“สืบความจริงเรื่องนี้หรือยัง?”“ท่านเจ้ากรมได้ยินจากปากหลี่หลงหลินเอง เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเท็จ”องค์หญิงใหญ่เห็นใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของฮองเฮาหลู่ยิ้มแย้มเย็นเยียบขึ้นมา“ตายอย่างไร?”แววตาของฮองเฮาหลู่สั่นระริกแม้ปกติฮองเฮาหลู่จะดูแลเพียงฝ่ายใน แต่ก็มีหูมีตาอันเฉียบแหลมต่อสถานการณ์ในราชสำนักการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายสาม แม้จะเหนือความคาดหมาย แต่ก็อยู่ในแผนการเช่นกันหากเป็นจริงดังว่า นางก็สามารถเดินหมากตากต่อไปได้องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “สาเหตุที่แท้จริงยังสืบไม่แน่ชัด แต่หลังจากเมื่อวาน เป็นหลี่หลงหลินที่พาตัวองค์ชายสามหลี่เฟิงอวิ๋นไปจากตำหนักเฟิ่งชี หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นองค์ชายสามอีกเลย” “ดี ดีมาก!”“คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหลี่หลงหลินผู้นี้จะเหี้ยมหาญถึงเพียงนี้ ลงมือกำจัดองค์ชายสามโดยตรงเสียได้”องค์หญิงใหญ่กล่าวเสียงเข้ม “เสด็จแม่ เช่นนั้นเราจะดึงกำลังหนุนจากซีเหลียงมาต่อกรกับหลี่หลงหลินได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ซีเหลียงไร้ผู้นำ เหล่าแม่ทัพคงไม่ยอมฟังคำสั่งจากสตรีเช่นข้าเป็นแน่”ฮองเฮาหลู่ทอดพระเนตรองค์หญิงใหญ่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่! ที่ต้
ค่ายทหารซีเหลียงด้านนอกกระโจมทหาร แสงคบเพลิงวูบไหวราตรีล่วงลึกเหล่าทหารต่างเข้าสู่นิทรา เหลือเพียงกองลาดตระเวนกลุ่มเล็กๆ เดินตรวจตราไปตามแนวค่าย เพื่อป้องกันข้าศึกจู่โจมยามค่ำคืนแม้ทัพซีเหลียงจะเพิ่งบดขยี้ทัพชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ จนแตกพ่ายยับเยิน ต้องหนีกระเซอะกระเซิงไปก็ตาม ทว่ายิ่งอยู่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ยิ่งมิอาจประมาทแม้เพียงน้อยนิดกุก กุก...พิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินเข้าไปในค่ายทหาร ลงเกาะบนยอดกระโจมหลังหนึ่งมือใหญ่หยาบกร้านข้างหนึ่งปลดกระบอกสาส์นลับออก จากนั้นจึงรีบรุดไปยังกระโจมของรองแม่ทัพทันทีรองแม่ทัพโจวทงคือแม่ทัพคู่ใจคนสำคัญภายใต้บัญชาของซีเหลียงอ๋องหลี่เฟิงอวิ๋น ครั้งนี้ที่ซีเหลียงอ๋องเสด็จเข้าเมืองหลวงเพื่อรับพระราชทานรางวัล ก็ได้มอบหมายอำนาจในการดูแลกิจการซีเหลียงให้แก่โจวทง ทรงไว้วางพระทัยในตัวเขาอย่างยิ่งภายในกระโจมของรองแม่ทัพโจวทง สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ราวกับกำลังรอคอยสิ่งใดอยู่ “ท่านรองแม่ทัพ มีสาส์นจากเมืองหลวงขอรับ!”ทหารนายนั้นยื่นสาส์นพิราบส่งให้โจวทงเขาเหลือบมองเพียงปราดเดียว ก็โบกมือให้ทหารคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนในไ
วาจาเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนผู้หนึ่งได้แม้ฮ่องเต้หวู่จะทรงกุมอำนาจสูงสุด แต่ก็ทรงถูกเหล่าขุนนางกังฉินในราชสำนักใช้เป็นหอกดาบโจวทงกุมกระบี่ประจำกายไว้แน่น กล่าวเสียงเย็นชา “แม้ข้าจะไม่ถนัดการใช้คารม แต่กระบี่ยาวเล่มนี้อยู่ในมือข้า ข้าจะเข้าเมืองหลวงไปสังหารเจ้าพวกกังฉินนั่น! ใช้เลือดสดๆ ของพวกมันเซ่นไหว้ดวงวิญญาณท่านอ๋อง!”ความเยือกเย็นของโจวทง บ่งบอกว่าเขาได้ครุ่นคิดมานานแล้ว มิใช่คำพูดที่พลั้งปากออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบแววตาของหวังหมิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ท่านแม่ทัพโจว ท่านเสียสติไปแล้วหรือ! รู้หรือไม่ว่านี่ต้องโทษสถานใด?”“การก่อกบฏเคลื่อนทัพ มีโทษถึงประหารเก้าชั่วโคตรนะ!”โจวทงแค่นเสียงเย็นชา “ก่อกบฏรึ?”“ข้าเพียงกำจัดขุนนางชั่ว ชำระสะสางข้างฮ่องเต้!”“จะปล่อยให้ฝ่าบาททรงถูกปิดหูปิดตาต่อไปมิได้! ข้าจะทำให้พระองค์ทรงตาสว่าง มองเห็นว่าต้าเซี่ยที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”กล่าวจบ โจวทงก็กระชับกระบี่แน่น เดินออกไปนอกกระโจม เตรียมเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงทันที!หวังหมิงรีบเข้ามาขวางหน้าโจวทง “ไม่ได้เด็ดขาด! ท่านแม่ทัพโจว! อย่าได้วู่วามเป็นอันขาด!”“หากท่านเคล
“ประหารขุนนางกังฉิน ชำระล้างข้างพระองค์!”“ประหารขุนนางกังฉิน ชำระล้างข้างพระองค์!”“...”ซีเหลียงอ๋องเป็นที่รักและเคารพอย่างยิ่งในหมู่ทหารเหล่าทหารจึงขานรับอย่างพร้อมเพรียงทันที!เหล่าทหารหรือจะทนให้ขุนนางกังฉินในราชสำนักทำร้ายแม่ทัพผู้ภักดีเยี่ยงนี้ได้?ทหารยอมตายได้ แต่ไม่อาจถูกหยาม!สุดสายตาของโจวทง ล้วนเป็นเหล่าทหารผู้เปี่ยมด้วยเลือดร้อนแห่งวัยหนุ่มบัดนี้ กองทัพซีเหลียงย่อมต้องฟังคำบัญชาเคลื่อนพลจากเขาอยู่แล้วเพียงมีเหตุผลอันชอบธรรม เหล่าทหารย่อมไม่สงสัยว่าเขามีใจคิดกบฏโจวทงอยู่ในชุดขาวไว้ทุกข์ ราวกับกำลังสวมผ้าป่านแสดงความกตัญญูเขายกชามสุราโลหิตขึ้นเหนือศีรษะ จ้องมองท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดดุจผืนน้ำ กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง หากดวงวิญญาณท่านรับรู้ได้บนสวรรค์ โปรดอภัยให้ความหุนหันพลันแล่นของข้าน้อยด้วย!”“หากมิอาจล้างแค้นทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านอ๋องได้ ข้าน้อยก็ไม่มีหน้าไปพบท่านในปรโลก!”“วันนี้ ข้าน้อยจะนำเหล่าทหาร บุกเข้าเมืองหลวงกำจัดขุนนางกังฉิน แม้ต้องลุยน้ำลุยไฟเพื่อท่านอ๋อง ก็หาได้ลังเลไม่!”“ขอท่านอ๋องโปรดพักผ่อนอย่างสงบ ณ ปรโลกด้วยเถิด!”กล่าว
“เจ้ารวบรวมทหารในกองทัพด้วยเหตุใด!”“หรือว่าเจ้าคิดจะก่อกบฏกันแน่!”หลี่เฟิงอวิ๋นเหงื่อผุดซึมเรื่องราวเป็นไปดังที่หลี่หลงหลินกล่าวไว้จริงๆข่าวการตายของตนเองหากแพร่กลับไปถึงซีเหลียง จะต้องทำให้เกิดการกบฏในกองทัพอย่างแน่นอน!ยังดีที่หลี่หลงหลินคาดการณ์แม่นยำราวเทพยดา มิฉะนั้นจะต้องก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงเป็นแน่!ตนเองส่งข่าวสารด่วนแปดร้อยลี้ เดินทางทั้งวันทั้งคืน ม้าเร็วชั้นดีต้องเหนื่อยตายไปถึงสามตัว กว่าจะตามมาทันได้อย่างหวุดหวิดเพียงพอที่จะเห็นได้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนเพียงใด!หลี่เฟิงอวิ๋นตวาดสั่ง “ทหาร! ยึดกระบี่ประจำตัวของเขามา!”บัดนี้ แม้แต่รองแม่ทัพที่ตนไว้วางใจที่สุดก็ยังมีใจคิดกบฏหลี่เฟิงอวิ๋นไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อยต้องแสดงอำนาจเด็ดขาดปานสายฟ้าฟาด มิฉะนั้นเกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้นอีก!ทหารสองสามนายก้าวไปข้างหน้า จับกุมตัวโจวทงไว้จากนั้นก็ปลดกระบี่ประจำตัวของเขาออกแม้โจวทงจะไม่เต็มใจอย่างยิ่งแต่บัดนี้ตัวคนเดียว คิดจะต่อกรกับกองทัพใหญ่ซีเหลียงทั้งหมด ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน ไม่ประมาณตน!โจวทงกล่าวเสียงสั่นเครือ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย
“ตอนนี้เสนาธิการทัพหวังอยู่ที่ใด!”หลี่เฟิงอวิ๋นเป็นห่วงสถานการณ์ของหวังหมิงอย่างยิ่งแผนการล่อลวงคนป่าเถื่อนทางตอนเหนือเข้าสู่กับดัก แล้วทำลายล้างเสียให้สิ้นในคราวเดียว ล้วนเป็นกลอุบายของหวังหมิง!ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของซีเหลียงครั้งนี้ ความดีความชอบของหวังหมิงมิอาจลบเลือนได้!บัดนี้ รางวัลที่ตนเคยรับปากหวังหมิงไว้ก็ยังไม่ได้มอบให้ แต่เขากลับตกอยู่ในสภาวะเป็นตายเท่ากันเสียแล้ว!ทหารผู้ส่งข่าวประสานมือคำนับกล่าวว่า “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ตอนนี้เสนาธิการถูกส่งตัวไปรักษาแล้ว สถานการณ์โดยละเอียดข้าน้อยก็ไม่ค่อยทราบชัดเจนขอรับ”“พบเขาในกระโจมทหารหลังใด!”แม้ในใจหลี่เฟิงอวิ๋นจะคาดเดาได้แล้ว แต่เขายึดถือหลักฐานก่อนที่หลักฐานจะชัดเจน จะไม่ด่วนสรุปอย่างเด็ดขาด!ทหารผู้นั้นมองโจวทงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นกัน โกรธแต่ไม่กล้าพูด หลี่เฟิงอวิ๋นตวาด “อย่างไร! หรือเจ้ายังกลัวว่าข้าอยู่ในกองทัพนี้แล้วจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าไม่ได้หรือ?”“พูดมา!”ทหารผู้นั้นพยักหน้า “ข้าพบเสนาธิการหวังในกระโจมของแม่ทัพโจวขอรับ ยังดีที่ไปทัน ร่างกายยังพอมีไออุ่นหลงเหลืออยู่บ้าง”หลี่เฟิงอวิ๋นถลึงตามองโจวทงแว
หลี่เฟิงอวิ๋นกล่าวเสียงกร้าว “ตัดหัวเขา ส่งม้าเร็วแปดร้อยลี้ไปยังเมืองหลวง ส่งไปยังจวนองค์รัชทายาททันที!”“ขอรับ!”หลี่เฟิงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อยในฐานะบุคคลที่อยู่ใจกลางวังวนเขาสัมผัสได้แล้วว่า สถานการณ์ที่พลิกผันคาดเดาไม่ได้ในขณะนี้ หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกดึงเข้าไปสู่หายนะที่มิอาจฟื้นคืนขอเพียงสามารถส่งศีรษะของผู้ก่อกบฏและจดหมายลับที่สมคบกับศัตรูไปถึงมือของหลี่หลงหลินได้คันชั่งสถานการณ์ในราชสำนักจะต้องเอียงมาทางหลี่หลงหลินอย่างแน่นอนสถานการณ์ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันอภิเษกสมรสของหลี่หลงหลินแล้วเกรงว่าในราชสำนักคงมีคลื่นใต้น้ำปั่นป่วน เตรียมพร้อมที่จะลงมือกับหลี่หลงหลินได้ทุกเมื่อ!“หวังว่าจดหมายฉบับนี้และศีรษะของผู้ก่อกบฏจะช่วยองค์รัชทายาทได้”หลี่เฟิงอวิ๋นเงยหน้ามองจันทร์ ถอนหายใจยาว “ความสามารถขององค์รัชทายาทเหนือกว่าจินตนาการของข้าไปนานแล้ว ความสำเร็จในภายหน้าจะต้องเหนือกว่าเสด็จพ่ออย่างแน่นอน!”“สามารถขึ้นตรงต่อประมุขผู้ปราดเปรื่องเช่นนี้ ข้าหลี่เฟิงอวิ๋นยอมรับจากใจจริง”...เมืองหลวงกำหนดการอภิเษกสมรสใกล้เข้ามาเรื่
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิ่วหรูเยียนซึ่งกำลังแต่งหน้าให้ซูเฟิ่งหลิงอยู่ก็ชะงักไปเล็กน้อย“ใช่แล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันอภิเษกสมรสของน้องเล็กแล้ว...”น้ำเสียงของหลิ่วหรูเยียนแฝงแววเศร้าสร้อยอยู่บ้างซูเฟิ่งหลิงมองผ่านกระจกทองสัมฤทธิ์ เห็นสีหน้ายินดีแต่เดิมของหลิ่วหรูเยียนพลันแข็งค้างบนใบหน้าซูเฟิ่งหลิงวางมือลงบนหลังมือของหลิ่วหรูเยียน “พี่สะใภ้สี่ ท่านไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ข้านักหรอกหลังแต่งงานก็แค่ย้ายเข้าไปอยู่ในวัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตระกูลซูเท่าใดนัก ท่านแวะเวียนไปหาข้าที่วังได้เสมอ”หลิ่วหรูเยียนพยักหน้ารับส่วนหนึ่งนางอาลัยอาวรณ์น้องเล็กแต่ส่วนใหญ่คือความอิจฉาเมื่อใดกันที่หลี่หลงหลินจะสามารถตบแต่งตนเองเข้าจวนอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมได้?หลิ่วหรูเยียนมองไม่เห็นความหวังหลิ่วหรูเยียนฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอกน้องเล็ก ขอเพียงเจ้ากับองค์รัชทายาทมีความสุข ก็ดีกว่าสิ่งใดแล้ว”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตั้งใจมองดูกระดาษสีแดงในมือที่เขียนไว้แน่นขนัดแผ่นนั้นตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การแต่งงานล้วนเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตยิ่งไปกว่านั้น คู่หมายของซูเฟิ่งหลิงคือองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน จึงยิ่งให้ค
ทุกคนมองไปยังจุดที่หลี่หลงหลินชี้บนแผนที่ สีหน้าล้วนแสดงความลำบากใจ ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “องค์รัชทายาท ณ สถานที่แห่งนี้จะสามารถสร้างเมืองใหม่ขึ้นได้จริงหรือเจ้าคะ?” แม้ซูเฟิ่งหลิงจะไม่เข้าใจวิชาการก่อสร้าง แต่นางมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง บ้านเรือนทั้งหมดในต้าเซี่ยล้วนต้องสร้างห่างจากทะเลและทะเลสาบ มิเช่นนั้นอากาศชื้นที่มาพร้อมกับลมทะเลจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของอิฐดินดิบที่ใช้สร้างบ้าน นานวันเข้าบ้านเรือนก็จะพังทลาย กระทั่งไม่มีหนทางซ่อมแซม ทำได้เพียงรื้อทิ้งสร้างใหม่เท่านั้น ดังนั้นแม้เมืองตงไห่จะอยู่ติดทะเล แต่จากประตูเมืองไปจนถึงริมทะเลที่แท้จริงยังต้องเดินทางอีกกว่าสิบลี้ หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ: “ที่นี่คือทำเลที่มีค่าที่สุดในตงไห่ ตลอดจนทั่วทั้งต้าเซี่ย เพียงหนึ่งเดียว ณ ที่แห่งนี้จะต้องสร้างเมืองขึ้นได้อย่างแน่นอน” ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “องค์รัชทายาท ที่นี่อยู่ใกล้ชายทะเลมากเกินไป หากสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ เกรงว่าอีกไม่กี่ปีก็จะถูกลมทะเลกัดเซาะจนกลายเป็นกองซากปรักหักพัง เรื่องนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น องค์รัชทายาทโปรดทรงไตร่ตรองให้รอบคอบด้วยเถิด!”
“สามารถงอกเงยเป็นเงินได้!” ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ที่ดินที่สามารถงอกเงยเป็นเงินได้นั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ดูจากท่าทีของหลี่หลงหลินแล้ว ก็ไม่เหมือนกำลังเอ่ยวาจาโอ้อวด หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ: “ข้าตั้งใจจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่แถบชายฝั่งทะเล มิเพียงสามารถจัดการให้ผู้อพยพพักพิงอาศัยได้ ยังจะขยายขนาดของสามกิจการใหญ่นั้น ให้ก้าวไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน! ที่ดินเช่นนี้ ไม่ว่าจะแห้งแล้งหรืออุดมสมบูรณ์ ย่อมสามารถนำมาซึ่งผลกำไรหลั่งไหลมามิขาดสายได้อย่างแน่นอน!” บนใบหน้าของหลี่หลงหลินเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น มั่นใจในแผนการ ท่าทีเปี่ยมด้วยอำนาจบัญชาการ เมื่อได้ฟัง ลั่วอวี้จู๋พลันมีสีหน้าปรากฏแววลังเล: “องค์รัชทายาท ปัจจุบันกิจการนำผลกำไรมาสู่ตระกูลซูในแต่ละปีอย่างมั่นคงและเป็นกอบเป็นกำแล้ว หากผลีผลามโยกย้ายและขยายขนาดกิจการ มิเพียงต้องนำผลกำไรที่ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไปลงทุนทั้งหมด กระทั่งอาจต้องเผชิญกับสภาวะที่รายได้ไม่แน่นอนอีกด้วย...” ลั่วอวี้จู๋ดูแลบัญชีของตระกูลซูทั้งหมดตลอดจนกิจการทั้งหมด ในฐานะผู้ดูแลการคลัง นางย่อมต้องพิจารณาจากมุมมองด้านผลกำไร ไม่ว่าจากด
หลี่หลงหลินมองซูเฟิ่งหลิงอย่างระอาใจอยู่บ้าง เอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “อ้ายเฟย เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน? เราคือองค์รัชทายาทแห่งต้าเซี่ยผู้สง่างาม หรือจะก่อกบฏต่อตนเองได้อย่างไร?” ซูเฟิ่งหลิงถามอย่างประหลาดใจ: “เช่นนั้นเหตุใดองค์รัชทายาทจึงตรัสว่าเขาทิศประจิมอยู่ใกล้เมืองหลวงเกินไป ทำให้การจัดการบางเรื่องไม่สะดวกเล่าเจ้าคะ?” หลี่หลงหลินส่ายหน้า เอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นการถลุงโลหะหรือการหล่อโลหะล้วนก่อให้เกิดไอพิษ ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงยิ่ง หากตั้งอยู่ที่เขาทิศประจิม ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อพระวรกายของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ อีกทั้งในภายภาคหน้าเมื่อกิจการขยายใหญ่ขึ้น ไอพิษที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งมากขึ้น ถึงเวลานั้นเกรงว่าแม้แต่ราษฎรทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย” ซุนชิงไต้พยักหน้า เอ่ยว่า: “ที่องค์รัชทายาทตรัสนั้นมีเหตุผลยิ่งเจ้าค่ะ บัดนี้สภาพแวดล้อมที่เขาทิศประจิมไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจริง ๆ อากาศโดยรอบก็เริ่มมีกลิ่นผิดปกติ กระทั่งมีราษฎรที่เขาทิศประจิมเริ่มมีอาการไอที่ข้าหาสาเหตุมิได้ และจำนวนผู้ป่วยก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” หลิ่ว
ลั่วอวี้จู๋เอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “องค์รัชทายาท พระองค์โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบด้วยเถิด บัดนี้ยังกลับคำได้ทัน คำนวณเวลาเดินทางแล้ว ผู้อพยพนับแสนคนนี้เกรงว่ายังมิได้เดินทางออกจากเขตเมืองหลวง ยังสามารถให้พวกเขากลับไปยังค่ายผู้ลี้ภัยได้ หากมาถึงตงไห่แล้ว ย่อมสิ้นหนทางแก้ไข! หากที่ตงไห่มิอาจจัดการผู้อพยพนับแสนคนนี้ได้อย่างเหมาะสม เกรงว่าผลลัพธ์ร้ายแรงที่ตามมาจะยากเกินกว่าจะคาดคะเนได้!” หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ: “มิต้อง เพียงผู้อพยพแสนคน ข้ายังเห็นว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” “เห็นว่าน้อยไปรึ?” เหล่าพี่สะใภ้ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ อ้าปากค้าง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ซูเฟิ่งหลิงเอ่ย: “องค์รัชทายาท ผู้อพยพนับแสนคนนี้เกือบจะเท่ากับจำนวนประชากรของเมืองตงไห่แล้ว เมืองตงไห่เล็กแค่นี้ จะรองรับผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” ลั่วอวี้จู๋พยักหน้า แล้วเอ่ยเสริม: “ใช่แล้วเจ้าคะ องค์รัชทายาท ยังมิต้องเอ่ยถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของผู้อพยพนับแสนคน เพียงแค่เรื่องที่พักอาศัยก็เพียงพอให้ปวดหัวแล้ว คงมิอาจให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ตามท้องถนนได้หรอกกระมัง? ถึงเวลานั้นเกรงว่าเมืองตงไห่คงจะวุ่นวายเหมือนจับปูใส่กระด้ง ไม
ณ จวนอ๋องตงไห่ นกพิราบสื่อสารตัวหนึ่งกางปีกบินมา เกาะลงบนบ่าของซูเฟิ่งหลิงซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าสงสัยเคลือบแคลง: “ยามนี้มิมีการศึก เหตุใดจึงมีนกพิราบส่งสาส์นมา?” นางปลดกระบอกสาส์นจากขานกพิราบด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็พลันตกใจจนหน้าซีดเผือด “อะไรนะ!” ลั่วอวี้จู๋ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ: “น้องหญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูเฟิ่งหลิงยื่นสาส์นให้ลั่วอวี้จู๋ เอ่ยว่า: “พี่สะใภ้ เป็นสาส์นจากหนิงชิงโหวที่เมืองหลวง ในสาส์นเอ่ยว่า บัดนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตตามคำขอขององค์รัชทายาทแล้ว มีพระบัญชาให้ผู้อพยพนับแสนคนเดินทางมายังตงไห่ทันที” ลั่วอวี้จู๋อ่านสาส์นจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “องค์รัชทายาทเหตุใดจึงทรงทำตามอำเภอใจเช่นนี้? บัดนี้ราษฎรตงไห่เพิ่งจะพอมีพอกินประทังชีวิต องค์รัชทายาทกลับทูลขอผู้อพยพจากฝ่าบาทอีกนับแสนคน? ยังมิต้องพูดถึงว่าผู้อพยพเหล่านี้ต้องบุกป่าฝ่าดงข้ามน้ำข้ามเขามายังตงไห่ หนทางยาวไกล เมื่อมาถึงตงไห่แล้ว พวกเขาจะกินอะไร ดื่มอะไร?” ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “พี่สะใภ้ ตอนนี้พวกเราไปหาองค์รัชทายาทที่ห้องหนังสือกันเถิด ดูว่าพระองค์ทรงมีแผนการเช่นไ
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยมีเสียงด่าทอดังกึกก้องสะท้านโสต! เหล่าขุนนางส่งเสียงอื้ออึง “อะไรนะ?” “เหตุใดผู้อพยพพวกนี้จึงยินยอมไปตงไห่?” “พระราชโองการยังมาไม่ถึงมิใช่หรือ?” เหล่าขุนนางมองหน้ากันเลิ่กลั่ก งุนงงสงสัยยิ่งนัก “พระราชโองการมาถึงแล้ว!” เสียงกังวานดังก้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เหล่าผู้อพยพต่างมีสีหน้าตกตะลึงงัน “พระราชโองการ!” “ฝ่าบาททรงระลึกถึงพวกเราแล้ว รีบคุกเข่าลงเร็ว!” “...” ผู้อพยพนับแสนต่างค้อมกายลงคุกเข่า หมอบกราบถวายความเคารพอย่างสูง เว่ยซวินถือพระราชโองการ เดินผ่านเหล่าขุนนางไป มิได้สนใจแม้แต่น้อย มุ่งตรงไปยังค่ายผู้ลี้ภัย คลี่พระราชโองการออกช้า ๆ: “สนองโองการสวรรค์ ฝ่าบาทมีราชโองการดังนี้ ปัจจุบันผู้อพยพในเมืองหลวงอดอยากปากแห้ง มีผู้คนล้มตายเพราะความอดอยากเกลื่อนกลาด เป็นความทุกข์ร้อนในใจของข้า บัดนี้ตงไห่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถแก้ไขความเดือดร้อนเร่งด่วนของราษฎรได้ จึงมีบัญชาให้ผู้อพยพทั้งหนึ่งแสนคนในเมืองหลวง เดินทางไปยังตงไห่พร้อมกัน ชักช้ามิได้แม้เพียงครู่ยาม ห้ามผู้ใดขัดขวางโดยเด็ดขาด!” “จงปฏิบัติตามนี้!” สายตาของเว่ยซวินจับจ้องไปยังเหล่าเ
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่ละคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ต่างมองตาละห้อยมายังหนิงชิงโหว เสียงเด็กร้องไห้งอแงดังแว่วอยู่ข้างหู สภาพแวดล้อมในค่ายผู้ลี้ภัยยามนี้เลวร้ายอย่างยิ่ง ไม่มีขุนนางผู้ใดยินดีเข้ามารับผิดชอบ น้ำเน่าไหลนองไปทั่ว อากาศค่อย ๆ อุ่นขึ้น เริ่มมีแมลงวันแมลงหวี่แพร่พันธุ์ หนิงชิงโหวสูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “บัดนี้เบื้องหน้าพวกท่านมีเพียงหนทางรอดเดียว ฉวยโอกาสที่อากาศยังมิได้ร้อนอบอ้าว รีบเดินทางไปยังตงไห่เพื่อพึ่งพิงองค์รัชทายาททันที เมื่อถึงตงไห่ องค์รัชทายาทย่อมไม่ทรงทำให้พวกท่านลำบากเป็นแน่ มิเช่นนั้นหากยังคงอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ก็มีแต่ทางตายสถานเดียว!” หนิงชิงโหวสีหน้าเคร่งขรึม ผู้อพยพเบื้องหน้ามืดฟ้ามัวดิน มองไปสุดลูกหูลูกตา มิอาจเห็นจุดสิ้นสุดได้เลย นี่จะต้องมีผู้อพยพมากมายเพียงใดกัน และมีครอบครัวที่เคยสมบูรณ์พูนสุขสักกี่ครอบครัวกันเล่า? เพียงเพราะภัยสงคราม จึงต้องตกอยู่ในสภาพพลัดพรากไร้ที่อยู่อาศัย หนิงชิงโหวตวาดเสียงดัง: “ผู้ใดเชื่อมั่นในองค์รัชทายาท ผู้นั้นรอด! ผู้ใดกังขาในองค์รัชทายาท ผู้นั้นตาย!” แม้สุ้มเสียงของหนิงชิงโหวจ
หนิงชิงโหวในชุดบัณฑิตผู้นี้ดึงดูดความสงสัยใคร่รู้ของเหล่าผู้อพยพได้ในที่สุด พวกเขาต่างพากันเดินเข้ามาหา ในไม่ช้า รอบกายของหนิงชิงโหวก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลในสายตาของผู้อพยพ หนิงชิงโหวในชุดบัณฑิตปรากฏตัวที่นี่ ย่อมต้องเป็นผู้รับคำสั่งราชสำนักมาแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยเป็นแน่ เหล่าผู้อพยพต่างหยิบชามกระเบื้องในมือขึ้นมา วิงวอนขอเสบียงอาหารจากหนิงชิงโหว ทันใดนั้น หนิงชิงโหวกลับรู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยถึงเพียงนี้ แม้นได้อ่านตำราปราชญ์จนเจนจบ แต่ก็มิอาจหาหนทางแก้ไขปัญหาในความเป็นจริงจากในตำราเหล่านั้นได้ บัดนี้ราษฎรผู้ทุกข์ยากอยู่เบื้องหน้า แต่เขากลับจนปัญญา ไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ จำนวนผู้อพยพเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์เริ่มจะวุ่นวาย กระทั่งมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยเริ่มดึงทึ้งชายเสื้อของหนิงชิงโหว แต่หนิงชิงโหวก็มิได้หวั่นไหว ในแววตาของเขามีเพียงราษฎรผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ นี่คือเขตเมืองหลวง ใต้พระบาทโอรสสวรรค์แท้ ๆ ในต้าเซี่ยอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ยังมีราษฎรเช่นนี้อีกเท่าใดกัน เขาเองก็ยากจะจินตนาการได้ พลันเกิดเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นในใจของหนิงชิง
“ให้ผู้อพยพหนึ่งแสนคนไปตงไห่รึ?” เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่ออย่างยิ่ง เจ้ากรมคลังเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “เว่ยกงกง สถานการณ์ที่ตงไห่ในยามนี้ หรือฝ่าบาทจะยังไม่ทรงทราบ? ราษฎรที่ตงไห่ต่างร้องทุกข์กันระงม หากส่งผู้อพยพหนึ่งแสนคนนี้ไปยังตงไห่ แล้วจะต่างอันใดกับการผลักไสพวกเขาให้ลงไปในหลุมไฟเล่า?” “ยิ่งไปกว่านั้น จลาจลของราษฎรที่ตงไห่ยังมิได้สงบลง หากส่งผู้อพยพอีกหนึ่งแสนคนนี้ไปอีก มิใช่เป็นการส่งเสริมให้คนชั่วเหิมเกริม เป็นการขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?” เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนตื่นตระหนก หรือว่าฝ่าบาทจะทรงเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ? การจัดการกับผู้อพยพเช่นนี้ถือเป็นหนทางที่เลวร้ายที่สุด มีแต่จะทำให้สถานการณ์ในราชสำนักยิ่งปั่นป่วนวุ่นวาย เจ้ากรมกลาโหมก้าวออกมายืนขวางหน้าเว่ยซวิน: “เว่ยกงกง หากในใจข้ายังพอมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่ ยังคงห่วงใยทุกข์สุขของราษฎร และยังถือว่าพอจะมีกึ๋นอยู่บ้าง ข้าย่อมไม่ไปประกาศพระราชโองการเช่นนี้ของฝ่าบาทเป็นแน่!” ทันใดนั้น เพลิงโทสะในใจของเว่ยซวินก็ลุกโชนขึ้น ในฐานะขันทีในวัง สิ่งที่ชิงชังที่สุดคือการถูกผู้อื่นขุดคุ้ยปมด้อยของตน!