เมื่อพูดถึงวิชาหมัด ในบรรดาสำนักนับร้อยทั่วทั้งภูเขาสือว่าน ก็ไม่มีใครกล้าที่จะแข่งขันกับสำนักเทียนเฉวียนเลยสักคน“ใช้วิชาหมัดสยบฉันงั้นเหรอ?”ต้วนจื่อซานหรี่ตาลง มองสำรวจฉู่เฉินด้วยสีหน้าดูถูกเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม การคุยโวก็ต้องมีขีดจำกัดบ้าง”“ต่อให้แกจะมีพลังอยู่บ้าง แต่ความเชี่ยวชาญในวิชาหมัดก็ไม่มีทางเอาชนะสำนักเทียนเฉวียนของฉันได้อย่างแน่นอน”ฉู่เฉินส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อย่าเอาสิ่งที่มาพูดว่าเป็นงานอดิเรกของคนอื่นสิ แค่เรื่องวิชาหมัดอย่างเดียว อย่าว่าแต่คุณเลย ต่อให้เป็นทั้งสำนักเทียนเฉวียนก็เป็นแค่สวะ”ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมา ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบสนิท แม้กระทั่งหลินเยว่หรูและลั่วหัวเอ๋อร์ก็ยังเม้มริมฝีปากสีแดงและไม่สามารถพูดได้แม้แต่ประโยคเดียวคำพูดของฉู่เฉินค่อนข้างจะเกินไปสักหน่อย ในด้านวิชาหมัดของทั้งสำนักเทียนเฉวียนล้วนเป็นสวะงั้นเหรอ?คำพูดนี้เกรงว่าแม้แต่เจ้าสำนักจำนวนไม่น้อยยังไม่กล้าพูดเรื่องนี้เลย?“เจ้าหนุ่ม แกมันหยิ่งยโสจนเกินไปแล้ว ฉันล่ะสนใจจริงๆ ว่าอาจารย์ของแกเป็นใครและเป็นศิษย์สำนักไหน?”สีหน้าของต้วนจื่อซานแย่ลงอย่างถึงที่สุด และจ
ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อืม คนที่พูดจาแบบนี้กับผมเยอะเลย คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน?”ต้วนจื่อซานตกตะลึงกับคำถามของฉู่เฉิน มองสำรวจฉู่เฉินด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนแกยังไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่”“ฉันคือ...”“อย่าพูดถึงคุณย่าของคุณกับผมเลย ถ้ามีน้องสาวหรือมีภรรยาที่สวยหน่อยก็พามาได้เลย ผมจะช่วยชิมและวิจารณ์ให้คุณฟรีๆ เลย”ฉู่เฉินขัดจังหวะต้วนจื่อซานและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของต้วนจื่อซานก็แดงก่ำในทันที สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม แกยังไม่เข้าใจสินะว่าการอวดดีต่อหน้าสำนักเทียนเฉวียนของฉันจะมีผลลัพธ์ยังไง”สิ้นเสียง ต้วนจื่อซานก็เพ่งสายตาและกำหมัดแน่น บนกำปั้นของเขายังมีแสงเรืองรองอยู่อีกด้วย!มันเป็นประกายแวววาวคล้ายโลหะ ซึ่งบ่งบอกว่าพลังหมัดของเขานั้นเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอนไม่ต้องพูดถึงระดับพลังของเขา แค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาขึ้นเขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักเทียนเฉวียนตั้งแต่อายุแปดขวบและฝึกฝนอย่างหนักทุกวันตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็สามารถเปลี่ยนหมัดเหล็กคู่นี้ให้กลายเป็นค้อนเหล็กได้แล้วแม้ว่าภายใ
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยอมแพ้ไม่ได้“ไอ้คนแซ่ฉู่ ถ้าแน่จริงก็ฆ่าฉันให้ตายซะ! ไม่งั้น ฉัน... ถึงตัวฉันจะแหลกเป็นผุยผง ก็จะลากแกลงไปด้วยกัน!”กัวเฟิงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำว่าปากแข็งจนถึงที่สุดคืออะไรฉู่เฉินก็ไม่ได้ถือว่ากัวเฟิงเป็นคนนอก ทันทีที่เขากล่าวจบ ก็เตะออกไปอีกครั้งผัวะ!ผัวะ!ผัวะ!ในไม่กี่นาทีต่อมา กัวเฟิงก็กลายร่างเป็นเจ้าชายฟุตบอลตัวน้อยและถูกฉู่เฉินเตะไปเตะมาในห้องโถงมากกว่าสิบครั้งเมื่อเห็นกัวเฟิงถูกฉู่เฉินเตะเหมือนลูกบอล เตะจนสภาพดูไม่ได้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตกตะลึงน่าสงสารเกินไปแล้ว!น่าสงสารจนทนดูไม่ได้เลย!เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเจ้าสำนักน้อยกัวที่มีสง่าราศี ตอนนี้แม้แต่เสียงร้องโอดโอยก็ยังสั่นเครือจนกระทั่งขณะนี้ ทุกคนจึงเข้าใจว่าวิธีการของฉู่เฉินนั้นโหดเหี้ยมเพียงใด!“สภาพอย่างคุณ ยังขาดคนเลียเท้าให้อีกเหรอ? ให้คุณมาเลียเท้าให้ผม ผมยังรู้สึกด้อยค่าเลย”ขณะฉู่เฉินกล่าว ก็ยกเท้าเตะกัวเฟิงไปยังพื้นที่ว่างตรงกลางห้องโถงอีกครั้งกัวเฟิงในขณะนี้ ม่ต้องพูดถึงการพูดเลย แม้แต่หายใจก็ยังลำบากเขานอนขดตัวอยู่ตรงนั้น เลือดท่วมตัว ราวกับสุนัขตายโดยไม่ขยับเขยื
“เป็นไปได้ยังไง?”ลั่วเสี่ยวเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มึนงงไปหมดทั้งตัวกัวเฟิงไม่เพียงเป็นเจ้าสำนักน้อยเท่านั้น ยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสร้างรากฐานขั้นที่แปดอีกด้วย ทำไมเขาถึงถูกฉู่เฉินเตะกระเด็นไป แม้กระทั่งยังไม่มีโอกาสได้ตอบโต้?ไม่เพียงแต่ลั่วเสี่ยวเทียนจะมึนงง สีหน้าของลั่วเทียนเต๋อก็ยังดูน่าเกลียดมากอีกด้วยฉู่เฉินไม่ใช่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่เจ็ดงั้นเหรอ?เขามีระดับต่ำกว่ากัวเฟิงหนึ่งระดับเล็ก ทำไมถึงสามารถบดขยี้และเหยียบย่ำกัวเฟิงได้อย่างง่ายดายแบบนี้?เรื่องนี้ดูจะขัดกับสามัญสำนึกไปบ้างหรือว่าเขาตาฝาดไปจริงๆ?หรือว่าบนตัวฉู่เฉินมีความลับอะไรซ่อนอยู่?ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาต่างตกตะลึงจนตาค้าง แม้แต่กัวเฟิงเองก็ยังมีสีหน้างุนงงเมื่อกี้เขาเห็นเพียงเงาที่พุ่งเข้ามาหา เขาแม้กระทั่งยังไม่ทันได้ตั้งตัว หน้าอกก็ถูกกระแทกอย่างแรงเมื่อเขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองถูกฉู่เฉินเหยียบอยู่ใต้เท้าแล้วแม่งเอ๊ย!นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ก็ได้สืบเรื่องของฉู่เฉินไว้แล้วและยังใช้เครือข่ายข่าวกรองของ ผ่านเครือข่ายข่าวกรองของหอการค้าก
มองไปทั่วทั้งมณฑล ใครจะกล้าทำให้สำนักในโลกแห่งการหยั่งรู้ขุ่นเคือง?ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เฉินยังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญอิสระไร้สำนัก กลับกล้าตบเขาเจ้าสำนักน้อยกัวต่อหน้าสาธารณชน?ในชั่วพริบตา เจตนาฆ่าก็แผ่ซ่านออกจากทั่วร่างของกัวเฟิง แม้แต่พื้นห้องโถงจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งใสราวคริสตัลฉู่เฉินเหลือบมองกัวเฟิงอย่างเย็นชา ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ผมก็เห็นแก่หน้าคุณแล้วไม่ใช่เหรอ สำนักเสวียนจี๋เล็กๆ คุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าสำนักน้อยจริงๆ งั้นเหรอ?”“อย่าว่าแต่คุณเลย แม้แต่เจ้าสำนักชิงอวิ๋นและเจ้าสำนักของวังเทียนเจี้ยนก็ไม่กล้าให้ผมเลียเท้าเขา คุณก็แค่สำนักไร้ชื่อ ใครแม่งให้คุณกล้าอย่างนี้!”เมื่อกล่าวคำเหล่านี้ออกมา แทบทั้งสนามก็ตกตะลึงสำนักชิงอวิ๋นและวังเทียนเจี้ยน นั่นถือเป็นสำนักใหญ่ทั้งคู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งวังเทียนเจี้ยนยังเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังหอการค้ากิเลน มองไปทั่วทั้งแดนมังกร ก็ไม่มีใครไม่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของวังเทียนเจี้ยนหรือฉู่เฉินคนนี้จะมีไพ่ตายที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ?โดยเฉพาะอย่างยิ่งลั่วเทียนเต๋อสองพ่อลูก ต่างจ้องฉู่เฉินด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง“คุณไม่กลัวพ
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งห้องโถงเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มหล่น ทุกคนต่างมองไปที่ฉู่เฉินด้วยความไม่เชื่อคนโง่ยังมองออกว่าตู้หรงเฉิงเป็นลูกน้องของกัวเฟิง ใครกันที่ให้ข่าวฉู่เฉิน ถึงกล้าตบลูกน้องของกัวเฟิงต่อหน้าแบบนั้น?แม้แต่หลินเยว่หรูและลั่วหัวเอ๋อร์ต่างก็ยังมองไปที่ฉู่เฉินด้วยความกังวลพวกเธอสองแม่ลูกก็ไม่คาดคิดว่าฉู่เฉินจะตอบโต้การยั่วยุของกัวเฟิงและตู้หรงเฉิงด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาแบบนี้แต่มีเพียงหลิงเสวี่ยเท่านั้นที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดื่มน้ำผลไม้ปพลาง ทานอาหารรสเลิศบนโต๊ะไปพลางตลกแล้ว เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเสวียนจี๋กล้าดียังไงมาทำตัวหยาบคายต่อหน้าฉู่เฉิน?ต้องรู้ไว้ว่าในวันนั้นที่วังเทียนเจี้ยน ผู้ที่ปกป้องฉู่เฉินไว้คือลู่ชิงเฟิงจากวังคุนหลุน!นั่นคือการดำรงอยู่ที่แม้กระทั่งวังเทียนเจี้ยนยังไม่กล้าเงยหน้ามอง สำนักเสวียนจี๋ไม่ต้องพูดถึงการทำอะไรฉู่เฉินเลย แค่แตะต้องเส้นผมของฉู่เฉินสักเส้น ทั้งสำนักก็ล้วนคุกเข่าลงประคองขึ้นมาให้ฉู่เฉินแล้ว“เห็นแก่หน้างั้นเหรอครับ?”ฉู่เฉินยิ้มและมองสำรวจกัวเฟิงที่นั่งอ้าขา วางเท้าข้างหนึ่งบนโต๊ะแล้วกล่าวอย่างดูถูก “คุณคิดว่าคุณเป็นอะไร คุ
พวกเขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพี่สะใภ้ใหญ่ถึงพาฉู่เฉินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงและยังให้ลั่วหัวเอ๋อร์มานั่งกับเขา นี่ไม่ใช่การสร้างปัญหาให้ตระกูลลั่วหรอกเหรอ?ในขณะนี้เอง ชายวัยกลางคนโต๊ะข้างๆ ก็ลุกขึ้นยืนและกระซิบกับฉู่เฉินว่า “คุณฉู่ครับคนที่ถามคุณเมื่อกี้คือเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเสวียนจี๋ครับ”ชายวัยกลางคนคนนี้คือลั่วเทียนเฉียงน้องชายคนที่สองของลั่วเทียนเต๋อ ซึ่งปกติมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทรัพย์สินของตระกูลลั่วเมื่อกี้เขาจับตามองฉู่เฉินอยู่ตลอด และเห็นว่าฉู่เฉินไม่มีท่าทีจะเข้าไปประจบประแจงกัวเฟิงแม้แต่น้อย จึงเริ่มนั่งไม่ติดและเดินเดินเข้าไปเตือนฉู่เฉินหนึ่งประโยคเมื่อสิ้นเสียงของเขา แขกที่โต๊ะรอบๆ ต่างก็หันมามองทางด้านฉู่เฉิน“รู้แล้วครับ”ฉู่เฉินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หยิบส้มกลีบหนึ่งเข้าปากและเคี้ยวอย่างช้าๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นไปคารวะเหล้าให้กัวเฟิงเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นฉากนี้ ลั่วเทียนเฉียงก็ขมวดคิ้วแล้วเร่งเร้าต่อว่า “คุณฉู่ครับ คุณไม่ลองเดินไปยกแก้วคารวะเจ้าสำนักน้อยสักแก้วล่ะครับ?”เมื่อกัวเฟิงได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มองไปที่ลั่วเทียนเฉียงที่เต็มไปด้วยสีหน้าไม
เห็นเพียงใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของกัวเฟิง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามโดยไม่ต้องโกรธเกรี้ยว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับสร้างรากฐานขั้นที่แปดต้องบอกว่าการเปิดตัวของกัวเฟิงครั้งนี้น่าประทับใจมากจริงๆดูมีแววเป็นจะเป็นราชาแห่งการอวดดีตลอดกาลอยู่ไม่น้อยท้ายที่สุดแล้ว กัวเฟิงก็อยู่ในสถานะเจ้าสำนักน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เกรงกลัวสิ่งใดในโลกมนุษย์และการอวดเก่งก็เป็นเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือเมื่อกัวเฟิงเดินเข้ามาในห้องโถงโดยเอาสองมือไพล่หลัง เหล่าแขกเหรื่อที่อยู่โดยรอบต่างทยอยลุกขึ้นยืน กำหมัดคารวะกัวเฟิงพร้อมกล่าวว่า “พวกเราขอทักทายเจ้าสำนักน้อย”กัวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เอามือไพล่หลังและเดินผ่านฝูงชนไปแม้แต่ฉู่เฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าซ้ำๆ การวางท่าของกัวเฟิงครั้งนี้ ต้องให้คะแนนเต็มเมื่อเห็นกัวเฟิงนั่งลงบนที่นั่งประธานด้วยความเย่อหยิ่ง และใช้สายตาเหยียดหยามมองไปยังผู้คนรอบข้างและกล่าวว่า “ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งครับ”บรรดาผู้มีอิทธิพลจากทุกสารทิศจึงทยอยนั่งลง แต่ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทายกัวเฟิง เพื่อให้เจ้าสำนักน้อยคุ้นหน
นี่…ลั่วเทียนเต๋ออ้าปากอย่างกระอักกระอ่วน กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตระกูลหลินมอบให้ เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหลินเทียนหยาง ลั่วเทียนเต๋อจะกล้าพูดคำว่าไม่ออกมาได้ยังไง?“ไม่...ไม่มีความเห็นครับ”แม้ว่าลั่วเทียนเต๋อจะโกรธจนแทบระเบิด แต่ทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธไว้และจ้องเขม็งไปที่ฉู่เฉิน ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด!“งั้นก็ดี”หลินเทียนหยางหัวเราะเยาะหนึ่งเสียงอย่างดูถูก จากนั้นหันไปหาหลินเยว่หรูและกล่าวว่า “น้องสาม เธอกับคุณฉู่เข้าไปก่อนเถอะ ฉันจะไปเดินเล่นหน่อย”กล่าวจบ หลินเทียนหยางก็กำหมัดให้ฉู่เฉินเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปทางภูเขาด้านหลัง“ไอ้คนแซ่ฉู่!”เมื่อเห็นฉู่เฉินและกลุ่มคนเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างสง่าผ่าเผย ลั่วเสี่ยวเทียนก็กำหมัดแน่นจนกระดูกลั่น แต่เขาก็ได้แต่โกรธแต่ไม่กล้ากล่าวออกมา!ฉู่เฉินหันศีรษะไปมองลั่วเสี่ยวเทียน แล้วยิ้มอย่างใจเย็นกล่าวว่า “ด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของผมกับหลินเยว่หรู คุณควรเรียกผมว่าพ่อทูนหัวถึงจะถูก”“เป็นบ้าอะไร แม่งเอ๊ย!”หลังจากได้ยินเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวเทียนก็แทบจะคลั่งเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว