นางขอสมรสพระราชทานเพราะรัก แต่คืนแต่งงาน เขารังเกียจนางและทิ้งไป ห้าปีผ่านไปพระชายาที่ถูกลืม กลับเป็นสตรีที่เขาต้องตามจีบ และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือลูกชายของตนเอง
Узнайте больше“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว”
“ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”
สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน
เสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋
ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง
“เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”
พระราชวังถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงสดปักลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยคลุ้งอ้อยอิ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น ขุนนางและเหล่าสตรีในวังต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่ภายใต้ความโอ่อ่าหรูหรานี้ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ล้วนมิใช่มาเพราะความปีติยินดีเสมอไป หากแต่เป็นเพราะหลายคนอยากรู้อยากเห็น และมาด้วยความเย้ยหยัน ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่เพราะความรัก แต่มันคือผลลัพธ์จากการร้องขอสมรสพระราชทานของสตรีผู้หนึ่ง สตรี ที่ไม่มีผู้ใดคิดว่านางคู่ควร
“เจ้าสาวขององค์ชายสามงั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก”
“แม้ไป๋ลี่เยว่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่นางก็อ้วนเกินไป เจ้าสาวที่รูปร่างเช่นนั้น คงเป็นเพียงตัวตลกในงานแต่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง องค์ชายสามคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน รูปร่างสง่างามราวกับเทพเซียน แล้วดูเจ้าสาวของพระองค์สิ ข้าละอายแทนจริงๆ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในงานต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ใต้แขนเสื้อ ไม่มีใครคิดว่าสตรีที่มีรูปร่างเช่นนี้จะคู่ควรกับองค์ชายสาม
“พระชายาไป๋ผู้นี้ช่างโชคดีนัก ได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายสาม”
“โชคดีหรือ หึ ถ้านางไม่ไร้ยางอายขอสมรสพระราชทาน คนอย่างนางก็เป็นได้แค่หมูอ้วนไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว รูปร่างเช่นนั้นจะคู่ควรกับองค์ชายสามได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มขุนนางสตรี สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันเจ้าสาวของงาน
“ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นคนขอสมรสพระราชทานเองด้วยใช่หรือไม่”
“ไป๋ลี่เยว่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก บีบบังคับให้องค์ชายต้องแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ นี่มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์หรอกหรือ”
ไม่มีใครคิดว่าหญิงที่ “อ้วนและไร้เสน่ห์” เช่นไป๋ลี่เยว่ จะสามารถยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้อย่างแท้จริง
เมื่อเสียงกลองมงคลดังขึ้น ขบวนเสด็จขององค์ชายสามเคลื่อนเข้าสู่ท้องพระโรง
องค์ชายหลงเจิ้งหยาง เจ้าบ่าวของงาน ปรากฏกายในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นทองสง่างาม ร่างสูงสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลัก สายตาเย็นชาราวคมดาบ แผ่รังสีของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รัศมีของเขาเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีใดกล้าต้านทาน
เขาเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าคมคายดุดัน สายตาเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้เหล่าสตรีในงานจะรู้ดีว่า เขาเย็นชาและไร้เยื่อใย แต่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษที่น่าหลงใหลที่สุดในแผ่นดิน
“หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็คงดี”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าสาวของพระองค์ เป็นเพียงสตรีอ้วนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ”
ร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่ากลางท้องพระโรง รัศมีแห่งแม่ทัพทำให้เขาดูน่าเกรงขามราวเทพสงคราม เสียงกระซิบยังคงดังไม่หยุด แต่สิ่งที่เรียกเสียงกระซิบกระซาบได้มากกว่าคือสายตาขององค์ชายสามที่มีต่อเจ้าสาวของพระองค์ เขามองไป๋ลี่เยว่เพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่ใยดี ราวกับว่า นางมิได้มีค่าพอให้เขาเสียเวลามอง และนี่ กลับทำให้เสียงนินทาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ดูสิ องค์ชายสามแม้แต่มองยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่า คืนเข้าหอจะเป็นเช่นไร”
“สมรสพระราชทาน” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงในใจ สีหน้าและหัวใจของเขากลับเย็นชา องค์ชายสาม แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้เป็นดั่งเสาหลักของแผ่นดินอย่างเขา กำลังเข้าพิธีสมรสกับ ไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบเขาชีวิตไม่รอด ใครจะไปคิดว่านางจะถือโอกาสนี้ขอสมรสพระราชทานต่อฮ่องเต้
“ข้ามิใช่บุรุษที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ข้ามิได้เลือก ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนเถอะ”
เขามิได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าข้างกายมีสตรีผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาด้วยความหวัง
เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางและราชวงศ์ แต่เพียงแค่ปรายตามอง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ข้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ข้าไม่ได้เลือก เรื่องเช่นนี้ช่างน่าขันนัก”
ใต้ผ้าคลุมหน้า ไป๋ลี่เยว่รับรู้และได้ยินทุกคำพูด แต่หัวใจของนางยังคงหนักแน่น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงนี้ ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่นางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก
“ข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ข้าอาจมิใช่เจ้าสาวที่ผู้คนคาดหวัง”
“แต่ข้าก็เป็นพระชายาของเขา และไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
“แม้ข้าจะมิใช่หญิงที่งดงามที่สุด แต่ข้าก็จะทำให้เขามองข้าให้ได้”
หัวใจของนางยังคงมีความหวัง แม้เขาจะเย็นชา แม้ผู้คนจะดูถูก แต่นางเชื่อว่าหากนางตั้งใจ เขาจะยอมรับนางเข้าสักวัน
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายสามเพียงชั่วครู่ แต่เขากลับมิแม้แต่จะปรายตามองนาง
และพิธีสมรสพระราชทาน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่เคยหยุดลง จนกระทั่งเสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังขึ้น ก้องไปทั่วพระราชวัง
“คารวะฟ้าดิน”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงทำพิธีอย่างศรัทธา หวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ดี ทว่าข้างกายนาง องค์ชายสามกลับทำตามพิธีอย่างไร้หัวใจ
“คารวะบรรพบุรุษ” นางก้มศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะรอบข้างดังขึ้น เพราะนางก้มได้เพียงเล็กน้อยจากอุปสรรครูปร่างของนาง แต่นางก็มิได้หวั่นไหว
“สามีภรรยาคารวะกัน”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ นางมีเพียงความสุข แต่เมื่อสบตากับองค์ชายสาม นางกลับพบเพียงความเย็นชาไร้ความรู้สึกของบุรุษตรงหน้า
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขามิใช่เพียงความเมินเฉย แต่เป็นความรังเกียจที่เด่นชัด
“…”
“ข้าทนแตะต้องนางมิได้จริงๆ”
“นี่คือผู้หญิงที่ข้าต้องแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ”
แม้เขาจะมิได้พูดออกมา แต่นางก็อ่านออกได้จากสายตาของเขา
“องค์ชายสามรังเกียจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“หึ เป็นข้า ก็คงรับมิได้เช่นกัน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ไป๋ลี่เยว่ยินดี บุรุษที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสุข เขาเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา
“นางเป็นเพียงภาระ เป็นเพียงสตรีที่ข้าถูกบังคับให้แต่งด้วยเท่านั้น”
“วันนี้เป็นวันมงคล” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะครองคู่กันอย่างมีความสุข และร่วมกันดูแลแผ่นดินนี้ต่อไป”
“หลงเจิ้งหยาง เจ้าต้องปกป้องและดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี”
หลงเจิ้งหยางคุกเข่าลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะมิได้ยินดี แต่เขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงตาม นางยิ้มอ่อนโยน ดวงตาส่องประกายแห่งความสุข
“หม่อมฉันจะดูแลพระสวามีอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ดีมาก”
ฮองเฮาทรงยิ้มอ่อนโยน พระนางทอดพระเนตรไปยังไป๋ลี่เยว่ ด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไป๋ลี่เยว่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาด บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นพระชายาแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขและนำพาสิ่งดีๆ มาสู่องค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่ก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มเอาไว้
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
“…ใคร” ซูเหวินเงยหน้าช้า ๆ “หนึ่งในนักฆ่ากลุ่มกระบี่ม่วง พ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “พวกมัน…ยังไม่ตายหมดอย่างนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตัวเอง คิ้วเข้มขมวดแน่น “มันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีกำลังคนจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์รายงานอย่างเร่งร้อน “สายที่หอเมฆหม่นรายงานว่า มีการส่งของบางอย่าง เป็นหีบดำขนาดเล็ก พร้อมจดหมายลับ กระหม่อมสันนิษฐานว่า...น่าจะเป็นการว่าจ้างบางอย่างที่ส่อเค้าเป็นภัยอย่างยิ่งอีกพ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางหรี่ตาลงช้า ๆ ดวงตาคมวาวราวพญาเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อในระยะประชิด สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่อากัปกิริยากลับแฝงไปด้วยแรงกล้าของพายุที่พร้อมโหมกระหน่ำ “สั่งให้คนของเราจับตาทุกฝีก้าว อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว อย่าเพิ่งลงมือ…สืบให้ได้ว่ามีแผนอันใดอีก ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันเดินเกมในเงามืดลับหลังเราได้อีกเป็นครั้งที่สอง” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “…เจ้าช่างไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ เสนาบดีหลี่…” หลงเจิ้งหยางยืนนิ่ง ริมฝีปากขยับพึมพำแผ่วเบาราวเสียงลมพัด ตอนแรกคล้ายคำชม แต่กลับตามมาด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนจะตาหรี่ลงอีกครั้ง พลางเสียงคำสั่งเย็นชา
“เขาไม่ควรใช้มันแล้ว...” เสียงพึมพำแผ่วเบาราวสายลมหลุดจากริมฝีปากไป๋ลี่เยว่ นางชะงักมือลงขณะกำลังจะหยิบสมุนไพรอีกกำมือใส่ลงหม้อต้มยา กลิ่นสมุนไพรหอมอบอวลลอยขึ้นทั่วห้องยามน้ำเดือดปุด ๆ ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นใบซานเจียวเซินที่ยังวางอยู่ในถาด มือเรียวสั่นเล็กน้อย ราวกับลังเล… สมุนไพรนี้ แม้จะช่วยฟื้นกำลังสำหรับผู้ที่ยังอ่อนแรง...ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่เหตุใดมันกลับใช้ไม่ได้ผลกับคนที่นอนเจ็บอยู่ในตำหนัก องค์ชายสาม...เขามิได้มีทีท่าว่าอาการจะหนักถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดยังเอาแต่นอนนิ่งเช่นผู้ไร้เรี่ยวแรง นางดับไฟ มือบางยกหม้อยาสมุนไพรเมื่อเดือดได้ที่แล้วลง ก่อนจะเทรินยาใส่ถ้วยอย่างเรียบร้อย เบนสายตาไปทางห้องบรรทมที่พระสวามีของนางนอนพักอยู่ แล้วเดินเนิบช้าสู่ห้องบรรทมที่สองพ่อลูกดูแลกันอยู่ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านบางภายในห้องบรรทม หลงเจิ้งหยางนั่งพิงหัวเตียงในอาภรณ์ผ้าแพรสีอ่อน มือหนึ่งถือกระดาษที่หลงจิ่นอวิ๋นวาดเล่น อีกมือวางนิ่งบนตัก แม้ใบหน้าซีดเซียว แต่แววตาฉายประกายอ่อนโยนขณะมองภาพครอบครัวที่โอรสน้อยกำลังวาด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ยามาแล้วเพคะ”
ห้องบรรทมในตำหนักชิงอวิ๋น เสียงฝีเท้าแผ่วเบา บนพื้นหินเจียระไนดังก้องสะท้อนในโถงเงียบสงัดของตำหนักชิงอวิ๋น ซูเหวินก้าวเข้ามาในห้องด้านใน ซึ่งมีเพียงตะเกียงน้ำนมดวงเดียวให้แสงสลัว กลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว ดวงตาคมใต้คิ้วหนาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อพบว่าองค์ชายสามยังคงนั่งเอนกายพิงหมอนอยู่บนเตียง มีผ้าคลุมหนาห่มกายอยู่ แม้บาดแผลยังไม่หายสนิท แต่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ทว่าผู้เป็นนายกลับมิยอมพักผ่อน ยังคงรอคอยการรายงานจากเขา “องค์ชาย กระหม่อมขอรายงาน…” ซูเหวินกล่าวเสียงเบา ขณะเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าประสานมือคารวะ หลงเจิ้งหยางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ปรายตามองเขานิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วทว่าเด็ดขาด “ได้ความว่าอย่างไร..ว่ามา” เขาหยุดพูดไปครู่ ดวงตาทอดมองความมืดนอกหน้าต่าง ราวกับจับจ้องอะไรบางอย่าง ซูเหวินค้อมศีรษะก่อนกล่าวเสียงเบา “กระหม่อมเริ่มตามร่องรอยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่ลงมือในวันนั้น…” เขาหยุดเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวต่อ “มือสังหารมิใช่พวกจากแคว้นเรา หากแต่เป็นผู้ที่มีฝีมือ เป็นนักฆ่าที่ชำนาญวิชาจากแดนใต้…เรียกตนว่ากระบี่ม่วง กลุ่มนี้รับงานเฉพาะจากสกุลขุนนางใหญ่เพีย
ระเบียงทางเดินในวังหลวง “ท่านเสนาบดีหลี่…” เสียงทุ้มนุ่มฟังดูสุภาพดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้ผู้เป็นขุนนางเฒ่าหยุดชะงัก หันไปพบกับบุรุษในอาภรณ์สีม่วงปักลายมังกรห้ากรงเล็บ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มแต่แววตากลับลึกล้ำ “องค์ชายสอง กระหม่อมคารวะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหลี่รีบประสานมือคารวะหลงเหวินหยาง องค์ชายสูงศักดิ์เพียงยกมือขึ้นเบา ๆ “ไม่ต้องเกรงใจท่านเสนาบดี ข้าเพียงผ่านมาพอดี เห็นท่านยังมีแววหมองในดวงตา คงเป็นเรื่องของคุณหนูหลี่กระมัง” “พระองค์ทรงเอ่ยถึง…” เสนาบดีหลี่สบตาอีกฝ่าย สีหน้าเจือรอยระวัง “ข้าเองก็ได้ยินขุนนางกล่าวถึงเรื่องในงานชมบุปผาวันนั้น... ข้าเจ็บใจแทน คุณหนูหลี่เป็นหญิงงามมีความสามารถ หาได้ควรถูกลบแสงด้วยอุบะดอกไม้เช่นนั้น...” หลงเหวินหยางถอนใจแผ่วเบาอย่างคนมีเมตตา ดวงตาของเขาฉายความเจ็บใจแทนอย่างจริงใจ แต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มละมุน “น่าเสียดายที่บางผู้ไม่เห็นคุณค่า กลับไปลุ่มหลงสิ่งเดิมที่มีอยู่และคิดว่าดีที่สุดแล้ว” ดวงตาคมจับจ้องขุนนางคู่สนทนาอย่างสื่อความหมาย “แต่บางที...อาจถึงเวลาที่สวรรค์ควรมอบเวทีใหม่ให้นางได้เจิดจรัสในที่ที่เหมาะสมกว่า” ขุนนางหลี่ยืน
“ท่านพ่อ…เจ็บมากหรือไม่…” เสียงโอรสน้อยถามบิดา ทว่าไม่มีคำตอบจากบุรุษที่ยังนอนนิ่งอยู่ ดวงตาที่เพิ่งลืมเมื่อครู่ปิดลงอีกครั้ง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ไป๋ลี่เยว่นั่งนิ่งเฝ้ามองลูกน้อยที่จับมือพระบิดาราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไป สายตานางทอดยาวไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง ใบหน้าที่เคยดุดันบัดนี้ซีดขาวไร้สีเลือด “…ดื้อด้านเพียงใด ตัวเองเจ็บเจียนตายยังตื่นมาห่วงลูก…” แม้ปากจะบ่น แต่ร่างบางที่ดูอ่อนแรงจากการเฝ้าดูแผล กลับไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปพักแม้เพียงครู่ เดิมทีคิดจะเพียงรักษาให้เสร็จแล้วเดินจากไป…แต่กลับทำไม่ได้ “ท่านแม่…” เด็กน้อยเอ่ยเสียงงัวเงีย “ถ้าท่านพ่อฟื้นอีกที จะเจ็บอีกไหม” นางไม่ตอบในทันที…เพียงแค่มองใบหน้าที่ซีดขาวของบุรุษตรงหน้า ดวงตานั้นปิดสนิท ไร้แววแห่งความทรมาน แต่กลับคล้ายหลับลึกยิ่งกว่าครั้งไหน “ไม่หรอก แม่ให้ยาระงับปวดแล้ว…เจ้ากลัวหรือไม่ เสี่ยวเป่า” นางถาม พลางเอื้อมมือไปลูบผมโอรส หลงจิ่นอวิ๋นพยักหน้าช้า ๆ “กลัว…แต่ก็…สงสารท่านพ่อ” คำตอบสั้น ๆ ของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของนางคล้ายถูกมือใครบางคนบีบไว้เบา ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่แล้
“เปิดทาง! เปิดประตูตำหนักเดี๋ยวนี้!”เสียงตะโกนของซูเหวินกึกก้องสะท้อนลั่นลานด้านหน้าตำหนักชิงอวิ๋น อีกทั้งเสียงฝีเท้าดังระรัวประหนึ่งกลองรบกลางรัตติกาล กลบความเงียบสงบของตำหนักให้แตกกระเจิง ทหารเวรยามวิ่งกรูมาอย่างตื่นตระหนก ก่อนชะงักไปเมื่อภาพตรงหน้ากระแทกใจร่างสูงใหญ่ไร้สติขององค์ชายสาม ถูกซูเหวินแบกไว้บนแผ่นหลัง เสื้อคลุมโชกโลหิต และไหล่ซ้ายมีลูกศรยาวปักคาไว้ ข้างกายคือเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อยผู้สูงศักดิ์ องค์ชายน้อยหลงจิ่นอวิ๋นที่หลินซ่างอุ้มวิ่งตามมาร้องน้ำตานองแก้ม“เสด็จพ่อ พ่อข้า ท่านพ่อ..ฮึก…”เสียงเล็กนั้นสั่นเครือ ประดุจมีดกรีดกลางหัวใจ ก่อนที่จะบอกให้หลินซ่างปล่อยตัวเองลง ฝีเท้าเล็กเร่งตามซูเหวินไม่ต่างจากใจที่แทบหลุดออกจากอก“รีบ! ส่งข่าวถึงหมอหลวงโดยไว! ให้คนไปเชิญหมอหลวงเดี๋ยวนี้” หลินซ่างตะโกนก้อง พลางวิ่งตามซูเหวินไปทว่า…ทุกเสียงหยุดกึกทันที เมื่อม่านผ้าแพรหน้าตำหนักพลันแหวกออกเงาร่างหนึ่งปรากฏกาย ร่างระหงในชุดสีขาวสะอาดราวม่านหมอกใต้แสงจันทรา พระชายาไป๋ลี่เยว่ ผู้งามเลิศล้ำแห่งตำหนัก ยามนี้ดวงหน้างามซีดเผือด ทว่าสง่าราศีมิได้ลดถอยนางยืนนิ่ง…ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเ
Комментарии