ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
View Moreปีพุทธศักราช ๒๓๐๘
อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’
เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี
“ย๊าก.....”
“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน
“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนสิ ไอ้พวกข้าศึกมันจะพากันบุกมาถึงเพลาใดก็หารู้ไม่” สตรีรูปร่างอวบอัดแต่ทว่ามีกล้ามเนื้อราวกับบุรุษเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คำเอื้อยเป็นหญิงสาวชาวบ้านบางระกำวัยสิบเจ็ดปีที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้านบางระกำนับตั้งแต่ที่ข้าศึกบุกเข้ามา นางฝึกฝนการฟันดาบและศิลปะการต่อสู้จนเก่งกาจ
“โถ่!!! นังคำเอื้อย เอ็งก็ให้ข้าพักเสียบ้างเถิด ถึงเพลาที่ไอ้พวกข้าศึกบุกมา พวกเราก็ต้านมันได้ทุกครามิใช่หรือเยี่ยงไร”
นายดู่ถอนหายใจให้กับหญิงสาวที่มีใจกล้าเฉกเช่นเหล่าบุรุษ ไม่ว่าข้าศึกจะมามากเพียงใด นางก็ไม่เคยหลบลี้หนีหน้าไปไหน นางมักจะถือดาบประจันหน้ากับพวกมันเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเสมอ
“พี่ดู่จ๊ะ ไอ้ผุดบอกว่าเสบียงของหมู่บ้านเราเริ่มจะร่อยหรอเสียแล้ว เหตุการณ์ภายนอกเมืองก็มิค่อยจะดีเท่าใดนัก แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีล่ะจ๊ะ”
แก้ว หญิงสาวในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คอยดูแลเสบียงอาหารกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าให้คนออกไปหาเสบียงด้านนอกหมู่บ้าน ก็คงไม่พ้นได้พบเจอกับพวกทหารของพม่าเป้นแน่
“เดี๋ยวข้าจะพาพวกออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเองจะ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”
คำเอื้อยบอกออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากเสบียงอาหารร่อยหรอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะใช้ชีวิตอยู่กันด้วยความลำบาก
“ข้าไปด้วย”
นายอ้นรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากปล่อยให้คำเอื้อยพาพวกออกไปแล้วเจอกับพวกศัตรู เขาจะได้ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับนาง
“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราไปเตรียมตัวกันเถิด ออกไปสักสิบคนก็พอ หากออกไปมากนักจะทำให้พวกข้าศึกรู้ตัวเอาได้”
“ไม่รู้ว่าเพลานี้ข้าศึกมันอยู่ทิศทางใดกัน เหตุใดพักนี้หมู่บ้านของพวกเราถึงได้ดูเงียบจนแปลกประหลาดยิ่งนัก” นายชดเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ให้มันพักกันเสียบ้างเถิด หากพวกมันหมั่นเข้ามาโจมตีพวกเราคงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่” ทองกล้ากล่าวออกมาพลางใช้ผ้าเช็ดดาบเล่มยาวของตน
“ถ้าเช่นนั้นเอาตามนี้แหละจ้ะ ข้า ไอ้อ้น แม่จำปี แม่ลำดวน พี่คล้าว พี่เข้ม พี่คม พี่เสือ พี่ผา และก็พี่ชิด พวกเราทั้งสิบจะออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเอง” คำเอื้อยหันไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลุงทองเย็น
ผู้อาวุโสไม่ห้ามปรามอันใดเพราะหากไม่มีผู้ที่เสียสละตนออกไป ชาวบ้านทุกคนจะต้องพากันอดตายก่อนที่จะตายด้วยน้ำมือของพวกข้าศึก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวและมาพร้อมกันในเพลานัดพบ นายดู่และนายชดจะคอยดูแลหมู่บ้านในยามที่ทั้งสิบคนไม่อยู่ คำเอื้อยและสหายร่วมรบทั้งเก้าคนจึงวางใจ
บุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งเจ็ดและสตรีอีกสามคนที่แต่งกายเยี่ยงชายชาตรี ในมือทั้งสองข้างถือดาบประจำกายพากันเยื้องย่างออกไปทางด้านหลังของหมู่บ้านในเพลากลางคืน เพื่อมิให้ข้าศึกภายนอกได้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านออกไป พวกคำเอื้องจึงต้องออกไปเพลานี้ เพลาที่ทิวาได้ลาลับนภาไป
เสียงนกแสกและนกฮูกร้องดังไปทั่วทั้งแนวป่าหลังหมู่บ้าน กลุ่มบุรุษและสตรีหาญกล้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ถูกข้าศึกตีจนแตกพ่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านบางระกำสองชั่วเพลาในการเดินทาง เพื่อลองหาเสบียงที่น่าจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ในระหว่างทางทุกคนเดินไปด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ข้าศึกได้ยินเสียงฝีเท้า
หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนในที่สุดเหล่าผู้กล้าทั้งสิบคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายจากการรุกรานของข้าศึก ภาพของชาวบ้านที่นอนตายอยู่ทั่วหมู่บ้าน ทำให้คำเอื้องรู้สึกเจ็บแค้นใจโดยเฉพาะพวกหญิงสาวที่ถูกพวกมันข่มเหงรังแกจนตาย หากชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่รอความช่วยเหลือจากพวกทหาร หมู่บ้านนี้ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“คงจะเพิ่งถูกตีพ่ายไปไม่ได้นาน ศพชาวบ้านบางคนตัวยังอุ่นอยู่เลย พวกเอ็งระวังตัวเองกันด้วยล่ะ”
นายคล้าวตะโกนบอกสหายร่วมรบทั้งเก้าคนหลังจากที่เขาก้มลงไปจับชีพจรของชาวบ้านที่น่าจะเพิ่งถูกฆ่าตายได้ไม่นาน
“รีบหาเสบียงที่พอจะนำกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อนเถิด ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพราะไม่รู้ว่าพวกข้าศึกจะยังอยู่แถวนี้หรือว่าจากไปแล้ว”
คำเอื้อยร้องบอกทุกคนในขณะที่นางเดินไปสำรวจตามเรือนชานที่เสียหายจากการถูกไฟไหม้ ร่องรอยนั้นราวกับเพิ่งจะเกิด ชาวบ้านที่ล้มตายก็ยังเนื้อกายอุ่นอยู่ นางจึงคิดว่าพวกมันคงเพิ่งจะบุกมาทำลายหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ
“พามาได้เพียงเท่านี้เองรึ”เสียงของชายที่อีกฝ่ายเรียกอย่างนอบน้อมว่าท่านใต้เท้าถามดังออกมายามที่เขามองไปยังเหล่าสตรีที่อยู่ขบวนสุดท้าย“ขอรับ!! ไม่กี่เดือนก่อนพวกลูกน้องของข้าน้อยพลาดท่าให้กับสตรีนิรนามจนถูกฆ่าตายไปหลายคน ถึงบัดนี้ข้าน้อยก็ยังมิอาจรู้ตัวตนของนาง ข้าน้อยเกรงว่าถ้าพาสตรีมามากกว่านี้ สตรีผู้นั้นจะออกมาชิงสตรีเหล่านี้ไปอีกน่ะขอรับ”“สตรี!!! สตรีแน่รึ ข้าไม่อยากจะเชื่อ ว่าแคว้นเจียงโจวของเราจะมีสตรีที่มีความสามารถซ่อนอยู่”“เรื่องจริงนะขอรับ เพราะลูกน้องของข้าน้อยได้เขียนสารบอกเอาไว้ก่อนที่พวกมันจะถูกสังหารว่า มีสตรีลึกลับคอยขัดขวางงานของพวกเรา นางมีฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งนัก ร่างกายผอมเพรียวดูบอบบาง แต่ว่าพละกำลังของนางสามารถทำให้คนของข้าน้อยที่ไปทำงานในวันนั้นตายไปทั้งหมด”ผู้ที่แอบฟังอยู่ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับใจเต้นแรงทันที เพราะเขานึกไปถึงบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ที่ยามนี้เติบโตมาเป็นสาววัยแรกแย้มที่น่าทะนุถนอมเสียแล้ว เขาจากนางมาหลังจากได้พบกันวันนั้นโดยไม่ได้บอกข่าวก็เกือบสิบสี่วันแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรเขาได้แต่แอบหวังว่าสตรีที่พวกผู้กระทำผิดกลุ่มนี้
เสียงแมลงหวีดร้องในยามดึกสงัดภายในป่าใหญ่ของเมืองถิงฮวา ติดกับเขตชายแดนเมืองถิงซา ยามนี้มิได้มีเพียงแค่เสียงของเหล่าแมลงและนกกลางคืนเท่านั้น ที่กำลังส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า ทว่ากลับมีเสียงตะโกนโหวกเวกโวยวายของคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังช่วยกันขนสัมภาระ และควบคุมสตรีกลุ่มหนึ่ง เพื่อที่จะพาข้ามแดนไปขายให้แก่เศรษฐีและขุนนางของเมืองถิงซา“เห้ย!!! รีบๆ เดินเข้าสิวะ ชักช้าอยู่ได้ ข้าอยากกลับไปดื่มสุราที่หอชิวชุนแล้ว” เสียงของหนึ่งในบุรุษร่างโตที่ควบคุมเหล่าสตรีวัยแรกแย้มนับสิบตะโกนลั่นออกมา“พะ…พวกเราไม่อยากไป ปล่อยพวกเรามิได้หรือเจ้าคะ” เสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งร้องอ้อนวอนออกมา“โอ้…. ช่างใจกล้าน่าดู”มือหนาหยาบกร้านเชยคางมนของสตรีตัวเล็กสูงเพียงแค่อกของเขา แล้วทำท่าจะโน้มใบหน้าเข้าไปหานาง เพื่อที่จะสัมผัสใบหน้าของนางด้วยริมฝีปากของตน แต่แล้วเด็กสาววัยแรกแย้มกลับถ่มน้ำลายออกมาใส่หน้าของตนอย่างไม่หวาดกลัว“ถุ้ย!!!”ชายร่างโตผงะพลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำลายของสตรีตรงหน้าออกจากใบหน้า พลางหัวเราะออกมาราวกับคนสิ้นสติ“ฮ่าๆๆๆ ดี กล้าดี” ก่อนที่ชายผู้นั้นจะยกฝ่ามือหนาฟาดลงไปบนใบหน้านวลของสตรีวัยแรกแย้มที่
เพียงแค่นี้ชีวิตของนางก็เหมือนได้เกิดใหม่แล้ว ชิงเหมยเข้าไปสวมกอดเพื่อปลอบประโลมหญิงวัยกลางคน เด็กชายเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปสวมกอดสตรีทั้งสองด้วยเช่นกัน กว่าที่ท่านยายซิ่วอิงจะหยุดร้องไห้ได้เวลาก็ล่วงเลยไปนานนับหนึ่งก้านธูป“ท่านยาย ห่าวเอ๋อร์ เห็นทีข้าคงต้องขอตัวไปเยือนเรือนอื่นก่อนล่ะ เพราะยามเว่ยข้าต้องรีบกลับเรือน” ชิงเหมยรีบเอ่ยขอตัวเพราะรู้ว่านางรั้งอยู่ที่นี่มาได้สักพักใหญ่แล้ว“อ้อ… อืม เจ้าไปเถิดเหมยเอ๋อร์… อ้อ!! โปรดรอสักประเดี๋ยวเถิด ห่าวเอ๋อร์…เจ้าช่วยเข้าไปหยิบพู่ประดับดาบ ที่ยายทำไว้มาให้แม่นางชิงเหมยหน่อยเถิด” ซิ่วอิงบอกหลานชายตัวน้อย ซีห่าวรีบวิ่งเข้าไปภายในเรือนทันที ก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับพู่ประดับดาบสีแดง“มันอาจจะดูเป็นเพียงพู่ธรรมดา แต่ว่าข้าตั้งใจสวดภาวนาให้เจ้าปลอดภัยทุกคราที่เจ้ากวัดแกว่งดาบเพื่อช่วยเหลือผู้คน”“ขอบน้ำใจท่านยายซิ่วอิงเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอลาก่อนนะเจ้าคะ มาเยือนคราหน้าข้าจะนำขนมของท่านยายของข้ามาฝากพวกท่านด้วย” ชิงเหมยกล่าวลาหญิงวัยกลางคน ซิ่วอิงพยักหน้า“ขอให้เจ้าโชคดี เดินทางปลอดภัย”“พี่ไปก่อนหนาห่าวเอ๋อร์ เป็นเด็กดี ตั้งใจศึกษาและเชื่
หลังจากนั่งพูดคุยกันอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม ชิงเหมยจึงขอตัวไปเยี่ยมเหล่าสตรีและเด็กๆ ที่นางเคยให้ความช่วยเหลือมา จวีจูหรานไม่ได้รั้งเด็กสาวเอาไว้ แต่ก็ไม่ลืมบอกให้ชิงเหมยกลับมากินข้าวมื้อกลางวันด้วยกันก่อนที่จะกลับไปหมู่บ้านซานฉี ชิงเหมยไม่ปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย เพราะจนถึงยามนี้ ท่านพี่หญิงจวีและผู้ติดตามของนาง ก็ยังคิดว่าชิงเหมยเป็นผู้มีพระคุณของพวกตนมิเสื่อมคลาย“พี่ซินจี๋ เจ้าตัวเล็กหลับแล้วหรือจ๊ะ”ร่างเล็กสูงเพรียวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักหลังแรกพลางร้องถามผู้ที่อยู่ในเรือน เจ้าของเรือนหลังนี้ เป็นสตรีที่ชิงเหมยได้เข้าให้ความช่วยเหลือมาจากพ่อค้าทาส เพราะสามีตายไปก่อนที่จะรู้ว่านางมีครรภ์ ครอบครัวของสามีก็เอาแต่กล่าวโทษ ว่านางดูแลสามีไม่ดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย คนพวกนั้นโกรธเคืองนาง จึงขายนางให้กับพ่อค้าทาส โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังมีครรภ์“เพิ่งจะหลับไปก่อนหน้านี้เองจ้ะเหมยเอ๋อร์”สตรีวัยสิบแปดปีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ชิงเหมยจึงลดระดับเสียงของนางลง เพื่อให้รบกวนเด็กทารกที่เพิ่งจะนอนหลับไปก่อนหน้า“ข้าขอเข้าไปดูนางได้หรือไม่”“จะมิได้ได้เ
Comments