สตรีลึกลับกระโดดลงมาจากหลังอาชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนที่จะตบก้นของมันเพื่อให้มันหนีออกไปจากบริเวณนี้ ครั้นอาชาหนุ่มวิ่งหลบออกไป ชายฉกรรจ์นับสิบก็พากันกรูเข้ามาล้อมสตรีลึกลับเอาไว้ ร่างเล็กที่สวมใส่อาภรณ์สีดำ ปกปิดใบหน้าของนางด้วยผ้าสีเดียวกับสีของอาภรณ์ ดูลึกลับและน่าค้นหาสมคำร่ำลือ
ด้านหลังของนางสะพายดาบคู่ นัยน์ตาที่โผล่พ้นผ้าสีดำมานั้นช่างเป็นประกายไร้ซึ่งความหวาดกลัว พวกมันพากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะคิดว่าพวกตนเหนือกว่า ชิงเหมยหาได้หวั่นเกรงหรืออ่อนไหวไปกับเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจเหล่านี้ไม่“รีบเข้ามาเถิด พวกเจ้าทำข้าเสียเวลานอนยิ่งนัก” คำพูดราวกับไม่เกรงกลัวและต้องการท้าทายของสตรีลึกลับ ทำให้พวกชายฉกรรจ์โมโหจนพากันพุ่งกายเข้าไปหานางอย่างไร้สติมือบางดึงดาบคู่ออกมาจากทางด้านหลังอย่างชำนาญ ท่วงท่าสง่างามของนางทำให้ผู้ที่ยืนมองอยู่แทบจะละสายตาไปจากนางไม่ได้ การเคลื่อนไหวร่างกายหลบหลีกคมมีดก็ว่องไวยิ่งนัก ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพลาดท่าถูกสตรีลึกลับใช้ดาบฟันไปยังต้นแขนจนโลหิตสาดกระเซ็น พวกที่กรูกันเข้ามาต้องพากันถอยหลังไปตั้งหลัก“ฝีมือดีสมคชิงเหมยมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางไม่นึกว่าเขาจะวางแผนอนาคตเอาไว้ถึงเพียงนี้ ราวกับว่าถึงเยี่ยงไรแล้ว เขาก็จะต้องแต่งงานกับนางให้ได้ แม้ต้องแยกตระกูลก็ตาม“แต่ถึงเยี่ยงไรแล้ว ท่านก็เป็นคุณชายรองของตระกูลเยว่นี่เจ้าคะ จะไม่รับฟังความเห็นจากผู้ใหญ่ของตระกูลได้เช่นไร ท่านใต้เท้าเยว่จะยินยอมสู่ขอข้า ให้ไปเป็นภรรยาเอกของท่านหรือเจ้าคะ”“ผู้ใดบอกว่าข้าจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยาเอกกัน”เยว่อู๋ชางจ้องใบหน้างามพลางกล่าวออกมา ชิงเหมยถึงกับชะงักหัวใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบ เขามิได้คิดจะสู่ขอนางไปเป็นภรรยาเอกหรอกหรือ แต่ก่อนที่นางจะคิดไปไกลกว่านี้ เยว่อู๋ชางกลับรีบกล่าวออกมา“ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะแต่งเจ้ามาเป็นภรรยาเพียงคนเดียว เจ้าจะเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะอยู่ข้างกายข้าไปจนวันสุดท้ายของชีวิต อ้อ…ไม่นับบุตรีของพวกเราในภายภาคหน้า” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มออกมายามที่พูดจบพลันความเจ็บปวดที่คิดไปเองก่อนหน้าก็มลายหายไปจนสิ้น แปรเปลี่ยนมาเป็นความตื้นตันใจแทน ชิงเหมยมิอาจปิดบังความยินดีเอาไว้ได้ นัยน์ตากลมมีหยาดน้ำตาคลอ ใบหน้างามปรากฏสีแดงระเรื่อ ยังมิทันได้ออกเรือน เขากลับกล่าวถึงบุตรีในภายภาคหน้าเสียแล้ว เห
ชิงเหมยพักอาศัยอยู่ในจวนตระกูลซิ่ว นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนมาแล้ว นางคอยดูสถานการณ์ของตระกูลซิ่วในทุกๆ วัน ก็พบว่าเรื่องราวเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซิ่วหวังทำหน้าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปได้เป็นอย่างดี ทุกคนในตระกูลต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกัน ทำให้นางรู้สึกสบายใจยิ่งบรรยากาศภายนอกจวนก็เริ่มผ่อนคลาย หลังจากที่นางกล่าววาจากับพวกชาวบ้านไปในวันนั้น คำชื่นชมย้อนกลับมาหานางอย่างมากมาย ทว่าก็ยังมีอีกหลายตระกูลที่ไม่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลซิ่ว เพียงเพราะอดีตผู้นำตระกูลทำผิดกฎของบ้านเมืองจนถูกเนรเทศ ชิงเหมยหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่ เพราะนางยังคิดว่าตนเองนั้นเยาว์วัยนัก ยังไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาของผู้ใด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านหัวหน้ามือปราบมาขอพบเจ้าค่ะ”สาวรับใช้วัยแรกแย้มของจวนตระกูลซิ่ว เข้ามารายงานคุณหนูใหญ่ที่กำลังนั่งคัดอักษรอยู่ภายในเรือนพักผ่อนของนาง มือบางชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามสาวรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มออกมา“เขาอยู่ที่ใดรึ”“เรียนคุณหนูใหญ่ ตอนนี้ท่านหัวหน้ามือปราบกำลังพูดคุยอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ” ชิงเหมยพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่นางจะละมือจากพู่กัน หยวนเวยนำอ่างน้ำมาใ
“พวกท่าน…มารวมตัวกันทำสิ่งใดอยู่ที่นี่รึ” ชิงเหมยถามออกมาราวกับไม่รู้ถึงเหตุการณ์ตรงหน้า“เพราะชายตระกูลซิ่ว ทำให้เมืองถิงฮวาของพวกเราต้องตกต่ำ เขาซื้อขายสตรีและเด็กไปเป็นทาส แม่นาง…ท่านเองก็เป็นลูกหลานตระกูลซิ่ว แต่ท่านแยกสกุลออกไปแล้ว เหตุใดถึงกลับมาเยือนที่นี่อีก ทั้งที่ท่านก็รู้ว่า ตระกูลซิ่วทำเรื่องที่ผิดกฎต่อบ้านเมือง ท่านไม่เกรงว่าจะไม่มีตระกูลใด อยากแต่งเจ้าไปเป็นภรรยาหรอกหรือ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตอบออกมา พลางถามสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนางยังไม่ได้ออกเรือน เหตุใดถึงกล้ากลับมาเยือนตระกูลที่เพิ่งจะเกิดเรื่องไปได้ไม่นาน แล้วเช่นนี้จะมีตระกูลใดอยากจะแต่งนางออกไปอีกเล่า นางไม่ห่วงชื่อเสียงของตัวนางเองบ้างหรือเยี่ยงไร“ทำผิดเพียงหนึ่งคน เหตุใดพวกท่านถึงได้ตีความเอาว่า พวกเราตระกูลซิ่วทุกคน ต้องเป็นผู้กระทำผิดเช่นเดียวกันเล่าเจ้าคะ ท่านย่าของข้าก็ปวดใจไม่น้อย ที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ยามที่ท่านพ่อของข้าพลีชีพในสนามรบ นางก็สูญสิ้นคนที่รักไปหนึ่งคนแล้ว การที่ท่านลุงกระทำความผิดจนได้รับโทษร้ายแรงเช่นนั้น พวกท่านว่า…นางจะยังอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยค่อ
หลังจากใต้เท้าซิ่วถูกเนรเทศ และลดฐานันดรศักดิ์จากขุนนางเป็นชนชั้นแรงงาน ซิ่วหวัง บุตรชายคนโตของเขาก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณชายหนุ่มต้องเป็นผู้ที่นำพาตระกูลซิ่วก้าวเดินต่อไป แม้จะถูกคนภายนอกมองว่าเป็นตระกูลที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่เขาก็จะพยายามพิสูจน์ตัวเอง ให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวเขาและบิดานั้นคือคนละคนกัน ชิงเหมยเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ นางขออนุญาตท่านยายเดินทางไปเยือนตระกูลซิ่วทันที ที่ได้ทราบเรื่องราวของผู้เป็นลุง คืนนั้นนางได้ฟังจากปากของพ่อค้าทาสแล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการค้าทาสเมื่อหลายปีก่อนและครานี้คือผู้ใด แม้จะไม่เกินกว่าที่คาดการณ์แต่ก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังในตัวผู้เป็นลุงไม่ได้“คุณหนูเจ้าคะ จะดีหรือเจ้าคะที่จะไปเยือนตระกูลซิ่วยามนี้” เซียงซุนเอ่ยถามคุณหนูใหญ่ออกมาด้วยความเป็นห่วง“ดีสิ…ข้าหาได้สนใจสายตาหรือความคิดของผู้ใดไม่ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลให้มากนักหรอก” ชิงเหมยตอบออกมาขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้า ซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา“ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ไปเยือนที่นั่นนักหรอกเจ้าค่ะ” หยวนเวยบอกพลางรินน้ำชาให้กับคุณหนูใหญ่“ข้าเข้า
ณ ศาลต้าถิงบรรยากาศภายในวันนี้ค่อนข้างเคร่งเครียด เพราะผู้ที่ถูกกล่าวหาจากพ่อค้าทาสที่เพิ่งถูกจับกุมเมื่อคืนที่ผ่านมา คือขุนนางของราชสำนัก ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ควรประพฤติตนให้อยู่ในกฎของบ้านเมือง สมกับเป็นขุนนางที่สอบผ่านเข้ามารับใช้บ้านเมือง แต่ทว่ากลับทำในสิ่งที่ผิดกฎของบ้านเมืองเสียเอง ใต้เท้าซ่งที่ถูกเชิญตัวมาก่อน รู้สึกกระวนกระวายใจ ต่างจากใต้เท้าซิ่วที่มั่นใจว่า หวงเชาไม่มีหลักฐานใดมาใส่ความเขา“เป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน” ใต้เท้าซ่งพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ“ใต้เท้าซิ่ว ท่านไม่กังวลบ้างหรือ” เขากระซิบถามใต้เท้าซิ่วที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถง“อย่าเพิ่งร้อนตัวไปท่านใต้เท้าซ่ง หากเราสองคนยืนกรานว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ กับคนพวกนั้น ผู้ใดจะมาเอาผิดพวกเราได้ หวงเชามันคงไม่ฉลาดพอจนเก็บหลักฐานทุกอย่างเอาไว้หรอก ท่านอย่าไปหลงเชื่อในกลอุบายของพวกมือปราบหรือพวกเจ้าหน้าที่ของศาลต้าถิงเลย”ใต้เท้าซิ่วกล่าวออกมาเช่นนี้เพื่อข่มความกังวล แท้จริงแล้วลึกๆ ภายในใจของเขาเองก็หวาดหวั่นไม่แพ้กัน แต่ที่ไม่แสดงออกมานั้นก็เพราะไม่อยากทำ
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวคราวเรื่องที่พ่อค้าทาสถูกมือปราบแห่งเมืองถิงฮวา จับกุมตัวที่ชายป่าทางทิศเหนือของหมู่บ้านซานฉีเมื่อคืนที่ผ่านมา ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งเมืองถิงฮวา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่างพากันหวาดหวั่น เกรงว่าจะถูกให้การซัดทอดไปด้วย โดยเฉพาะใต้เท้าซ่ง เจ้ากรมพิธีการ กับใต้เท้าซิ่ว ขุนนางของราชสำนักทั้งสองคน ที่กระทำผิดกฎของบ้านเมือง หาผลประโยชน์ให้ตนเอง“ซิ่วฟาง นั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใดรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าซิ่วถามบุตรชายที่สั่งให้คนเก็บสัมภาระ เพื่อเตรียมการหลบหนี“ข้าอยากจะไปเยี่ยมฮูหยินสักหน่อยน่ะขอรับท่านแม่” ใต้เท้าซิ่วตอบมารดา ก่อนที่จะหันไปถามชวนฟง บ่าวรับใช้ข้างกาย“เสร็จเรียบร้อยหรือยัง”“เสร็จแล้วขอรับนายท่าน”“ท่านพ่อจะไปเยี่ยมท่านแม่หรือขอรับ เหตุใดไม่ชวนพวกข้าไปด้วย พวกข้าก็คะนึงหาท่านแม่เช่นกัน” ซิ่วจิ่วรีบถามบิดา เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาถึงได้รีบร้อนยิ่งนัก อีกทั้งไม่กล่าวชวนพวกเขาที่เป็นบุตรให้ติดตามไปด้วยอีกต่างหาก“เอาไว้วันหลังเถิด วันนี้พ่อรีบ อยู่จวนดูแลท่านย่าให้ดีๆ
“ปะ…เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ต้าหมิง ต้าหมิง พวกเจ้าจับเจ้านั่นไปหรือ”หวงเชาเอ่ยถามเสียงสั่นพยายามถอยหลังร่นไปหากลุ่มสตรี เขารู้ตัวแล้วว่างานนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า หากลูกน้องคนสนิทถูกจับ แล้วผู้ใดจะส่งสัญญาณขอกำลังสนับสนุนจากท่านใต้เท้าและท่านเศรษฐีกัน“ลูกพี่!!! ช่วยข้าด้วยขอรับ ข้ากำลังจะส่งสัญญาณให้ใต้เท้าส่งคนมาช่วย แต่ทว่ายังไม่ทันได้จุดไฟกลับเจอคนพวกนี้เข้า"ต้าหมิงที่ถูกคุมตัวไว้ร้องเรียกหวงเชาพลางบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาพบพานออกมา หวงเชาเห็นท่าไม่ดีรีบปรี่เข้าไปดึงแขนสตรีนางหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวประกัน มือหนากอบกุมที่ลำคอของหญิงสาวเอาไว้ ทำท่าราวกับจะบีบคอนางให้ตาย ถ้าสตรีลึกลับกับพวกมือปราบเข้ามาใกล้ตน“อย่าเข้ามา…มิเช่นนั้นข้าจะฆ่านางผู้นี้เสีย” สตรีวัยแรกแย้มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความหวาดกลัว“ยอมตั้งแต่แรก คงไม่ได้เจ็บตัวสินะ” เสียงหวานดังขึ้นมาพลางส่งสัญญาณให้สตรีวัยแรกแย้มที่ถูกชายตรงหน้าถูกจับเป็นตัวประกันเตรียมพร้อมหวงเชาแสดงสีหน้างุนงงในคำพูดของนาง แต่ทว่าในขณะที่เขาไม่ทันระวังตัว สต
สตรีลึกลับกระโดดลงมาจากหลังอาชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนที่จะตบก้นของมันเพื่อให้มันหนีออกไปจากบริเวณนี้ ครั้นอาชาหนุ่มวิ่งหลบออกไป ชายฉกรรจ์นับสิบก็พากันกรูเข้ามาล้อมสตรีลึกลับเอาไว้ ร่างเล็กที่สวมใส่อาภรณ์สีดำ ปกปิดใบหน้าของนางด้วยผ้าสีเดียวกับสีของอาภรณ์ ดูลึกลับและน่าค้นหาสมคำร่ำลือด้านหลังของนางสะพายดาบคู่ นัยน์ตาที่โผล่พ้นผ้าสีดำมานั้นช่างเป็นประกายไร้ซึ่งความหวาดกลัว พวกมันพากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะคิดว่าพวกตนเหนือกว่า ชิงเหมยหาได้หวั่นเกรงหรืออ่อนไหวไปกับเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจเหล่านี้ไม่“รีบเข้ามาเถิด พวกเจ้าทำข้าเสียเวลานอนยิ่งนัก” คำพูดราวกับไม่เกรงกลัวและต้องการท้าทายของสตรีลึกลับ ทำให้พวกชายฉกรรจ์โมโหจนพากันพุ่งกายเข้าไปหานางอย่างไร้สติมือบางดึงดาบคู่ออกมาจากทางด้านหลังอย่างชำนาญ ท่วงท่าสง่างามของนางทำให้ผู้ที่ยืนมองอยู่แทบจะละสายตาไปจากนางไม่ได้ การเคลื่อนไหวร่างกายหลบหลีกคมมีดก็ว่องไวยิ่งนัก ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพลาดท่าถูกสตรีลึกลับใช้ดาบฟันไปยังต้นแขนจนโลหิตสาดกระเซ็น พวกที่กรูกันเข้ามาต้องพากันถอยหลังไปตั้งหลัก“ฝีมือดีสมค
วันนี้ทั้งวันชิงเหมยจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนเย็บปักถุงหอม เพื่อทำให้ท่านยายเล็กและท่านป้าสะใภ้สบายใจ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนาง แต่ความพยายามไม่เคยทำร้ายผู้ใด เพราะผ่านไปนานเกือบหนึ่งชั่วยาม ถุงหอมของชิงเหมยก็ออกมาเป็นรูปร่าง ทว่ามองหาความงดงามมิเจอไม่ ทั้งซุนเฉียวและหลิวเวยต่างพากันขบขัน ทว่าทั้งสองก็ยังคงกล่าวชมในความพยายามของหลานสาวอยู่ดี ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดได้ดีถึงเพียงนี้ก็ย่อมได้รับคำชื่นชมแล้วครั้นถุงหอมเสร็จชิงเหมยจึงขอตัวลากลับเรือนเพื่อไปพักผ่อน ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่รั้งให้หญิงสาวให้อยู่ต่อ ชิงเหมยจึงลุกขึ้นคำนับลาแล้วเดินจากออกจากเรือนของท่านยายเล็ก มุ่งหน้ากลับเรือนนอนของนาง วันนี้นางต้องพักผ่อนเอาแรงเพื่อเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ใช้ในค่ำคืนนี้ปลายยามห้าย จวนในละแวกนี้ต่างเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คนอาศัยอยู่ เพราะทั้งเจ้านายและบรรดาบ่าวสาวรับใช้ ต่างก็เข้านอนกันตามปกติแล้ว มีเพียงบ่าวชายที่ทำหน้าที่เป็นเวรยาม คอยเฝ้าดูแลความสงบเรียบร้อยยามค่ำคืนภายในจวนเท่านั้น ที่ยังคงไม่หลับใหลและกำลังเดินสำรวจไปรอบๆ จวนเฉกเช่นในทุกค่ำคืน ทว่าค่ำคืนนี้เจ้าของเรือนปีกซ้ายของจวนตระกูลซุน กล