“ไทเฮา” เสียงร้องด้วยความตระหนกของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง“หมอหลวง เร็ว ตรวจพระอาการเร็วเข้า” ซิวหรงหันไปตะโกนเร่งรัดทันทีหมอหลวงรีบตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว “หายพระทัยตื้น หลอดลมตีบ อาการแพ้กำเริบอย่างรุนแรงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเหตุใดไม่รีบรักษาอีกเล่า” ไป๋ลี่เยว่เอ่ยทักท้วง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจ สีหน้าของนางเคร่งเครียด และจะรีบเข้าไปช่วย ไทเฮาที่นอนแน่นิ่ง สีพระพักตร์ซีดเผือด ริมพระโอษฐ์เขียวคล้ำราวถูกบีบลมหายใจจากภายใน แต่ซิวหรงกลับแทรกขึ้นก่อนด้วยเสียงแหลมสูง“หยุดอยู่ตรงนั้นเถอะเพคะพระชายา พระองค์อย่าทรงยุ่งเลย ท่านหมอหลวงมีความรู้เป็นเลิศ พระชายาคงไม่คิดจะแทรกแซงวิธีรักษาหรอกกระมัง”“ข้าไม่ได้”ซิวหรงก้าวมาขวางหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล “ท่านทำถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะกล้าแตะต้องพระวรกายไทเฮาอีกหรือเพคะ”“ท่านถอยไปเถอะเพคะ” ซิวหรงมองนางด้วยดวงตาวาวโรจน์“ไม่แน่ว่าท่านนี่แหละที่วางแผน หรือกลัวความจริงจะปรากฏ เลยรีบเข้ามาแสร้งช่วย”ไป๋ลี่เยว่ถึงกับชะงัก รู้สึกเหมือนถูกฟาดด้วยแส้ “ข้าไม่เคย”“พอเถอะ เยว่เอ๋อร์ ถอยออกมาก่อน” หลงเจิ้งหยางร้องแทรกขึ้นอย่างร้อนใจ มองไป๋ลี่เยว่ด้วยแววตาที
แต่ท่ามกลางความวุ่นวาย ซิวหรงกลับก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาลังเลราวกับไม่อยากเอ่ยคำใด หากก็จำต้องทำเพื่อความปลอดภัยของไทเฮา“เมื่อครู่ ไทเฮาเพิ่งเสวยขนมที่พระชายาทูลถวายไปพอดีเจ้าค่ะท่านหมอ” นางแจ้งแก่หมอหลวงไป๋ลี่เยว่ที่ยังนั่งอยู่เบื้องหน้า ถึงกับหน้าถอดสี นางรีบจะลุกเข้าไปพยุงพระวรกายด้วยความห่วงใย“พระพันปีเพคะ หม่อมฉัน”แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ร่างหนึ่งก็ยืนขวางไว้เสียก่อน ชายเสื้อแพรสีม่วงอ่อนสะบัดเบา ๆ พลันร่างของซิวหรงก้าวออกมาขวาง ใบหน้าที่ยิ้มละไมที่เคยแสดงต่อหน้าไทเฮาหายไป เหลือเพียงแววตาคมเฉียบและริมฝีปากที่กดเป็นเส้นตรง“พอเถอะเพคะ พระชายา” เสียงนางดังขึ้น จนก้องกลางห้องรับรอง“ท่านยังคิดจะเข้ามาทำการใดอีกหรือ จะมาใส่ยาซ้ำหรือต้องการดูให้แน่ใจว่าไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้วด้วยตาตนเอง”ไป๋ลี่เยว่ชะงักกึก แววตาตกใจฉายวาบขึ้นทันที“ซิวหรงเจ้าพูดอะไรออกมา เจ้ากล่าวหาข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าก็เป็นห่วงไทเฮา ไม่มีทางทำสิ่งต่ำทรามเยี่ยงนั้นเด็ดขาด”“ห่วงรึ หึ” ซิวหรงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงคล้ายเย้ยหยัน“ถ้าพระชายาห่วงจริง เหตุใดขนมที่พระองค์ทำเองกับมือถึงทำให้ไทเฮาทรงอาการแพ้
ภายในตำหนักฉือหนิง แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง คลุกเคล้ากลิ่นหอมของดอกเหมยแห้งที่วางอยู่ในถ้วยหยกข้างที่ประทับ ไทเฮาทรงประทับอยู่กลางห้องด้วยพระพักตร์อิ่มเอิบ ดวงเนตรทอดมองออกไปยังสวนที่พลิ้วไหวด้วยสายลมอ่อน “ซิวหรง” พระสุรเสียงนุ่มนวลดังขึ้น พลางหันพระพักตร์ไปยังสตรีผู้ยืนอยู่ด้านข้าง “เพคะ ไทเฮา” ซิวหรงยอบกายรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานเช่นเคย “ช่วงบ่ายพระชายาสามกับองค์ชายน้อยจะมาทูลลาข้าก่อนกลับจวนในวันนี้ เจ้าไปเตรียมของขวัญไว้ให้พวกเขาด้วยเถิด ขนมที่องค์ชายน้อยโปรด แล้วก็กล่องหยกขาวแกะลายดอกเหมยที่ข้าเก็บไว้ในห้องเครื่องลับนั่นเตรียมเอาออกมาให้พระชายาด้วย” ซิวหรงชะงักไปชั่วครู่ ความแปลบวาบแล่นขึ้นในอก กล่องหยกขาวที่ไทเฮาทรงเก็บรักษาไว้มิยอมยกให้ใครแม้แต่ข้าคนที่ใกล้ชิดที่สุด ในนั้นมีผ้าคลุมไหล่ไหมบางจากเมืองซูโจวที่หายากยิ่ง ซิวหรงเห็นครั้งแรกก็ถูกใจและหวังว่าสักวันไทเฮาจะประทานให้นาง แต่กลับจะมอบให้นางผู้นั้น “นอกจากนี้” ไทเฮายกพระหัตถ์ชี้ไปยังกล่องไม้หอมเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ “เครื่องประดับผมทองคำฝังไข่มุกชุดนั้น ของหมั้นที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยมอบให้ข้าเมื่อยังเยาว์วัย ข้าอ
หลงเจิ้งหยางยืนมองแผ่นหลังของพระชายากับพระโอรสที่กำลังเดินห่างออกไปทุกที ราวกับหัวใจของเขาจะหลุดตามไปด้วย ขายาวก้าวรีบตามไป มือที่ยื่นออกไปกลางอากาศสั่นเล็กน้อย เสียงในใจร่ำร้องอยากรั้งนางไว้ อยากไขข้อข้องใจเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นระแนงไม้ เสียงขององครักษ์ก็ดังขึ้นจากด้านหลังอย่างเร่งร้อน “ทูลองค์ชาย ฝ่าบาททรงรับสั่งให้พระองค์รีบเข้าเฝ้าโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีราชกิจเร่งด่วนจะปรึกษาเกี่ยวกับชายแดนทางตะวันตก” หลงเจิ้งหยางชะงักไปในพริบตา สองคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันกลับมามององครักษ์ด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจแล้ว” มือที่ยื่นออกไปค้างกลางอากาศค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ เขาหันกลับไปมองทิศทางที่ไป๋ลี่เยว่เพิ่งจากไปอีกครั้ง ร่างของนางลับหายไปหลังแนวต้นเหมยเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกลีบดอกสีชมพูอ่อนที่ปลิวร่วงตามลม และความว่างเปล่าเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในใจ “เยว่เอ๋อร์” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับอยากฝากชื่อของนางไปกับอากาศ ดวงตาคมยังจับจ้องไปยังจุดสุดท้ายที่นางเดินลับหายไป แม้ภายนอกเขาจะดูสงบมั่นคงเช่นเคย แต่ภายในกลับมีคลื่นความรู้สึก
ซิวหรงเดินจากมาอย่างสง่างาม แต่ในอกกลับเดือดพล่านนางกัดฟันแน่น ดวงตาฉ่ำวาวราวจะคลอด้วยหยาดน้ำ'บานเพื่อดอกเหมยอีกดอกหนึ่งอย่างนั้นหรือ'มือบางบีบชายแขนเสื้อแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะจิตใจแผดเผาด้วยทั้งความริษยาและความหวังที่ยังไม่ยอมมอดดับลงง่าย ๆแต่แล้ว ในห้วงขณะที่นางกำลังจมอยู่กับความคิดอันปวดร้าว สายตากลับเหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาทางด้านข้างของสวน สตรีผู้เป็นเงาในใจขององค์ชายสาม ผู้เดียวที่เขาเอ่ยว่า “ใจของเขาเบ่งบานเพื่อ”เสื้อคลุมขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบไว้อย่างเรียบง่าย ท่วงท่าแม้จะเงียบสงบ แต่กลับสง่างามเกินกว่าใครจะละสายตาได้ไป๋ลี่เยว่ดวงตาของซิวหรงพลันวาววับในบัดดล ริมฝีปากนางคลี่ยิ้มจาง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ หยุดฝีเท้าลง พลิกกายเล็กน้อยเข้าหาทิศทางลมที่พัดโชยมา ปลายนิ้วเรียวแตะที่หางตา แล้ว…“อ๊ะ”เสียงตกใจเบาๆ ดังขึ้น ขณะร่างบางเอนเอียงเล็กน้อย มือเรียวยกขึ้น ปลายนิ้วกดปิดดวงตาราวกับกำลังเจ็บแสบจนลืมไม่ขึ้น“องค์ชายสาม หม่อมฉันขออภัยเพคะ อยู่ๆ ก็เหมือนมีฝุ่นปลิวเข้าตา ชะ ช่วยหม่อมฉันด้วย”น้ำเสียงสั่นไหว เจือความตื่นตกใจของนางเรียกให้หลงเจิ้งหยางชะงัก และหันขวับทันที
“ขอถวายพระพรเสด็จย่า และถวายพระพรเสด็จแม่”เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนดังขึ้นจากหน้าประตูตำหนักฉือหนิง ดึงทุกสายตาให้หันไปมอง ร่างสูงสง่าในฉลองพระองค์สีกรมท่าปักลายมังกรสีเงินปรากฏขึ้น ขายาวก้าวเข้ามาอย่างมั่นคง ใบหน้าคมคายของหลงเจิ้งหยาง ยังคงนิ่งดูเคร่งขรึมตามนิสัย ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับทอประกายเมื่อได้เห็นภาพของพระชายาและพระโอรสนั่งเคียงกันเบื้องหน้าพระมารดา“เจิ้งหยาง เจ้าก็มาหรือ” ไทเฮาแย้มพระโอษฐ์ทักทายด้วยความปลื้มปีติ“วันนี้ ช่างเป็นวันดียิ่งนักลูกหลานพร้อมหน้ามาเยี่ยมข้า ข้ากำลังชมพระชายาของเจ้ากับเหลนน้อยอยู่พอดี”“เสด็จย่าทรงชอบไหมพ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางยิ้มบาง ขณะคุกเข่าลงข้างพระชายาอย่างสุภาพ แววตาที่ทอดมองนางอ่อนโยนเกินกว่าจะปิดบัง“แน่นอนสิ เจ้าไม่มาให้ทันฟังคำชมก็พลาดแล้ว เหลนของข้าเฉลียวฉลาดนัก เจ้าได้เห็นหรือยัง ว่าเหมือนใคร”หลงเจิ้งหยางหัวเราะเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ขณะปรายตามองเด็กแสบที่นั่งยืดอกอย่างภาคภูมิ“จิ่นอวิ๋นเก่งเช่นนี้ คงได้มาจากท่านแม่ของเขาเป็นส่วนมากพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำของเขาชวนให้ทุกคนในตำหนักเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้แต่ก่อนที่บรรยากาศจะหวานละมุน