมเพคะเสด็จลุง”
เด็กหญิงเอ่ยขอ ดูเผินๆ หลายคนอาจคิดว่านางขออะไรดูแล้วไร้ประโยชน์ยิ่งนัก แต่สำหรับคนอย่างนาง ที่ไม่ชอบให้ใครมารังแก การงดเว้นธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่อยู่สูงกว่าไม่อาจกดขี่นางได้
“ได้สิ ลุงยอมยกเว้นให้เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพใคร แม้แต่ตัวลุงเองก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ต้องการที่จะทำ”
“ขอบพระทัยเพคะ” เสียงใสตอบรับอย่างน่าเอ็นดู จนพระวรกายสง่าอดจะกอดรัดร่างเล็กนั้นไม่ได้ โดยทรงทำเป็นไม่สนพระทัยท่าทีหวงบุตรสาวของสหายรัก ที่ยามนี้ยืนถลึงตาจนดวงตาแดงก่ำแล้ว
‘หน็อย! ไอ้ฮ่องเต้บ้านี่ กล้าดียังไงถึงมากอดลูกสาวเขา ลูกตัวเองไม่มีให้กอดแล้วหรือ’
ทว่าด้วยความเกรงกลัวภรรยา จ้าวหมิงหลงจึงได้แต่คิดมิกล้าเอ่ยวาจาออกไป
“ดีจริงที่พวกเจ้ามา พี่กำลังคิดถึงอยู่พอดี ไปๆ เข้าไปคุยกันข้างในตำหนักดีกว่า”
กล่าวจบผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็รีบอุ้มร่างน้อยๆ ของหลานสาวเข้าสู่ด้านในตำหนัก โดยมีเฟยเซียนเดินตามพระเชษฐาไปติดๆ พร้อมด้วยแม่ทัพไร้พ่ายที่ก้าวเท้าวิ่งตาม จนแซงหน้าฮูหยินตนเองไปอย่างรวดเร็ว
“อวี้หลาง ใครใช้ให้เจ้ามาอุ้มลูกสาวข้า หน็อย… ลูกเจ้าก็มีไปอุ้มเอาสิ”
เสียงโวยวายดังขึ้นด้านในตำหนัก ก่อนจะมีเสียงหัวเราะบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ดีของฮ่องเต้ดังโต้ตอบขึ้น
“ก็ข้าอยากอุ้มว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของข้านี่นา ฮ่าๆๆ”
“ฝันไปเถอะ ใครบอกว่าข้าจะยอมยกลูกสาวข้าให้ลูกเจ้ากัน”
“ทำไม เจ้ากล้าขัดคำสั่ง? ข้าเป็นฮ่องเต้นะ”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า? คอยดูสิ เจ้ากล้าสั่งข้าก็กล้าขัด” แม่ทัพหนุ่มโต้ตอบเสียงดังลั่นไม่แพ้กัน
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า แล้วกล้าขัดคำสั่งเซียนเอ๋อร์ด้วยหรือไม่เล่า” อวี้หลางตรัสพลางหลี่พระเนตรให้อีกฝ่าย มุมพระโอษฐ์ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้ามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย กล้าเอาเซียนเอ๋อร์มาขู่ข้า”
“ทำไมเล่า ทีตอนข้ายังยอมยกน้องสาวทั้งคนให้เจ้าได้เลย แล้วทำไมวันนี้เจ้าจะยกลูกสาวให้เป็นชายาลูกชายข้าบ้างไม่ได้”
“อวี้หลาง มันต่างกันนะ เจ้าคนชั่วช้า จะเอามาปนกันได้อย่างไร น้องหญิง เจ้าก็พูดอะไรบ้างสิ เจ้ายอมให้เป็นแบบนั้นได้หรือ”
เมื่อเห็นว่ายิ่งเถียงกับอีกฝ่ายเท่าใด ก็ยิ่งไม่สามารถสู้เหตุผลของอีกคนได้ แม่ทัพไร้พ่ายจึงหันมาฟ้องฮูหยินตนเอง
จ้าวเฟยเซียนนั่งฟังทั้งคู่ถกเถียงกันมาสักพักหนึ่งแล้วก็นึกระอาใจอย่างบอกไม่ถูก นางได้แต่โคลงศีรษะพลางบ่นด้วยน้ำเสียงเนื่อยๆ
“พวกท่านนี่น้า จะผ่านไปกี่ปีก็ยังไม่ยอมโตกันเสียที”
อวี้เจี้ยนองค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน ในยามนี้ยืนมองรถม้าที่บรรทุกอัดแน่นด้วยขนมทั้งหลายแหล่ที่ตนสั่งให้นำไปกำนัลแด่สาวเจ้าตัวน้อยเวลานี้มีถึงสี่คัน ซึ่งนำมาจอดเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ลานหน้าตำหนักส่วนพระองค์ ด้วยสายตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองโม่ฉีองครักษ์คนสนิท ที่นั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพลางเอ่ยปากถาม“เกิดอะไรขึ้น?”โม่ฉีเงยหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย ในดวงตามีร่องรอยของความเสียใจไม่น้อย “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย เป็นเพราะกระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ แม้แต่จะก้าวเข้าประตูจวนไร้พ่ายก็ไม่อาจทำได้“เพราะเหตุใดกัน”โม่ฉีมีดวงตาแดงก่ำยามคิดถึงตอนที่เขานำรถม้าที่บรรทุกขนมไปเต็มคันรถวิ่งเข้าไปจอดหน้าจวนตระกูลจ้าว“ข้าคือองครักษ์ขององค์ชายสาม นามว่าโม่ฉี ได้รับคำสั่งจากองค์ชายของข้าให้นำขนมเหล่านี้มามอบให้แก่คุณหนูจ้าว”สิ้นคำพูดแสดงความจำนง บ่าวคนรับใช้ที่ยืนอยู่หลังประตูก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม“ขอท่านองครักษ์ได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบเข้าไปรายงานนายท่านก่อนขอรับ”พูดจบบ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งหายเข้าไปในจวนชั่วครู่หนึ่ง ก่อน
ยามค่ำคืน ณ ตำหนักขององค์ชายสามอวี้เจี้ยนร่างสูงที่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มเวลานี้กำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าเป็นโต๊ะไม้เนื้อเงางาม ข้างบนมีพิณสีดำตัวใหญ่วางอยู่ นิ้วเรียวยาวของเด็กหนุ่มกรีดกรายไปตามสายอย่างชำนิชำนาญเสียงเพลงแผ่วหวานดังกังวานหนักแน่น แต่บางครั้งก็ทอดเสียงลงคล้ายจะขาดใจ สลับกับรวยระรินคล้ายเสียงสะอื้นไห้ในบางครา จนองครักษ์ประจำตำหนักรู้สึกราวกับตัวเองจะขาดใจตามเสียงนั้นไปด้วย ก่อนเจ้าตัวจะหยุดดีดนิ่งไปเสียดื้อๆ“องค์ชาย ทรงมีอะไรในใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” โม่ฉีเอ่ยถามเมื่อเห็นองค์ชายหยุดเล่นเพลงกลางคัน เอาแต่ทอดถอนใจดังเฮือกๆ“โม่ฉี เจ้าเคยรู้สึกแบบ... ใจเต้นแรง อึดอัดคล้ายหายใจไม่ออกยามอยู่ใกล้ แต่อยากเห็นหน้าอยากฟังเสียงอยากพูดคุยด้วยเมื่อห่างไกล อะไรแบบนี้บ้างหรือไม่”“เคยสิพ่ะย่ะค่ะ ถ้าให้กระหม่อมเดา คนผู้นั้นคงเป็นเด็กผู้หญิงด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อวี้เจี้ยนได้ยินดังนั้นจึงละความสนใจจากพิณตรงหน้า หันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทอย่างแปลกใจ“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เด็กหนุ่มหันใบหน้าหล่อเหลาที่ออกไปทางหวานดุจสตรีขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า เอ่ยถ้อยคำต่อด้วยน
คุณหนูจ้าวหายตัวไปไม่ทันถึงครึ่งวันท่านแม่ทัพถึงขนาดนำกองกำลังในสังกัดเข้าค้นวังหลวง‘อา... คุณหนูจ้าวผู้นี้ นางช่างเป็นตัวเรียกความวุ่นวายจริงๆ’นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิด หลังจากที่ถูกท่านแม่ทัพบังคับให้ช่วยกันตามหาบุตรสาวสุดรัก ทว่าก็ได้แค่คิดอยู่ในใจ เพราะความจริงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งแน่นอนวันนี้ครอบครัวท่านแม่ทัพตัดสินใจออกจากวังกลับสู่จวนตนเอง เพราะทิ้งจวนให้เหล่าคนรับใช้ดูแลกันเอง นานไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อฮูหยินจ้าวสามารถขยับตัวเดินเหินได้แล้ว ทุกคนจึงตกลงใจกันว่าจะกลับสกุลจ้าว โดยทิ้งให้อวี้หลางฮ่องเต้ที่มีพระพักตร์บูดบึ้งไว้เบื้องหลัง เพราะไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้น้องสาวกับหลานสาวพักอยู่ในวังหลวงต่อไปได้อีก“หลิวกงกง เราคิดอะไรออกแล้ว” ฮ่องเต้รับสั่งกับขันทีคนสนิทสุรเสียงยินดี ก่อนจะสะดุ้งพระวรกายด้วยความเจ็บที่ก้นเมื่อขยับองค์อา... น้องสาวที่ถูกแทงนั้น ขณะนี้สามารถเดินเหินเป็นปกติได้แล้ว แต่พระองค์ที่ถูกกระบองแม่ทัพผู้เป็นน้องเขยฟาดก้นนี่สิ ยามนี้แม้แต่จะลุกหรือนั่งก็ยังไม่อาจทำได้เลย“คิดอะไรออกหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นจากก้นผู้เป็นนายพร้อมกับเอ่ยถามอวี้หลาง
‘อา... องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแห่งแคว้นต้าเฉินช่างแปลกประหลาดนัก หากมิใช่เสด็จลุงแล้ว คงหาคนที่เลี้ยงลูกให้กินง่ายอยู่ง่ายเช่นนี้ได้ยากยิ่งเด็กหญิงเฝ้าคิดบอกกับตัวเองแบบนั้นขณะเดินผละออกมา ปล่อยให้องค์ชายห้าผู้ติดดินก้มหน้าก้นโด่งคุ้ยหาไส้เดือนกินต่อไปตามอัธยาศัยร่างเล็กเดินลัดเลาะมาตามแนวร่มไม้ จนป่านนี้นางยังหาทางกลับไม่เจอ หูได้ยินเสียงฝีเท้าอีกหนึ่งเสียงที่ลอบตามมาพักใหญ่แล้วดวงตากลมโตลอบมองคนที่แอบตามมา ก็พบว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวัยไม่น่าจะห่างจากนางมากนัก เจ้าตัวเดินมากับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งจ้าวเหมยฮวาแกล้งทอดฝีเท้าเดินช้าบ้างเร็วบ้าง บางครั้งก็แกล้งหยุดเดินเพื่อดูทีท่า ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตามติดไม่ลดละ‘ช่างเถอะ เด็กตัวแค่นี้คงไม่ใช่พวกสโตกเกอร์โรคจิต แบบในชาติก่อนที่นางเคยอยู่หรอกน่า’ อวี้เยี่ยนมองร่างเล็กในชุดขาวแล้วลอบกระหยิ่มนึกยิ้มลำพองใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่รู้ตัวว่าเขาแอบติดตามนางอยู่อันที่จริงองค์ชายแปดผู้นี้ลอบเดินตามอีกฝ่ายมาตั้งแต่เห็นนางเดินออกจากลานฝึกยุทธ์ของพี่ห้าแล้ว พระมารดาเคยบอกไว้ว่า ถ้าอยากเอาชนะพี่สามกับพี่ห้า อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งกับบุตรสาวแ
‘องค์ชายสามผู้นี้ช่างเป็นคนพอเพียงนัก อยากกินปลาก็หาจับเอง เสด็จลุงทรงเลี้ยงลูกได้ติดดินจริงๆ’ จ้าวเหมยฮวาคิดสรุปกับตนเองก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้อวี้เจี้ยนผู้เป็นองค์ชายว่ายน้ำดำผุดดำว่ายหาปลาคนเดียวต่อไปตามอัธยาศัยจ้าวเหมยฮวาเดินจากมาแบบงงๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้สตินึกขึ้นได้ว่า...‘อา... จริงด้วย ลืมไปเลย ข้าไม่ได้รอจิงหยู’ ใช่แล้วนางเดินจากมาโดยไม่ได้รอจิงหยู และที่สำคัญตอนนี้นางหลงทางเป็นที่แน่นอนแล้ว เด็กหญิงหันไปมองหาทางเก่าที่เดินจากมา ก็พบว่าเส้นทางทุกด้านดันเหมือนกันไปหมดเลย‘ลองไปข้างหน้าดูก่อนละกัน’ บอกตัวเองในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินลัดเลาะไปตามแนวรั้วต้นไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงามมองแล้วให้เพลินตายิ่ง ร่างเล็กยังคงเดินชมนกชมไม้อย่างสบายใจ หากใครได้พบเห็นคงมองดูคล้ายกำลังเดินเล่นเสียมากกว่า ก็นะ นางยามนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะหลงทางบ้างก็คงจะไม่แปลกอันใดคิดเองเออเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ หูพลันแว่วได้ยินเสียงดังแหวกอากาศ ฟังเหมือนมีคนกำลังฝึกยุทธ์ลอยมาจากทางด้านหน้า ร่างเล็กเดินเลาะแนวไม้เพื่อตามหาเสียงดังกล่าว จนมาถึงลานสนามหญ้าเล็กๆ ไม่กว้างนัก ดวงตาคู่ดำเป็นประ
ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเฉินยามนี้เกิดข่าวลือหนาหู ทุกคนต่างรู้ดีว่าต้นเรื่องนั้นคือบุตรีแม่ทัพไร้พ่ายเสียงเล่าลือต่อๆ กันไปว่า คุณหนูตระกูลจ้าวนั้นไม่ใช่แค่เพียงอัปลักษณ์ แต่นางยังเป็นตัวนำความโชคร้ายเข้ามาหาผู้อื่นอีก ดูแค่ก้าวเท้าย่างเข้าวังหลวงเพียงวันเดียวยังนำพาปีศาจร้ายเข้ามาอาละวาดในวังเสียจนพังพินาศไปตามๆ กัน ขนาดฮ่องเต้ผู้เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์ยังถึงกับประชวร ออกว่าราชกิจไม่ได้เป็นเดือนๆอา... สวรรค์ คุณหนูสกุลจ้าวนางช่างน่ากลัวเหลือเกิน“คุณหนูเจ้าคะ จะไปหาฮูหยินเลยไหมเจ้าคะ” จิงหยูเอ่ยถามน้ำเสียงสดใส ดวงตามองทรงผมที่นางขมวดไว้ครึ่งบนติดดอกไม้น่ารัก ปล่อยเรือนผมครึ่งล่างให้ยาวสยายจ้าวเหมยฮวาอยู่ในชุดขาวปักชายด้วยลวดลายบุปผาสีชมพูสดใสที่สาวใช้นำมาบรรจงสวมให้เจ้านาย คุณหนูของนางช่างงามเหลือเกิน จิงหยูลอบชมเจ้านายตัวน้อยในใจ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าสีขาวข้างมือมาคลุมผูกไว้บนใบหน้าน่ารัก“ทำไมคุณหนูต้องปิดหน้าด้วยล่ะเจ้าคะ เพราะคุณหนูปิดหน้าแบบนี้ พวกปากมากทั้งหลายเหล่านั้นถึงกล่าวหาว่าท่านอัปลักษณ์ได้” จ้าวเหมยฮวาหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสาวใช้พูดด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งยังมีท่าทีเป