เด็กหนุ่มเย่ซิวเรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ในหุบเขาและป่าลึก แต่ภายหลังกลับถูกหลอกให้จำใจต้องลงเขาไป ลำพังด้วยวิชาแพทย์ประกอบกับวรยุทธ์อันไร้เทียมทาน เขาก็สามารถบดขยี้คู่ต่อสู้และครองเมืองได้แล้ว
Lihat lebih banyakมีผู้อาวุโสบางคนพยายามใช้อาคมขับไล่ แต่ก็ไม่ได้ผล ได้ยินมาว่าทั้งแคว้นต่างก็เป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ”เย่ซิวพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหายวับไปปรากฏตัวที่ที่พักของเฉินเยียนจือเธอกำลังฝึกอาคมอยู่ในเรือน ตั้งใจฝึกอย่างจริงจังจนเหงื่อซึมทั่วร่างเย่ซิวเปลี่ยนรูปลักษณ์ทันที ปลดปล่อยพลังระดับสูงออกมา ก่อนจะตบฝ่ามือลงไปที่เฉินเยียนจือพร้อมกับแสร้งหัวเราะว่า “สาวน้อยที่ไหนกันเนี่ย มาให้ฉันชิมหน่อยสิ”เฉินเยียนจือตกใจไปหนึ่งจังหวะ แต่ไม่นานก็ใจเย็นลง นอกจากจะไม่หลบหนีแล้ว แต่ยังอ้าแขนออก ทำท่าทางเหมือนพร้อมจะให้เขาแตะต้องเต็มที่ฝ่ามือของเย่ซิวหยุดลงก่อนจะสัมผัสตัวเธอ เขาถอนพลังกลับแล้วคืนรูปลักษณ์เดิม ก่อนจะดันร่างเธอไปจนชิดมุมกำแพง “รู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”เขานึกว่าวิชาอำพรางของตัวเองแนบเนียนแล้ว เฉินเยียนจือเป็นแค่เด็กสาวธรรมดา ไม่น่าจะดูออกเฉินเยียนจือยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ก็ฉันรู้จักนายดีขนาดนั้น จะจำผิดได้ยังไงกัน แค่ใช้สัญชาตญาณก็ดูออกแล้วล่ะ ฉันเก่งไหม มีรางวัลให้ฉันไหม”ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังเย่ซิวแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “เธออยากได้รางวัลแบบไหนล่
การบุกโจมตี อาวุธป้องกันร่างกายมีครบแล้ว แต่ยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือของป้องกันจิตวิญญาณเย่ซิวค้นหาในแหวนผนึกของของตัวเองอีกครั้ง แล้วก็หยิบเอาสมบัติเวทมนตร์ออกมาอีกสิบกว่าชิ้น แจกให้สิงโตหยกขาวตัวละสองชิ้นชิ้นหนึ่งไว้สำหรับป้องกันจิตวิญญาณ อีกชิ้นหนึ่งไว้สำหรับหลบหนีในตอนนี้พวกมันก็แทบไม่มีจุดอ่อนอะไรเหลืออีกแล้ว ถ้าสิงโตหยกขาวทั้งแปดตัวร่วมมือกันลงมือ แม้แต่คนระดับปฐมญาณขั้นสมบูรณ์ก็ยังรับมือไม่ไหวเย่ซิวเผยรอยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นก็หยิบป้ายขึ้นมา แล้วส่งเสียงผ่านจิตไปหาหลัวเวยเวยให้เธอไปยื่นคำขอเพื่อเลื่อนระดับสำนักอวิ้นหลิงจากระดับเจ็ดขึ้นเป็นระดับหกแต่หลัวเวยเวยกลับขอให้เขารออีกสักหน่อย“ทำไมล่ะ?”“อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันจัดการประลองของศิษย์รุ่นเยาว์จากทั้งหกสำนักระดับเจ็ดแล้ว นายก็น่าจะรู้นี่”“ผมรู้”“การประลองครั้งนี้จัดขึ้นโดยสำนักระดับหกขั้นสูงสุดแห่งหนึ่ง จุดประสงค์ของพวกเขาคือเลือกเฟ้นศิษย์ที่มีพรสวรรค์และพลังฝีมือสูงจากแต่ละสำนักไปฝึกฝนเพิ่มเติมอีกไม่นานก็จะเริ่มแล้ว ถ้าเรายื่นขอเลื่อนระดับในตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้พวกเขาไม่พอใจได้ เพราะถ้ามองจา
ดวงตาของเย่ซิวเป็นประกายสว่างวาบด้วยสายตาระดับเขา แน่นอนว่าสามารถมองออกได้ทันทีว่าสิงโตหยกขาวทั้งแปดตัวนี้ ถึงแม้ระดับพลังจะไม่สูงมาก ก็แค่ระดับปฐมญาณทั่วไปเท่านั้นแต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกมันนั้นกลับอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เทียบได้กับสมบัติเวทมนตร์ระดับสุดยอดแล้วนั่นหมายถึงอะไรน่ะเหรอ?ก็คือต่อให้พวกมันยืนนิ่ง ๆ แล้วให้ศัตรูในระดับเดียวกันเข้ามาโจมตีสุดแรงเกิด ก็ยังอาจไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ กับร่างกายของพวกมันได้เลยเย่ซิวสั่งให้พวกมันใช้ฝ่ามือตบใส่ตัวเขาแบบเต็มแรงทีละตัวพละกำลังของร่างกายเกือบจะสี่ล้านเข้าไปแล้วนี่ก็ผิดปกติถึงขีดสุดแล้วด้วยพลังป้องกันและพลังโจมตีทางกายภาพระดับนี้ แม้แต่สัตว์วิญญาณระดับนักบุญหรือปีศาจบางตัว ต่อให้อยู่ในระดับเท่ากันก็อาจเทียบพวกมันไม่ได้เลยสัตว์วิญญาณระดับปฐมญาณนั้นมีความสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วในชั่วพริบตานั้นเอง ร่างของพวกมันก็กลายเป็นหญิงสาวรูปร่างบอบบางทั้งแปดคนผมยาวสีขาวนวลราวหยกขาวนั้นดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่งรูปร่างร้อนแรง ขาเรียวยาว เอวคอดบางจนน่าตกใจ แต่จุดที่สะดุดตามากที่สุดคือส่วนหน้าอกพูดให้เข้า
หลังจากกระบี่หงส์โบยบินดูดซับพลังมหาศาลจากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์กว่าหมื่นชิ้นแล้ว มันก็เริ่มส่องประกายวูบวาบ และกลายร่างเป็นหญิงสาวคนหนึ่งอย่างน่าเหลือเชื่อภายใต้การจับจ้องของเย่ซิว เธอคือหญิงสาวที่ทั่วร่างห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิง และมีปีกหงส์เพลิงโบกสะบัดอยู่เบื้องหลังรัศมีอันสูงศักดิ์แผ่ออกมาจากตัวเธออย่างเหลือล้นเย่ซิวเบิกตาเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังชีวิตจากร่างกายของอีกฝ่ายเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อก่อนหน้านี้มันก็เป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น“เฟยหวงขอคารวะนายท่าน”หญิงสาวคำนับให้อย่างสง่างาม แต่เสียงของเธอกลับเย็นเยียบและแข็งกระด้างเย่ซิวกลบความประหลาดใจไว้ในใจ แล้วถามขึ้นว่า “เธอเป็นมนุษย์เหรอ?”“ข้าเคยเป็นองค์หญิงแห่งเผ่าหงส์ แต่ภายหลังประสบหายนะ จึงถูกคนหลอมกลายเป็นกระบี่วิเศษหากจะพูดให้ถูกคือ เคยเป็นคน แต่ตอนนี้เป็นเพียงอาวุธชิ้นหนึ่งเท่านั้น”“แล้วทำไมเธอถึงมีคลื่นพลังชีวิตล่ะ”“ต้องขอบคุณนายท่านที่ให้อาหารมากมายขนาดนี้ ทำให้วิญญาณของข้าฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย จึงกระตุ้นคลื่นพลังชีวิตได้อีกคร
เหมียวเหวินเหวินได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็รีบลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเย่ซิว แววตาของเธอก็ปรากฏแววดีใจวาบผ่าน ก่อนจะโค้งตัวลงคำนับลึกหนึ่งทีเสื้อผ้าที่เธอสวมในคืนนี้หลวมมาก การโค้งตัวลงครั้งนี้จึงเผยให้เห็นทิวทัศน์งดงามเฉพาะมุมเสี่ยวโหรวมีสีหน้าเยือกเย็นทันที พลางสบถในใจว่านางตัวดีจากนั้นก็หันไปต้อนรับเย่ซิวด้วยท่าทีอ่อนโยน เสิร์ฟน้ำชา ของว่าง ถอดรองเท้าให้ด้วยตนเอง แล้วรีบวิ่งไปตักน้ำอุ่นให้เขาอาบเย่ซิวส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างอดไม่ได้เสี่ยวโหรวนั้นดีไปเสียทุกอย่าง ข้อเสียเดียวก็คือขี้หึงมากไปหน่อยแต่ก็เข้าใจได้ ผู้หญิงที่ไหนไม่ขี้หึงบ้างล่ะส่วนเหมียวเหวินเหวินก็ยืนอยู่ด้านหลังเย่ซิวอย่างว่าง่าย และค่อย ๆ บีบนวดบ่าให้เขาอย่างอ่อนโยนเย่ซิวหลับตาพริ้มอย่างสบายใจเขาต่อสู้ลำบากอยู่ข้างนอก พยายามพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่หรือไงหลังจากเหมียวเหวินเหวินนวดไปได้สักพัก เย่ซิวก็เริ่มถามถึงกำไรของร้านขายโอสถในช่วงที่ผ่านมาร้านสาขาต่าง ๆ เปิดให้บริการไปแล้วหลายแห่ง เริ่มเดินหน้าอย่างมั่นคง ทำให้กำไรค่อนข้างงอกเงยจุดเดียวที่ยังมีปัญหาคือจำนวนโอสถซ
“สาเหตุที่ครั้งนี้เรามาช่วยได้ทันเวลานั้น เป็นเพราะผู้ชายคนหนึ่ง เขา…”เฉินอิ๋งอิ๋งจึงเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาอย่างละเอียดในใจแอบคิดว่า ไม่ได้เอ่ยชื่อนายสักหน่อย ก็ถือว่าไม่ได้ผิดคำพูดสินะ?เธอลอบชมตัวเองในใจสำหรับความเฉลียวฉลาดของตนหลังจากฟังจบ คนของสำนักสหัสราคะทั้งตำแหน่งสูงและต่ำต่างก็รู้สึกสนใจชายหนุ่มในเรื่องของเฉินอิ๋งอิ๋งขึ้นมาอย่างมากแม่ของเฉินอิ๋งอิ๋งยิ้มออกมาทันที “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ชายคนนั้นก็มีพระคุณกับเรามากนะ ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเขาเข้ามาอยู่กับพวกเราซะเลย ให้มาเป็นลูกเขยเลยดีไหม”เฉินอิ๋งอิ๋งยิ้มมุมปาก “ฟังดูเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”เจ้าสำนักเอ่ย “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้ทุกคนพักตรงนี้ก่อนหนึ่งชั่วโมงจากนั้นจะมีบางส่วนติดตามฉันไปบุกสำนักหมื่นพุทธะและสำนักผลึกแก้ว เรื่องนี้ยังไม่จบหรอกนะ”ทุกคนรับคำพร้อมเพรียงกัน……“ดีจังเลยที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย”เมื่อหลัวเวยเวยเห็นเย่ซิวกลับมา หัวใจที่กังวลมาหลายวันก็คลายลงเสียทีเย่ซิวยิ้ม “ช่วงที่ผมไปไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม”หลัวเวยเวยส่ายหน้า “ไม่มี ทุกอย่างดีหมดเลย แต่ฉันคิดถึงนายมากจริง ๆ”เย่ซิวมองเ
Komen