ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมา เฉียวเนี่ยนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่นางก็ไม่แสดงอาการลนลานออกมาแม้แต่น้อย คิดเพียงแต่ว่า แม้สถานที่นี้จะอยู่ติดกับที่พักของฮองเฮา เพียงแค่มีผนังกั้นกลาง หากพูดคุยกันในเรือน ผู้คนในตำหนักของฮองเฮาก็ย่อมได้ยินชัดทว่าดมื่อคืน นางกับเมิ่งอิ้งจือพูดคุยกันอยู่ในห้อง ต่อให้ฮองเฮายืนอยู่กลางเรือน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเพราะฉะนั้น คำพูดขององค์หญิงซูหยวนคงไม่ใช่ได้ยินมาจากฮองเฮา หรือคนข้างกายฮองเฮา แต่เป็นนางกำนัลที่คอยปรนนิบัตินางกับเมิ่งอิ้งจือต่างหากในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังมีโอกาสที่จะแก้ต่างได้ทันใดนั้น นางจึงน้อมคารวะต่อองค์หญิงซูหยวนแล้วกล่าวอย่างเคารพ “ขอทูลองค์หญิง เมื่อคืนหม่อมฉันกับคุณหนูเมิ่งหาได้พูดคุยอะไรสำคัญไม่ เพียงแต่คุณหนูเมิ่งไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมใหม่ หลับไม่สนิท จึงมาหาหม่อมฉันเพื่อให้ปลอบให้หลับเท่านั้นเพคะ”องค์หญิงซูหยวนปรายตามองเฉียวเนี่ยนนางกำนัลที่มากราบทูลเรื่องดังกล่าวกับองค์หญิงก็ไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกัน เพียงแต่บอกว่าอยู่ด้วยกันนานพอสมควร แต่หากว่าเฉียวเนี่ยนปลอบให้เมิ่งอิ้งจือนอนหลับ และเมิ่งอิ
เมิ่งอิ้งจือเบิกตากว้างทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตระหนกกลัว “ปะ เป็นไปไม่ได้...”เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้เรื่องพิษเยือกมรณะอะไรนั่นจริงๆเฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว “ต้องเป็นเพราะพ่อของท่านผสมพิษเยือกมรณะลงในพิษสลายกระดูกแน่ ท่านไม่รู้ก็ไม่แปลก เขาตั้งใจจะหลอกท่านอยู่แล้ว...”เมื่อได้ยินดังนั้น น้ำตาของเมิ่งอิ้งจือก็ร่วงหล่นไม่หยุดกลับได้ยินเฉียวเนี่ยนเอ่ยถาม “แต่ว่า พ่อของท่านต้องมียาถอนพิษอยู่แน่ ท่านลองคิดดูให้ดีว่ามีวิธีไหนจะเอายาถอนพิษจากมือเขามาได้บ้าง?”เมิ่งอิ้งจือพยายามสูดหายใจลึกๆ จึงพอจะกลั้นเสียงสะอื้นไว้ได้ “พ่อข้า พ่อข้ามีช่องลับอยู่ในห้องหนังสือ พิษสลายกระดูกก็เป็นของที่เขาหยิบออกมาจากช่องลับนั้น! แต่ข้าไม่รู้ว่ายาถอนพิษจะอยู่ในช่องลับนั้นด้วยหรือไม่ คงต้องลองไปหา”การจะไปหานั้น สิ่งแรกที่เมิ่งอิ้งจือต้องทำคือ การกลับไปยังตระกูลเมิ่งให้ได้ และกระทั่งต้องเข้าไปถึงในห้องหนังสือของใต้เท้าเมิ่งด้วย!เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้ท่านพักอยู่ในวัง จะกลับไปตระกูลเมิ่งได้ก็ต้องรอให้หายป่วยเสียก่อน แต่ใต้เท้าเมิ่งต้องสงสัยแน่ว่าท่านผูกใจเจ็บเรื่องที่ถูกหลอกให้แต่งงานในวันนั้น
เฉียวเนี่ยนมั่นใจอย่างมาก ว่าเมิ่งอิ้งจือในตอนนี้มีสติแล้วจึงนั่งลงข้างๆ ทันที มองนางแล้วถามว่า “คุณหนูเมิ่งจำข้าได้หรือไม่?”“คุณหนูเฉียว เป็นหมอหญิงที่พาข้าออกจากคุกนรกของตระกูลวั่น”คำตอบของเมิ่งอิ้งจือเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า ตอนนี้นางมีสติจริงๆแต่เฉียวเนี่ยนกลับไม่เข้าใจ ว่าทำไมเมิ่งอิ้งจือที่ตอนกลางวันยังเหม่อลอยอยู่ดีๆ ถึงได้หายดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณหนูเมิ่ง เมื่อครู่ได้กินหรือดื่มอะไรหรือไม่?”นางคิดว่า หรือว่าจะมีเซียนลึกลับในวัง แอบให้เมิ่งอิ้งจือกินยาในตอนที่นางไม่ทันสังเกต?แต่ไม่คาดคิดว่า เมิ่งอิ้งจือกลับส่ายหน้าช้าๆ “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาตลอด กลางคืนจะมีสติมากหน่อย และจะจำเรื่องที่เกิดในตอนกลางวันได้ด้วย”ห้าปีที่ผ่านมา เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดและเพราะเมิ่งอิ้งจือมีสติในเวลากลางคืน ทำให้นางจำได้ว่าเฉียวเนี่ยนมารักษานาง ดังนั้นตอนที่เหม่อลอยอยู่จึงยังจำเฉียวเนี่ยนได้สำหรับเฉียวเนี่ยนแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรจากเรื่องน่ายินดีที่ฟ้าประทานมาแต่ในตอนนี้ นางกลับไม่มีเวลายินดีนัก จึงเพียงลดเสียงลงแล้วถามว่า “เช่นนั้น ข้าขอถามคุณหนูเมิ่งหน่อยเถิด ที่ท่า
แต่เฉียวเนี่ยนเพิ่งจะรู้สึกตัวตอนที่เห็นเมิ่งอิ้งจือข่วนองค์หญิงซูหยวนเมื่อครู่นี้ ว่าเล็บของเมิ่งอิ้งจือไม่ได้ไว้เพื่อความสวยงามนางไว้เพื่อป้องกันตัวในตระกูลวั่นซึ่งแม้จะร้องเรียกฟ้าก็ไม่อาจได้ยิน ร้องเรียกแผ่นดินก็ไม่มีผู้ตอบสนองนั้น บางทีเล็บยาวทั้งสิบนี้ก็คืออาวุธที่สามารถปกป้องตัวนางได้คิดมาถึงตรงนี้ เฉียวเนี่ยนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วข่มความสงสารที่ไร้ประโยชน์ลงไปในใจเฉียวเนี่ยนค่อยๆ ตัดเล็บของเมิ่งอิ้งจือออกอย่างระมัดระวังทีละนิด โดยเริ่มจากนิ้วโป้งข้างซ้ายตัวเองไม่มีความแข็งแกร่ง ต่อให้เล็บยาวแค่ไหนก็ไม่อาจปกป้องตัวเองได้อย่างรอบด้านรอเมิ่งอิ้งจือฟื้นตัวขึ้นมา บางทีนางอาจจะหาพบอาวุธที่ดีกว่า แข็งแกร่งยิ่งกว่าดังนั้นตัดไปเสียเถอะ!ในกลางดึกเฉียวเนี่ยนนอนอยู่บนเตียง เวลาผ่านไปยาวนานนักก็ยังไม่หลับและไม่ใช่เพราะเตียงไม่สบาย ในตำหนักของฮองเฮา ไหนเลยจะมีของที่คุณภาพไม่ดี?และก็ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนสถานที่หลังจากผ่านการฝึกฝนที่กรมซักล้างแล้ว นางจะยังมีความอ่อนไหวแบบนั้นได้อย่างไร?อย่าว่าแต่วันนี้ได้เปลี่ยนมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายเลย ต่อให้เป็นเตียงไม้ผุเก่า
สิ่งที่องค์หญิงซูหยวนได้ยิน ทำให้รู้สึกว่าขณะนี้เฉียวเนี่ยนนับว่าอ่อนน้อมมากแล้วดังนั้นนางจึงเชิดคิ้วขึ้นอย่างพึงพอใจ ไม่กล่าวสิ่งใดอีกได้ยินเพียงฮองเฮาตรัสว่า “วันนี้เราเพิ่งให้พาอิ้งจือมาอยู่ดูแล แต่แล้วเจ้าก็จะสั่ังตัดมือของนาง หากเสด็จพ่อของเจ้ารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะลงโทษเรายังไง! เจ้าบอกมาสิ ว่าเจ้ากำลังคิดก่อเรื่องใช่หรือไม่?!”น้ำเสียงของฮองเฮาค่อนข้างจะเข้มงวดองค์หญิงซูหยวนดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วก็จ้องฮองเฮาด้วยแววตาน้อยใจ “เสด็จแม่ ลูกเพียงแค่โมโหชั่วขณะ! ตั้งแต่เล็กจนโต แม้แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ยังไม่เคยตีลูกเลย!”ระหว่างที่พูด น้ำตาขององค์หญิงซูหยวนก็ไหลลงมาในฐานะเสด็จแม่ของนาง ฮองเฮาก็รู้สึกสงสาร รีบยื่นมือออกไป “เร็ว มานี่มา ให้แม่ดูหน่อย!”องค์หญิงซูหยวนรีบโน้มตัวเข้าไป พลางร้องออดอ้อนว่า “เสด็จแม่ดูสิเพคะ ใบหน้าของลูก...”แล้วก็เห็นว่าใบหน้าขาวผ่องขององค์หญิงซูหยวนมีรอยเลือดเส้นหนึ่งที่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษทำให้ฮองเฮาขมวดคิ้วขึ้นทันที “ทำไมถึงได้รุนแรงอย่างนี้? ใครก็ได้! รีบไปเรียกหมอหลวงมา!”มีเลือดออกแล้ว หากเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมา ไม่เท่ากับว่าเสียโฉ
นางไม่คาดคิดเลยว่าเมิ่งอิ้งจือจะมีปฏิกิริยาไวต่อชื่อของท่านพี่เซียวถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ก็แค่ได้ยินสองคำนี้จากปากขององค์หญิงซูหยวน นางกลับเริ่มร้องเรียกขึ้นมาอีกแล้วหากฮองเฮากับองค์หญิงซูหยวนพาลโกรธท่านพี่เซียวขึ้นมาจะทำอย่างไรดี?องค์หญิงซูหยวนก้าวเข้ามา ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง ดูท่าทีเอ๋อๆ เซ่อๆ แต่กลับมีปฏิกิริยาแค่กับเซียวเหอเพียงคนเดียว หรือว่าทั้งหัวใจเจ้าตอนนี้มีแต่เซียวเหอ?!”เมิ่งอิ้งจือไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่องค์หญิงซูหยวนพูดหมายถึงอะไร สำหรับนางแล้ว ตรงหน้านี้ก็มีแต่ความขาวพร่าไปหมด มีเพียงชื่อเดียวที่ชัดเจนเป็นพิเศษ“เซียวเหอ… เซียวเหอ…”นางอดไม่ได้ที่จะพึมพำเบาๆ ขึ้นมาเห็นดังนั้น องค์หญิงซูหยวนก็ยิ่งโกรธจัด ก้าวเร็วๆ เข้าหาเมิ่งอิ้งจือ ยกมือขึ้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ฟาดฝ่ามือลงไปอย่างแรง “ข้าบอกให้เจ้าหยุดเรียก!”เฉียวเนี่ยนถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ “องค์หญิงเพคะ!”เพียงแต่ไม่ว่าจะร้องว่าอะไรก็สายไปเสียแล้วเสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังกังวาน ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ผ่าเข้าไปในเส้นประสาทเส้นหนึ่งในสมองของเมิ่งอิ้งจืออย่างแม่นยำนางกรี