LOGINเธอตายเพราะศัลยกรรมเสริมหน้าอก จะถูกยมทูตพาไปเกิดทั้งทีท่านกลับบอกว่ายังไปเกิดไม่ได้เพราะมีกรรมเก่าต้องสะสาง จบด้วยการทะลุมิติไปสู่ยุคอยุธยา เเละมาสิงร่างลูกสาวขุนหลวงที่มีผีผัวเก่าตามอาฆาต!
View Moreติ๊ด ติ๊ด
ติ๊ด ติ๊ด
ติ๊ดดดดดด
ชีพจรที่เคยดังเป็นจังหวะ ส่งสัญญาณยาวพรืดบ่งบอกชัดเจนว่าการเต้นของหัวใจของคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั้นได้หยุดลงอย่างกะทันหัน พยาบาลและหมอเถื่อนที่สัมผัสได้ว่าหายนะกำลังจะมาถึง เมื่อหนึ่งในคนไข้ที่มาผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกกับหมอกระเป๋าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บัดนี้การผ่าตัดผิดพลาดจนเสียเลือดมากเกินไป
ร่างเล็กของ ‘นางสาวบี’ กระตุกช็อกจากอาการเสียเลือดขั้นรุนแรงและเข้าสู่อาการโคม่าในสภาพกึ่งเปลือยคาห้องผ่าตัด เปิดเปลือยอกไข่ดาวสู่สาธารณะชน ซิลิโคนปลอมในมือหมอยังชุ่มเลือด ทั้งพยาบาลและหมอเถื่อนต่างรีบหาทางหนีทีไล่เมื่อเผลอทำให้คนไข้ที่มาศัลยกรรมด้วยเจอพิษมีดหมอกระเป๋าดับอนาถสิ้นใจคาห้องผ่าตัดเล็กๆ แห่งนี้ ด้วยศพนี้อาจจะทำให้ตำรวจรวบตัวเองและจบสิ้นอนาคตหมอศัลยกรรมหน้าใหม่ผู้ร่ำรวย
‘ว่าแล้วไง! อีนังผึ้งนี่มันต้องเป็นหมอเถื่อนชัวร์ป้าบ’ กว่าจะรู้สึกตัวว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว นางสาวบีที่นั่งขัดสมาธิล่องลอยอยู่เหนือร่างกายอเนจอนาถที่นอนไร้ลมหายใจอยู่เบื้องล่างตบเข่าฉาด ‘ต้องไปเข้าฝันบอกแม่ไหมเนี่ย แต่ก่อนอื่นต้องไปตามหลอกหลอนอีหมอผึ้งนี่ก่อนเลย’
เป็นวิญญาณอาฆาตตั้งแต่วินาทีแรกที่ดวงจิตหลุดออกจากร่างอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ตกใจกับเหตุการณ์ถึงฆาตที่เกิดขึ้น
ก็เพราะว่าเตรียมใจมาดีพอแล้วน่ะสิ
ด้วยความที่ต้นตระกูลของนางสาวบีทำอาชีพเป็นหมอผีมารุ่นสู่รุ่น ครอบครัวของเธอมากกว่า 80% ไม่ว่าจะทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ล้วนดำรงอาชีพนี้ในการจุนเจือครอบครัว และแน่นอนว่าทุกคนเป็นหมอผีของจริงที่สืบทอดสัมผัสที่หก สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้มาตั้งแต่ที่ลืมตาดูโลก
น้าเธอเองก็เป็นหมอดูดวงชะตาในอนาคตที่โคตรแม่นยำ น้าบิวเคยบอกว่าบีในอายุ 25 เป็นวัยเบญจเพศที่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เอาปัญหามาด้วยตัวเองเพื่อชดใช้กรรมและไปเวียนว่ายตายเกิดที่วัฏจักรสงสารต่อไป
นับว่าที่น้าบิวทำนายนั้นแม่นทีเดียว ตั้งแต่ที่เธอรู้จักกับอีหมอผึ้งมิจฉาชีพลวงโลกที่เข้าหาทางพ่อ เพราะเป็นเพื่อนสนิทพ่อก็เลยไว้ใจคิดว่าเป็นคลีนิคศัลยกรรมครบวงจร แถมอีกฝ่ายยังหัวหมอเข้าหาด้วยการเจาะจุดอ่อนอย่างหน้าอกไข่ดาวตั้งแต่กำเนิดที่เป็นปมด้อยมาตลอดชีวิตจนเธอเผลอหลงเชื่อ หารู้ไม่ว่าอีนี่น่ะมันหมอเถื่อน มันฉีดยาสลบ ผ่าตัดเธอแบบผิดๆ จนเสียเลือดตาย!
แต่ไม่ตกใจเท่าไหร่ อาจเพราะเห็นผีมาทั้งชีวิต ก็เลยไม่ค่อยหวาดหวั่นกับความตาย
ความตายคืออนิจจัง แม่สอนคำนี้ฝังใส่หัวมาทั้งชีวิตแล้ว คนที่ทำงานเป็นหมอผีก็เสี่ยงเหมือนกันหมด รุ่นก่อนๆ ที่ตายไปเพราะโดนทำของใส่มั่ง โดนผีตามอาฆาตจนตายโหงบ้างก็มี
เป็นวิญญาณก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายภาษีที่แพงแสนแพง ค่าครองชีพที่แทบกระอักเลือดจ่ายแทนเงิน ทนทำงานตัวเป็นเกรียวทั้งที่เลือกได้ก็ไม่อยากทำอาชีพหมอผี แต่อยากไปเป็นนักร้องมากกว่า แถมยังไม่ต้องผจญภัยกับการจราจรอันแออัด สังคมที่นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคดีฆ่าข่มขืน ตบตีชิงทรัพย์ ตำรวจที่นับวันยิ่งไม่ต่างจากโจร คดีล่วงละเมิดทางเพศต่างๆ นานา เรื่องการเมืองที่แสนน่าเบื่อ ประเทศที่เหมือนนรกเข้าไปทุกที
ถึงสาเหตุการตายจะอนาถไปหน่อยก็ตาม
คิดแล้ววิญญาณนางสาวบีก็ฉีกยิ้มกว้าง แต่ก่อนอื่นต้องไปเข้าฝันแม่ก่อนว่าขิตที่นี่นะ มารับศพไปทำพิธีด้วย
อย่างน้อยก็ยังได้ตายแบบไม่เจ็บไม่ปวดอะไรล่ะวะ
แต่ก็แค้นเหลือเกิน
ค่อยไปตามหลอกหลอนอีหมอผึ้งจากหนังผีที่เคยดูมาดีกว่า เธอจะเริ่มจากโผล่แค่หัวเละๆ ออกมานอกหน้าต่างก่อนให้มันตกใจเล่น ก่อนที่ต่อมาจะฮือออกมาจากโทรทัศน์ระหว่างที่มันเปิดรายการวาไรตี้โชว์ดูเหมือนในเรื่องซาดาโกะ อย่างน้อยๆ เป็นวิญญาณแบบนี้ก็ต้องแสดงอภินิหารได้บ้างล่ะ
ตกลงกับตัวเองได้จึงทำท่าจะเริ่มภารกิจผีสาวตามเก็บเวล เพ่งดวงจิตนึกถึงหน้าบุพการีบังเกิดเกล้า
แต่ทว่า
หมับ!
‘อึก...!!’
ฝ่ามือหนาหยาบใหญ่ของผู้มาเยือนกลับคว้าเข้าที่คอของเด็กสาวแล้วยกจนตัวลอย นางสาวบีดิ้นทุรนทุรายไปมา แต่ลืมไปว่าวิญญาณนั้นไร้ความเจ็บปวด
“มึงจักไปไหน” ภาพตรงหน้าคือภาพที่นางสาวบีไม่เคยได้พบเจอและไม่มีวันจะได้เห็นจนกว่าเธอจะตายจริงๆ นั่นก็คือบุรุษในชุดโจงกระเบนสีแดงกล่ำกับสังวาลย์ทองทับทรวงแบบโบร่ำโบราณ ผิวดำคล้ำมีร่องรอยแผลเป็น ทรงผมชายบางระจัน ดวงตาสีแดงชาดเรืองรองทำให้เด็กสาวรู้สึกหวาดกลัว
“ใครอ่ะ ปล่อยนะ!” ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรน จิกเล็บ กัด หรือข่วนอย่างไร ร่างสูงใหญ่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะไหวติง
“มึงมิมีกระไรติดค้างบนนี้ ไปกับกูเสีย” เสียงทุ้มต่ำลั่นประกาศิตทำเอาวิญญาณนางสาวบีชะงัก ลักษณะเหมือนที่แม่เคยบอก หรือว่าคนตรงหน้าคือยมทูตใช่ไหม พอเห็นเธอตุยก็มาเอาวิญญาณเลยเหรอ เร็วไปไหนก่อน สรุปคือนรกทำงานกันแบบดิจิตอลใช่ไหม
“จะไม่มีได้ไงพี่ หนูยังติดค้างอยู่ หนูมันวิญญาณอาฆาตนะ หนูยังไม่ได้ไปเข้าฝันบอกแม่เลยว่าหนูตายแล้ว แถมยังไม่ได้ล้างแค้นอีหมอเถื่อนนั่นเลยด้วย!!”
“เวรกรรมจะต้องตกต้องที่ตัวผู้ทำเอง มึงมีหน้าที่แค่ตามกูมา” ว่าพลางก็ร่ายเสกโซ่ตรวนพันธนาการเด็กสาวราวกับนักโทษเรือนจำ นางสาวบีเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น เริ่มรู้สึกอยากพุ่งกลับเข้าร่าง คุณยมทำไมน่ากลัวแบบนี้
‘ไม่นะพี่ยม ขอทดลองใช้ชีวิตแบบวิญญาณร้ายก่อนสักสามวันได้ไหม... สองวัน วันเดียวก็ได้!!’
“ไม่ได้! ท่านผู้นั้นกำลังรอมึงลงไปชดใช้กรรมที่ติดค้างในชาติปางก่อนอยู่”
ท่านผู้นั้น? ใครวะ
ไม่ทันได้คิดอะไรให้จบดีก็เกิดหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ใต้เท้า ชายกำยำตรงหน้าผลักหล่อนร่วงผล็อยลงไปในห้วงแห่งความมืดนั้นทันใด
กรี๊ดดดดดด
เสียงร้องโหยหวนของตัวเองนั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยิน ก่อนที่ทัศนียภาพรอบตัวจะดับวูบลงไป พร้อมกับวิญญาณเด็กสาวที่ถูกสูบลงในหลุมดำ
“บัวงาม! บัวงามลูกแม่! เอ็งฟื้นแล้วรึ”
“... อื๋อ?” เสียงกังวาลของหญิงวัยกลางคนในชุดไทยโบราณเป็นประโยคแรกที่รบกวนการหลับอันยาวนานจนเด็กสาวจนต้องตื่น ว่าแต่ไอ้ชื่อบัวงามนี่มันใครวะ ชื่อโบร่ำโบราณสิ้นดี
นางสาวบีค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของหญิงชุดไทยที่มะรุมมะตุ้มเธออยู่ ที่นอนก็แข็งแสนแข็ง สงสัยจะนอนนานไปหน่อย ปวดหลังเคล็ดเอวไปหมด
พอลืมตาเต็มที่ ก็เห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ถึงจะดูมีอายุแต่ก็ยังดูสวยปรากฎขึ้นพร้อมกับชุดสไบทรงเครื่องเหมือนหลุดมาจากในละครไทยจักรๆ วงศ์ๆ พร้อมกับสาวนุ่งผ้ารัดอกกับทรงผมสั้นกุดแบบที่เคยเห็นรูปในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์สมัยมัธยมไม่มีผิด
“... ใครอ่ะ” คำแรกที่โพล่งออกมาคือคำถามราวกับคนความจำเสื่อม ‘คุณหญิงจันทร์งาม’ รู้สึกเหมือนลมจะจับ ซวนเซไปจนบ่าวรับใช้ต้องเข้ามาประคอง
“คุณหญิง! เป็นกระไรหรือไม่เจ้าคะ”
“มะ... มิเป็นไร ข้าพอเข้าใจหัวอกนาง ลูกสาวข้าคงสติแตกไปเสียแล้ว ตั้งแต่ที่ได้รู้ข่าวเรื่องพ่อแสนคำ”
นางสาวบีหยัดตัวลุกขึ้นมา อะไร? พูดจาซะโบราณเลย ที่นี่นรกหรือเปล่า จำได้ว่าเธอตายคาห้องผ่าตัดนี่
ว่าแต่ไอ้พี่ยมทูตนั่นไปไหน? เรื่องนี้ต้องมีเคลียร์ คนยังไม่ทันได้ไปตามอาฆาตเป็นผีเฝ้าไข้อีหมอเถื่อนนั่นเลย มาจับลงนรกสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง
ก็คงมีแต่ผู้หญิงคนนี้ล่ะมั้งที่ถามได้ เธอเลยตัดสินใจกระตุกชายผ้าสไบของผู้ใหญ่คนนั้นเบาๆ
“นี่ป้า เห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ แต่งตัวลิเกๆ ตาแดงๆ ตัวดำๆ อยู่แถวนี้ก่อนหนูตื่นบ้างปะ?”
หากขุนเเสนคำรู้เล่า? เขาคงได้จบสิ้นในฐานะเพื่อนรักเป็นเเน่ อีกด้านของก้นบึ้งภายในจิตใจที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้เเม้ว่าจะตนเองจะเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยก็ตาม นั่นก็คือความรู้สึกไร้ความเห็นอกเห็นใจที่ไม่ว่าจะต้องเเย่งชิงเมียรักของเพื่อนเขาก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มผู้นี้หาได้มีความหวาดกลัวต่อเลือดเเละศพจึงได้เป็นหมอ อนึ่งเพราะต้นตระกูลของเขาต้องการให้บุตรชายเป็นหมอด้วยส่วนหนึ่ง หมอรักษาทัพผู้อื่นมักมีอาการ ‘โทษใจ’ หรืออารมณ์สะเทือนขวัญหลังจากการรักษาเเผลฉกรรจ์ขั้นรุนเเรงของเหล่าทหารในสนามรบ หรือเมื่อการรักษานั้นทำให้คนไข้ตายอย่างน่าเวทนา เเต่เขานั้นกลับไร้ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกขาดความเห็นอกเห็นใจนั้นอาจสร้างความผิดปกติให้เเก่ภาพลักษณ์ของเขาก็ได้ ยิ่งกับต้นตระกูลที่เข้มงวดเเละคาดหวังในตัวของบุตรชายเพียงคนเดียว หมออินจึงซุกซ่อนความเลือดเย็นไว้ภายใต้หน้ากากหมอยาที่เเสนอบอุ่นเเละพูดน้อย หากเเต่ใครเล่าจะรู้... เบื้องลึกอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงภายในหัวของหมอหนุ่มผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน นั้นกลับเต็มไปด้วยความกักขฬะหยาบต่ำเสียมากมาย อยากลากทึ้งบัวงามที่เขาหลงใหล
ภายในตำหนักหลวงของพระมเหสีเทวีรัตน์ กลิ่นกำยานหอมเย็นแผ่วเบาอบอวลตลบอยู่ในห้องทึบแสง ผ้าม่านไหมสีมรกตพลิ้วตามแรงลมอ่อนจากภายนอก ขับเน้นบรรยากาศให้เยียบเย็นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ายามค่ำ พระมเหสีทรงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง พู่กันถูกจรดลงบนพวงแก้มที่ไม่จำเป็นต้องประดับแต้มใดให้มากความ ใบหน้างามหยาดหยดที่เคยเป็นหนึ่งเดียวในสายพระเนตรขององค์เหนือหัว บัดนี้กลับถูกแบ่งปันให้หญิงอื่นเสียเเล้ว "เมื่อคืน... ทรงทอดพระเนตรนางจนลืมแม้กระทั่งข้า" น้ำเสียงที่เปล่งออกจากเรียวปากแดงฉ่ำของพระนางนั้นเย็นเยียบ แต่แววตาที่สะท้อนอยู่ในกระจกกลับแดงก่ำด้วยเพลิงริษยา ดวงหน้าอันงดงามนั้นยังไม่เปลี่ยนเเปรเเม้อายุจะมากขึ้น หากเเต่หล่อนกลับสู้ความงดงามของพระสนมชั้นต่ำศักดิ์นั่นมิได้อย่างนั้นหรือ “ช้องนาง เจ้ามิคิดงั้นหรือ?” พระมเหสีทรงตรัสเรียกหญิงนางนมคนสนิทที่จรดพู่กันลงบนพวงเเก้มงาม หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้พระองค์ทรงเป็นทุกข์เพียงใด สวามีเพียงหนึ่งเดียวมีสนมมากมายนั่นไม่พอให้ทุกข์ทรมานเเสนสาหัส เเต่พระเจ้าสุริยะจักราธิวงศ์มิเคยไว้หน้าพระองค์ในฐานะมเหสีเลยเเม้เเต่น้อย ตั้งเเต่ที่พระสนมจันทร์จรีป่วยหนักเเลเปลี่ยน
เมื่อบุตรชายคนโตคล้อยหลังไป แย้มเนืองก็เข้ามาบีบนวดขาของหล่อนอย่างคุ้นชิน ทองผินส่งสายตาไปเพียงครู่เดียว น้องสาวใน้คราบบ่าวรับใช้ผู้รู้ใจก็พยักหน้ารับ ก่อนจะวางห่อผ้าเล็กๆ ไว้เบื้องหน้าหล่อน ‘ผงสังข์ทองล้างกลด’ ผงพิษร้ายแรงซึ่งประกอบด้วยเถ้ากระดูกชายตายโหง ดินเจ็ดป่าช้า และน้ำมันพราย มันมีลักษณะเป็นผงละเอียด สีเทาหม่นปนน้ำตาลดำ คล้ายเถ้าถ่านผสมคราบดินเก่าชื้น มีกลิ่นฉุนบางเบา คล้ายดินเปียก น้ำมันเก่า และควันไฟ หากนำเข้าใกล้จมูกนานๆ เเล้วละก็... จะรู้สึกเหมือนมีกลิ่นเนื้อคนเผาไฟแทรกซึมอยู่ในอากาศ ใช่แล้ว... ผงพิษนี้นางใช้ผสมปะปนในสำรับอาหารของสามีทุกวัน ทั้งของคาวหวาน ไพร่ในโรงครัวเป็นผู้มีหน้าที่ปรุงก็จริง เเต่คนจัดสำรับขั้นสุดท้ายก็หาใช่ใครอื่น นอกจากน้องสาวแท้ๆ ของนางเองอยู่ดี แน่นอน... มือสุดท้ายของคนในเรือนเดียวกัน ไม่มีทางจับมือใครดมได้ “แต่ดูเหมือนไอ้พระยานั่นยังจะมีเรี่ยวแรงดีนัก” แย้มเนืองยังคงไม่วางใจนัก หล่อนเอ่ยอย่างขุ่นเคืองที่ยังคงเห็นพระยาสิงขรดำเนินงานได้ตามปรกติ เเถมเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่เสเพล หากแต่ทองพินกลับกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาพร้อมกับเสีย
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” เขาตอบเพียงเเค่นั้น พลางคลี่ยิ้มบางซ่อนความไม่พึงใจภายใต้รอยยิ้มนั้นไว้ “ข้าได้จัดเรือนรับรองไว้ให้แล้ว ขุนอิน เจ้าพำนักอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่งเถิด จักพอมีเพลาอยู่กับข้าได้หรือไม่่?” ขุนอินยิ้มน้อยๆ เมื่อร่างชายวัยกลางคนชักชวน ดวงตาภายใต้เเว่นกรอบหนาเปี่ยมด้วยไมตรีจิตที่จริงใจ “ครานี้สนามรบหาได้คึกคักไม่ ข้าไม่มีภาระอันใดดอก ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนเอ็งเอง จักมิปล่อยให้เอ็งเผชิญความลำบากนี้โดยลำพังเป็นอันขาด” นางสาวบีเผลอประทับใจกับความสัมพันธ์ของชายทั้งสองจนสายตาวาววับเป็นประกาย อย่างน้อยเเม้ไม่มีใครจริงใจกับขุนเเสนคำเลยเเม้เเต่เมียตนเอง เเต่เขาก็ยังมีมิตรเเท้ที่หาได้ยากยิ่งในช่วงเวลานี้อยู่ หญิงสาวฉีกยิ้มบาง ดูเต็มไปด้วยอารมณที่ดีนักหนา โดยที่ไม่เข้าใจตนเองเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงต้องดีใจไปกับเรื่องดีๆ ของเขา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าภาพเหล่านั้นกำลังอยุ่ในสายตาของหมอหนุ่มในทุกอิริยาบถของเธอ “งั้นข้าขอตัวก่อน เสร็จธุระเเล้ว” ขุนอินโพล่งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ซุกซ่อนความรู้สุกบางอย่างไว้ใต้พรมเเห่งความคิด ขุนเเสนคำในร่างพระยาสิงขรจึงฝากฝังให้ข้าไทประจำเรือนรับรองพาชายหนุ่มไ
“เขา... จะไม่ตายใช่หรือเปล่าจ๊ะ?” เธอถามเสียงแผ่ว ขุนอินยังคงสับสนไม่รู้ว่าหล่อนรู้เรื่องชายผู้นี้ที่บาดเจ็บอยู่ในเรือนได้อย่างไร เขายังคงสับสนหลายๆ อย่างเพราะรู้จักขุนเเสนคำมานาน รวมถึงรู้จักบัวงามในฐานะเมียของเพื่อน เเต่ในตอนนี้หล่อนจับพลัดจับผลูมาเป็นเมียของผู้ที่เราทั้งสองเคารพรัก เเละดูเหมือนท่านจะไว้วางใจในตัวนางให้รู้เรื่องราวทุกอย่างเสียงด้วย ขุนอินเหลือบมองหล่อนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้ากลับลง “ถ้านี่มิใช่กระสุนอาคมเจาะเนื้อหนัง ก็ตอบได้ทันทีว่าไม่... หากแต่ตอนนี้กระผมตอบไม่ได้” พระยาสิงขรเม้มปากแน่น “กระสุนนี้เป็นกระสุนที่ข้าได้มาเพื่อกำจัดผู้มีอวิชาฟันเเทงมิเข้า” ขุนอินไม่ตอบอะไรเมื่อเขาอธิบาย ชายหนุ่มเพียงหยิบเอาใบยาฝานบางแช่น้ำสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนจากดีปลี ขมิ้นอ้อย และรากขันทองพยาบาท ค่อยๆ วางแนบบริเวณแผล แล้วปิดทับด้วยผ้าขาวสะอาด เขาหยิบแหนบเล็กจากปลอก มีปลายงอนคมเหมือนงาช้าง แล้วล้วงลึกลงไปในแผลที่เป็นรูโดนกระสุนฝังในร่างกายของมัน ร่างของไอ้เหล็กกระตุกเบาๆ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รวมถึงนางสาวบีที่เเสดงสีหน้าเหยเกเพราะเป็นการรักษาสดๆ ต่อหน้าโดยที่ไร
ทั้งที่พ่อทำให้แม่ต้องตรอมใจถึงเพียงนั้น ยังจะกล้ามองเขาเป็นลูกที่น่าภูมิใจอีกหรือ? ตลกสิ้นดี เผยธาตุแท้ออกมาเถิด ให้เขาได้เห็น ให้ผู้คนทั้งพระนครได้เห็นว่าพ่อก็เป็นเพียงชายผู้มีจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว มัวเมาในราคะและหลงเชื่อหญิงโง่เง่ามากกว่าคนในครอบครัว ดังที่เคยทำจนชื่อเสียงเสื่อมเสียไปทั้งเมือง พ่อไม่เคยนึกถึงเลยหรือ ว่าตระกูลเราต้องอับอายมากถึงเพียงไหน? เขาเกลียดนัก เกลียดความใจดีเเละเสแสร้งนั่น เกลียดแววตาภาคภูมิใจเวลาที่พ่อมองมาที่เขา ทั้งที่ไม่ต้องการ ใช่... เขาอยากเห็นสีหน้าแบบนี้แหละ หน้าตาเต็มไปด้วยความชิงชัง ริษยา รวมถึงพิษร้ายอย่างความหึงหวง สมแล้วกับหน้ากากของพระยาสิงขรผู้ยิ่งใหญ่ที่เบื้องหลังฟอนเฟะยิ่งกว่ากระไรดี ขอบคุณท่านจริงๆ เจ้าคุณพ่อ... ขอบคุณที่ในที่สุดก็เผยไส้ในให้ลูกได้เห็นเสียที ข้าจะได้ก้าวข้ามท่านโดยไร้ความลังเลอีกต่อไป หนึ่งวันผ่านไป ตกช่วงเย็นใกล้ฟ้ามืด ก็มีเสียงม้าดังเร่งฝีเท้าเข้ามาท่ามกลางความเงียบของเรือนใหญ่ของท่านพระยา บัวงามเปิดม่านเเพรอย่างตื่นเต้น เพราะทันทีที่ขุนเเสนคำส่งข้อความไปถึง ‘ขุนอินเวชะสรรพ์’ หรือหมอหลวงที่เป็นสหายเก่าของขุนเเสนคำ












Comments