ถ้าประกาศออกไปว่าเป็นคนขององค์ชายหกที่บุกเข้าไปในคุก ฆ่าคนและวางเพลิง ชาวบ้านจะต้องโกรธแค้นอย่างแน่นอน ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โต! ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้หวู่จึงต้องการคนมาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน เหล่าขุนนางทั้งหมดก้มหน้าไม่พูดอะไร การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นเรื่องของแม่ทัพ พวกเขาเป็นข้าราชการ จะช่วยอะไรได้ล่ะ? สายตาของฮ่องเต้หวู่ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” หลี่หลงหลินเข้าใจทันที ฮ่องเต้หวู่กำลังคิดถึงทหารพ่ายศึกของตระกูลซูอีกแล้ว! พระองค์ต้องการยืมกองกำลังทหารชั้นยอดนี้มาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองหลวง สำหรับฮ่องเต้หวู่ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หลี่หลงหลินย่อมไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้! ทหารพ่ายศึกหนึ่งพันนายนี้ เป็นเหมือนประกายไฟสุดท้ายของกองทัพตระกูลซู! ประกายไฟเล็ก ๆ สามารถลุกลามเป็นไฟใหญ่ได้ ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ จิตวิญญาณของกองทัพตระกูลซูก็ยังอยู่! ถ้าพวกเขาถูกฮ่องเต้หวู่ยืมตัวไป กองทัพตระกูลซูที่หลี่หลงหลินสร้างขึ้นใหม่ จะยังเป็นกองทัพตระกูลซูอยู่อีกหรือ?
ฮ่องเต้หวู่มองทอดสายตาไปยังเว่ยซวิน ถามว่า: “เว่ยกงกง เจ้าเก้าเสนอให้จัดตั้งองครักษ์เสื้อแพร และเสนอให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เว่ยซวินสมองอื้ออึง ยังไม่ทันได้ตอบสนอง อำนาจของขันทียิ่งใหญ่หรือไม่? แน่นอนว่าใหญ่! แต่อำนาจของขันที แม้จะใหญ่ ก็จำกัดอยู่แค่ในราชสำนัก! พูดตรง ๆ ขันทีก็แค่สามารถโต้เถียงกับข้าราชการและเล่นเกมการเมืองได้เท่านั้น ถ้าเจอคนที่ไม่ฟังเหตุผล เช่น หลีเฟิงอวิ๋น ท่านอ๋องที่มีอำนาจทหารแบบนี้ ขันทีก็ไร้ประโยชน์! เว่ยซวินยังจำได้ว่า หลีเฟิงอวิ๋นถือดาบบุกเข้ามาในตำหนักหยั่งซิน หมายมาดจะทำร้ายฮ่องเต้หวู่ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนขวางหลีเฟิงอวิ๋น พยายามปกป้องฮ่องเต้หวู่ สุดท้ายก็ถูกเตะกระเด็นออกไป ความรู้สึกอับอายและไร้ทางสู้แบบนั้น เว่ยซวินไม่อยากลิ้มรสอีกเป็นครั้งที่สองในชีวิตนี้! ถ้าตอนนั้น เว่ยซวินมีองครักษ์เสื้อแพรที่รู้เรื่องวรยุทธ์อยู่ข้าง ๆ สักสองสามคน หลีเฟิงอวิ๋นจะกล้าทำตัวอวดดีแบบนั้นหรือ? เว่ยซวินกระหายอำนาจทางทหารมานานแล้ว นี่คือเหตุผลที่เว่ยซวินส่งลูกบุญธรรมไปอยู่ในกองทัพ! แต่สุดท้าย ก็เพราะไปทำให้จางเฉวียนหรงกั๋
จิ้งจอกเฒ่าอย่างตู้เหวินยวน ก็มองออกว่าฮ่องเต้หวู่กำลังคิดถึงทหารพ่ายศึกของตระกูลซู การปลดเจ้าเมืองเมืองหลวงก็เป็นสัญญาณเตือนแล้ว! ถ้าหลี่หลงหลินตกลงมอบทหารพ่ายศึกของตระกูลซูให้ฮ่องเต้หวู่ ฮ่องเต้หวู่จะต้องแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นเจ้าเมืองเมืองหลวงอย่างแน่นอน! เพราะท้ายที่สุดแล้ว นอกจากหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถบัญชาการทหารพ่ายศึกของตระกูลซูได้! และถ้าหลี่หลงหลินเป็นเจ้าเมืองเมืองหลวง อำนาจในมือของเขาก็จะใหญ่เกินไป คุกคามผลประโยชน์ของกลุ่มข้าราชการ นี่คือสิ่งที่ตู้เหวินยวนและคนอื่น ๆ ไม่อยากเห็น ดังนั้น เมื่อฮ่องเต้ต้องการจัดตั้งองครักษ์เสื้อแพร พวกเขาจึงทำได้แค่ยอมรับ! แต่ไม่คาดคิดเลยว่า หลี่หลงหลินกลับให้เว่ยซวินเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และให้จางอี้บุตรชายของหรงกั๋วกงเป็นรองผู้บัญชาการ ด้วยวิธีนี้ ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างอำนาจของขันทีและชนชั้นสูง และใช้องครักษ์เสื้อแพรทำให้ขันทีและชนชั้นสูงร่วมมือกัน จากนี้ไป กลุ่มข้าราชการจะมีที่ยืนอีกหรือ? ตู้เหวินยวนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระโดดตัวออกมาคัดค้าน: “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่เห็นด้วย...” ข
พบองค์ชายหกแล้วหรือ? ทุกคนต่างตกตะลึง ฮ่องเต้หวู่เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา: “เจ้าสาม จริงหรือ? เจ้าพบเจ้าหกแล้วหรือ? คนอยู่ไหน? รีบพามาเขามาเร็ว!” หลีเฟิงอวิ๋นโค้งคำนับ: “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! คนข้างนอกนำเขาขึ้นมา!” ทันใดนั้นก็มีองครักษ์หลายคนเข็นรถเข้ามา บนรถมีโลงศพวางอยู่! ฮ่องเต้หวู่ตะลึง: “นี่...นี่มันอะไรกัน?” หลีเฟิงอวิ๋นพูดอย่างเย็นชา: “กราบทูลเสด็จพ่อ ศพของเจ้าหกอยู่ในโลงศพนี่” ข้าราชการทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างตกตะลึง องค์ชายหกสิ้นพระชนม์แล้วหรือ? สิ่งที่หลีเฟิงอวิ๋นนำกลับมาคือศพของพระองค์หรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่! หลี่หลงหลินก็มีสีหน้าตกใจ เขาจ้องมองไปที่โลงศพ ชีวิตของเจ้าหก เขาเป็นคนช่วยไว้ เพื่อล่อให้งูออกจากรู หาตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง! ตอนนี้ เจ้าหกตายแล้ว! ในหัวของหลี่หลงหลินมีเพียงคำสี่คำผุดขึ้นมา - การฆ่าปิดปาก! คนที่พบศพเป็นคนแรก มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฆาตกร! กล่าวคือ ถ้าเจ้าหกตายแล้วจริง ฆาตกรก็น่าจะเป็นหลีเฟิงอวิ๋น! ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของกองทัพตระกูลซู ก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน! ร่างกายของซูเฟิ่งหลิงสั่นเทา ดวงตาจ้องมอ
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดเผ่าหมานจึงบุกเข้าคุกหลวงและจับตัวองค์ชายหกไป?ภายในนี้มีจุดน่าสงสัยมากเกินไปแล้ว!ฮ่องเต้หวู่ไม่มีวันหลงเชื่ออย่างง่ายดาย!หลี่เฟิงอวิ๋นเอ่ยปาก “เสด็จพ่อ ลูกนำศพของเผ่าหมานกลับมาด้วย! บัดนี้อยู่ที่ภายนอกพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วแน่น “ไป! ตามเราออกไปดู!”เหล่าขุนนางเองก็แปลกใจมากภายในใจ เดินตามหลังฮ่องเต้หวู่ มาที่นอกตำหนักกลิ่นคาวเลือดชำแรกจมูกศพมากมายวางเกลื่อนลาน ใบหน้าบิดเบี้ยว เปียผม ก็คือคนเผ่าหมานอย่างแท้จริง!ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงพรึงเพริด “พวกเขา พวกเขาก็คือนักฆ่าที่ฆ่าเจ้าหกกระนั้นรึ?”หลี่เฟิงอวิ๋นพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! ลูกสงสัยว่ามีคนสอดแนมเผ่าหมานจำนวนมากลอบเข้ามาถึงเมืองหลวง วางแผนชั่วร้าย! ลูกขอพระราชทานอนุญาตให้ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งซีเหลียงสามพันคนเข้าเมืองหลวง ตามล่าคนสอดแนม ปกป้องความสงบ!”ตู้เหวินยวนคุกเข่าในทันใด “ฝ่าบาท คิดไม่ถึงมีคนเผ่าหมานมากเพียงนี้ลอบเข้าเมืองหลวง! ไม่ปลอดภัยเกินไปแล้ว! ซีเหลียงอ๋องซื่อสัตย์ภักดี ทำเพื่อปกป้องราษฎร์! ฝ่าบาทได้โปรดรับข้อเสนอของเขา ให้ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งซีเหลียงเข้าเมืองหลวงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่เฟิงอวิ๋นสงสัย “เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินอธิบาย “หากราษฎร์ตื่นตระหนก ก็ต้องหาทางหนี! หากเหล่าราษฎร์ล้วนหนีไปทั้งหมดแล้ว เมืองหลวงกลายเป็นเมืองร้างแห่งหนึ่ง เมื่อนั้นร้านรวงปิดตัวลง ซบเซาไปทั้งหมด กิจการของใต้เท้าทุกท่านก็ต้องจมดิ่งลง!”ได้ยินถ้อยคำนี้ เหล่าขุนนางชนชั้นสูงต่างมีสีหน้าไม่สบอารมณ์องค์ชายเก้ามิได้เจตนาพูดให้ผู้อื่นตกใจเมื่อไม่นานมานี้ราคาของร้านค้า ที่ดิน ที่นา ทั้งหมดล้วนจมดิ่งภายในระยะเวลาอันสั้นทรัพย์สินภายในมือของพวกเขาก็ละลายหายไปกับสายน้ำ ชนิดที่ว่าไร้ค่าไปแล้วประสบการณ์น่าหวาดกลัวเพียงนี้ พวกเขาไม่อยากประสบอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะเหล่าชนชั้นสูงรีบคัดค้านในทันใด “กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะแห่งซีเหลียงเข้าเมือง ส่งผลกระทบมากเกินไป กระหม่อมไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางบุ๋นก็มิใช่เหล็กหนึ่งก้อนโดยเฉพาะยามเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตน มีขุนนางบุ๋นไม่น้อยหวั่นไหวแล้วเสนาบดีสองสามคนแปรพักตร์ “แม้ว่าซีเหลียงอ๋องทำความดีความชอบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดใหญ่โตเพียงนี้ กองทัพใหญ่เข้าเมือง ชวนให้คนตื่นตระหนก!”หลี่หลงหลินสบโอกาสพูด “ใช่แล้ว! กองทัพทหารม
เว้นเสียแต่ตู้เหวินยวนแล้ว ทั้งหมดที่เหลืออยู่ล้วนเข้าไปยืนฝั่งหลี่หลงหลินตู้เหวินยวนถอนหายใจ “ซีเหลียงอ๋อง มิใช่ข้าไม่ช่วยท่าน แต่เพราะท่าน...เสียอำนาจใหญ่ไปแล้ว!”สุดท้ายตู้เหวินยวนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็เลือกฝั่งหลี่หลงหลิน“พวกเจ้า...”หลี่เฟิงอวิ๋นยืนโดดเดี่ยวเพียงลำพังที่ฝั่งหนึ่ง ใกล้ระเบิดโทสะเต็มทีขุนนางบุ๋นเหล่านี้ ไม่มีความหนักแน่นเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นคนต่ำต้อยเห็นเพียงผลประโยชน์กลุ่มหนึ่ง!ช่างเป็นตัวไร้ประโยชน์โดยแท้!หลี่หลงหลินมีสีหน้าภาคภูมิใจ ยังจงใจเยาะหยันอีกด้วย “พี่สาม! ท่านพูดว่าเสด็จพ่อหัวเดียวกระเทียมลีบ! ดูท่านตอนนี้เถอะ ตกลงผู้ใดถูกตีตัวออกห่างกันแน่?”ฮ่องเต้หวู่อารมณ์ดีมาก ตบมือพูดยิ้มๆ “เจ้าเก้า พูดได้ดี!”“เจ้าเก้า พวกเรารอดูก่อนเถอะ!”หลี่เฟิงอวิ๋นโมโหแทบแย่ หมุนตัวได้ก็จากไปแล้วแม้ว่าทหารซีเหลียงสามพันคนไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้แต่เป้าหมายของหลี่เฟิงอวิ๋นสำเร็จแล้ว!เขาสามารถอ้างเหตุผลจับคนสอดแนมเผ่าหมาน สร้างชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้แล้ว!ภายภาคหน้าก็รอโอกาสเท่านั้น!หลี่หลงหลิน เจ้าสุนัขชั่วคนนี้ สักวันหนึ่งจะต้องชดใช
“เขียนอักษร?” เพียงฮ่องเต้หวู่ได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อคืนเพลิงไหม้คุกหลวงลุกลามออกไป อย่างน้อยก็มีราษฎร์นับร้อยคนประสบภัยหากราชสำนักออกหน้า สร้างบ้านเรือนให้พวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เงินราวหนึ่งแสนตำลึง!ขอเพียงเขียนอักษรให้เจ้าเก้า ก็สามารถแลกกับเงินหนึ่งแสนตำลึงได้แล้ว?การค้าขายนี้ ได้กำไรเกินไปแล้วกระมัง!งานเขียนอักษรของฮ่องเต้หวู่เปิดเผยออกไปน้อยมากมิใช่เขาไม่ชอบเขียนอักษร แต่เพราะทักษะการเขียนอักษรของเขาแย่มากเกินไปเขาเป็นพวกยิ่งแย่มากเพียงใดก็ยิ่งชอบมากเพียงนั้นยามว่างไม่มีอะไรทำ ฮ่องเต้หวู่ลอบฝึกเขียนอักษรภายในตำหนัก หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถทำให้พวกบัณฑิตเหล่านั้นอ้าปากค้างได้!“ได้!”“สหายเว่ย เจ้ารีบไปเตรียมสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ!”ฮ่องเต้หวู่รีบรับปาก ออกคำสั่งเว่ยซินเว่ยซวินรีบเตรียมกระดาษหมึกพู่กันแท่นฝนหมึก ยังช่วยฮ่องเต้หวู่ฝนหมึกด้วยตนเองอีกด้วยฮ่องเต้หวูจับพู่กัน ท่วงท่างดงาม เอ่ยถามหลี่หลงหลิน “เขียนอะไร?”หลี่หลงหลินครุ่นคิด เอ่ยปาก “เสด็จพ่อ พระองค์เป็นผู้ซื่อสัตย์จริงใจ จักรพรรดิอันดับหนึ่ง! ก็เขียนสี่พยางค์นี้...หนึ่งใน
ยามเช้าตรู่นอกศาลาพักทางสิบห้าลี้ เมืองตงไห่สายลมวสันต์พัดโชยเบาๆ แสงแดดอ่อนละมุนหลิวเกินเซิงพาบรรดาผู้ลี้ภัยหนุ่มแน่นมาถึงใกล้เขตเมืองตงไห่ก่อนผู้ใด ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ เขาโบกมือพลางตะโกนเสียงดังว่า “ทุกคน อดทนอีกหน่อย อีกไม่ไกลก็ถึงศาลาสิบลี้แล้ว! พอพ้นศาลานั้นก็เข้าเมืองตงไห่ได้เลย! ก่อนตะวันตกดินเราจะได้พบองค์รัชทายาทแน่นอน!”“แค่ได้พบหน้าองค์รัชทายาท พวกเราก็จะมีข้าวกินแล้ว!”ทว่าเมื่อได้ฟังคำของหลิวเกินเซิง เหล่าผู้ลี้ภัยกลับมิได้แสดงความยินดีแม้แต่น้อย แต่ละใบหน้าที่ซูบตอบกลับฉายแววคลางแคลงใจ“เกินเซิง เจ้าบอกว่าองค์รัชทายาทผู้นี้จะเชื่อถือได้จริงหรือ? ตลอดทางที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนเขตตงไห่จะรกร้างกันดาร พืชพันธุ์ธัญญาหารในนาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเก็บเกี่ยวได้ ท่านแน่ใจหรือว่าพวกเราไปถึงเมืองตงไห่แล้วจะมีข้าวกินจริงๆ?”“ใช่แล้ว เกินเซิง แม้ว่าหนทางนี้จะยากลำบากเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่อย่างน้อยระหว่างทางก็ยังพอมีเปลือกไม้ให้แทะ มีรากหญ้าให้เคี้ยว แต่พอเข้ามาในเขตเมืองตงไห่ ต้นไม้ทุกหนแห่งกลับมีแต่ลำต้นเกลี้ยงเกลา แม้แต่เปลือกไม้ก็ไม่มีให้แทะ ไม่ต้องพูดถึงรากหญ้า
เมื่อหลี่หลงหลินเห็นว่าท่าทีของกงชูหว่านแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จึงไม่ได้ขัดขวางอีกต่อไป เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องการรับคนเข้าทำงานก็ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนนักหรอก ขนาดเมืองตงไห่ใหญ่โตปานนั้น ประชากรกว่าหลายแสน จะให้เชื่อคำของพระเชษฐภาดาฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ท่ามกลางราษฎรย่อมมีผู้ตาสว่างรู้ผิดชอบอยู่บ้าง เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันจนหนักอึ้ง รับสมัครได้เท่าใด ก็เอาเท่านั้น! มีมาเท่าใด ก็รับไว้ทั้งหมด ไม่ต้องปฏิเสธผู้ใด!”กงซูหว่านชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามว่า “ไม่ปฏิเสธผู้ใดหรือเพคะ? รัชทายาท ยามนี้ค่าจ้างที่เราเสนอให้นั้นสูงกว่าราคาตลาดเท่าตัว ทั้งสวัสดิการก็ดีเยี่ยม หากมิใช่เพราะพระเชษฐภาดาออกมาสร้างความวุ่นวาย เกรงว่าเพียงแค่วันนี้วันเดียวก็คงสามารถรับสมัครช่างฝีมือดีได้ครบตามจำนวนแล้ว”“ทว่ายามนี้ข่าวลือแพร่สะพัด คนที่มาก็ล้วนเป็นพวกไร้ฝีมือ ถ้าไม่คัดกรองให้ดี เกรงว่างานก่อสร้างจะต้องพังเอาแน่ๆ”หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวล แม้แต่พวกอันธพาลข้างถนน ก็ยังต้องเชื่องเมื่อเจอกับเฟิ่งหลิง ตราบใดที่คนเหล่านั้นมีฝีมือ ไม่ว่าจ
ภายในห้องหนังสือหลี่หลงหลินกำลังวาดผังอย่างขะมักเขม้น เห็นว่ากงซูหว่านมา จึงเงยหน้าพูดยิ้มๆ “พี่สะใภ้รอง ท่านด่าพระเชษฐภาดาได้เจ็บแสบยิ่งนัก สาแก่ใจจริงๆ!”ใบหน้ากงซูหว่านแดงเรื่อ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว?”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ไม่ใช่เพียงข้า เรื่องนี้เล่าลือไปทั่วทั้งตงไห่แล้ว อีกไม่นานก็จะส่งต่อไปยังเมืองหลวง ผ่านไปนานกว่านี้อีกระยะหนึ่ง ผู้คนทั้งเหนือใต้ก็จะได้รับรู้กันอย่างถ้วนทั่ว!”“พี่สะใภ้รอง ท่านจะมีชื่อเสียงแล้ว!”สีหน้ากงซูหว่านแดงยิ่งขึ้น ขบเม้มริมฝีปากเบาๆ “องค์ชาย ท่านอย่าล้อหม่อมฉันเล่นเลย! ชื่อเสียงเรื่องด่าคนมีอะไรดี! หม่อมฉันหญิงร้ายเช่นนี้ น่ากลัวว่าไม่มีชายใดต้องการ แต่งไม่ออกแล้ว!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “หากไม่มีใครกล้าแต่งกับท่าน ข้าจะแต่งเอง! อย่างไรเสียข้าก็แต่งงานกับเสือโคร่งอย่างซูเฟิ่งหลิงไปแล้ว เพิ่มหญิงปากคอเราะร้ายมาอีกหนึ่งคนก็ชินชาไม่รู้สึกรู้สาอันใดแล้ว!”กงซูหว่านสะเทิ้นอายใบหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงนุ่มนวล “ห้ามพูดถึงหม่อมฉันและน้องเล็กเช่นนี้! ยิ่งไปกว่านั้น ใครรับปากว่าจะแต่งกับท่าน...”ผิวพรรณที่เดิมทีขาวดุจหิมะของกงซูหว่า
กงซูหว่านหัวเราะขึ้นมา “อะไรกัน? พระเชษฐภาดาท่านกลัวแล้วหรือ? คนซื่อตรงย่อมไม่หวั่นเกรงต่อคำว่าร้าย ท่านยิ่งไม่ให้พูด ข้าก็ยิ่งจะพูด! ข้ายังจะตะโกนเสียงดังอีกด้วย! พวกเจ้าสกุลหลู่ล้วนกบฏฝังลึกอยู่ภายในกระดูก อิงตามที่ข้าได้เห็น น่ากลัวว่าพระเชษฐภาดาก็ใกล้จะเจริญตามรอยพวกเขาในอีกไม่ช้าแล้ว!”หลู่จงหมิงกุมอกแน่นๆ คล้ายถูกคนชกอย่างแรงหนึ่งหมัด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “สาม...สามหาว!”“ผู้หญิงฝีปากคมกริบตัวดี!”“กล้าหยามเกียรติพระเชษฐภาดาต่อหน้าธารกำนัล!”“เด็กๆ ตบปาก!”“ตบปากคมกริบของนางให้ข้า!”เพียงสิ้นเสียงลง บ่าวท่าทางดุดันหนึ่งกลุ่มทางด้านหลังหลู่จงหมิงก็ถลันเข้ามาล้อมกงซูหว่านเอาไว้สีหน้าเหล่าราษฎร์เผือดซีด ต่างพากันแยกย้ายพระเชษฐภาดาหยิ่งยโสโอหังภายในตงไห่จนคุ้นชินแล้ว พวกเขาล่วงเกินไม่ไหว!กงซูหว่านกลับไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าเยียบเย็นผ่อนคลาย สบมองหลู่จงหมิงสีหน้าหมิ่นแคลน “ท่านกล้าแตะต้องข้า?”หลู่จงหมิงหัวเราะ “ข้าเป็นพระเชษฐภาดาของฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน เจ้านับเป็นตัวอะไร? ก็แค่พี่สะใภ้ของรัชทายาทไม่ใช่หรือ? กลับกล้าอ้างบารมีเย่อหยิ่งจองหอง? ข้าพระเชษฐภาดาผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให
เพียงเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมาราษฎร์ตงไห่ต่างพากันฮือฮา!องค์ชายเก้าคนของต้าเซี่ย แต่ละคนล้วนเกิดความคิดก่อกบฏเริ่มแรกคือองค์ชายใหญ่ องค์ชายสาม องค์ชายสี่และองค์ชายหก วางแผนร้าย คิดก่อกบฏบัดนี้ถึงตาองค์ชายเก้าหลี่หลงหลินแล้ว!บัดนี้เขาเป็นรัชทายาท ได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากฮ่องเต้หวู่ ต่อให้ก่อกบฏ โทษก็ไม่ถึงตายเลวร้ายที่สุดก็เหมือนองค์ชายสี่หลี่จือ ถูกกักบริเวณ ใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายไปชั่วชีวิตหากตนเองโง่งม ไปสร้างเมืองใหม่อะไรนั่นกับรัชทายาท วางแผนก่อกบฏ นั่นคือโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร!ราษฎร์ไม่น้อยเดิมทีก็ลังเลอยู่ ครั้นถูกหลู่จงหมิงพูดคำนี้ออกมา ทำลายความคิดไปแล้วหลู่จงหมิงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ใบหน้าลำพองใจ “กงซูหว่าน เจ้ากลับไปบอกรัชทายาท เรื่องเขาวางแผนก่อกบฏถูกข้าจับได้แล้ว! อีกเดี๋ยวข้าจะถวายฎีกาหนึ่งฉบับกราบทูลฝ่าบาท เล่นงานเขาจนอับจนหนทาง!”รัชทายาทรับมือยากจริง!แต่กงซูหว่านผู้หญิงคนหนึ่ง หลู่จงหมิงสามารถจัดการได้อย่างผ่อนคลาย“ฮึๆ...”คิดไม่ถึงเลยว่ากงซูหว่านไม่มีความตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามกันแสยะยิ้มเย็นชาออกมาสีหน้าหลู่จงหมิงเคร่งขรึม “เจ้ายิ้ม
หลู่จงหมิงพูดเสียงเคร่งขรึม “คุณหนูกงซู ไม่ได้พบกันนานเลย!”กงซูหว่านหยุดงานในมือลง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ได้เห็นใบหน้าประดับยิ้มเจ้าเล่ห์ของหลู่จงหมิงกำลังมองตนเอง สายตาเช่นนี้ทำให้กงซูหว่านรู้สึกไม่สบายตัวกงซูหว่านพูดเสียงเย็นชา “พวกเราที่นี่รับสมัครเพียงช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ต้องการคนคดโกงขูดรีดเลือดเนื้อจากราษฎร์ ท่านหลีกไป อย่ามาขัดขวาง”เหล่าราษฎร์ต่างแตกตื่น!กงซูหว่านถึงขั้นไม่ไว้หน้าพระเชษฐภาดา!จะต้องรู้ว่านี่คือตงไห่ มังกรแข็งแกร่งไม่อาจสู้งูดิน พระเชษฐภาดาเป็นงูดินที่ตงไห่ แต่เหล่าขุนนางที่มาถึงตงไห่ล้วนต้องให้ความเคารพพระเชษฐภาดา แต่กงซูหว่านไม่วางตัวต่ำต้อย ยืดอกด้วยความมั่นใจ ภายในสายตาเปี่ยมความดูแคลนภายในจวนอ๋องในวันนั้น ความฟุ่มเฟือยของพระเชษฐภาดายังอยู่ในสมองของนางไม่อาจลบเลือนออกไปได้ ภายในสายตากงซูหว่าน พระเชษฐภาดาก็แค่ตัวไร้ประโยชน์ ใช้ตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งมาแสวงหาความเพลิดเพลินก็เท่านั้น เป็นสิ่งที่นางดูแคลนที่สุด!พระเชษฐภาดาถูกกงซูหว่านทำให้อับอายถึงเพียงนี้บนถนน ทันใดนั้นโทสะพลุ่งพล่านมากขึ้นสามจั้ง พูดเสียงเย็นชา “ขัดขวาง? ข้าพระเชษฐภาดาผู้ยิ่งให
ตลาดเมืองตงไห่ครึกครื้นตั้งแต่เช้า ราษฎรรับชมความครึกครื้นจนแน่นขนัดกงซูหว่านกวนปูนคอนกรีตสีดำภายในถังไม้ด้วยความตั้งใจท่ามกลางสายตาของกลุ่มคน ขมวดคิ้วแน่นราษฎร์ไม่น้อยเพียงแต่ว่างงานไม่งานทำ มาเชยชมรูปโฉมที่แท้จริงของสตรีมีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของใต้หล้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยทำให้การสัญจรทั้งตลาดติดขัดต่อให้เป็นเช่นนี้ ช่วงเช้ากงซูหว่านก็รับสมัครช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญได้ไม่น้อย อย่างไรเสียตอนนี้ตงไห่ก็กำลังเกิดหายนะ เหล่าราษฎร์เดือดร้อนแทบจะไม่สามารถกินข้าวประทังชีวิตได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าไปซ่อมแซมสร้างบ้าน ช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญโดยส่วนมากอยู่ในสถานะว่างงานเหล่าช่างฝีมือได้ยินว่ารัชทายาทต้องการช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ต่างพากันเดินทางมา ทำให้กงซูหว่านประหยัดแรงไปไม่น้อยเพียงแต่กงซูหว่านยังไม่สามารถหาสัดส่วนที่เหมาะสมในการผสมปูนคอนกรีตได้ ปูนคอนกรีตที่เคยผสมก่อนหน้านี้บ้างก็แข็งตัวไม่เพียงพอ บ้างก็หลังแข็งตัวแล้วกลับมีความแข็งแรงไม่เพียงพอ จนทำให้แตกร้าวกงซูหว่านราวกับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีสายตาแหลมคมดุจเหยี่ยวหนึ่งคู่กำลังจับจ้องตนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนสีหน้
มุมปากหลู่จงหมิงยกขึ้นแสยะยิ้มเย็นชา “ชีวิตที่ไม่มีเจ้าหลี่หลงหลินช่างสุขสบายโดยแท้ จิบสุราโอบหญิงงาม เพลิดเพลินมีความสุข!”แม้ว่าเรื่องธัญพืชทำให้หลู่จงหมิงต้องขาดทุนอย่างหนักในเงื้อมมือของหลี่หลงหลิน แต่โชคดีหลู่จงหมิงยับยั้งการขาดทุนได้ทันเวลา เปิดยุ้งฉางขายธัญพืชทั้งหมดให้แก่พวกตระกูลขุนนางในตงไห่ ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ดังนั้นจึงมีเวลาเพลิดเพลินอยู่ภายในจวนหญิงสาวงดงามมีเสน่ห์ทั้งสองคนภายในอ้อมกอดของหลู่จงหมิงมีเรือนร่างอรชรแบบบาง สวมใส่ผ้าโปร่งบาง ผิวขาวนวลดุจหิมะเปิดเผยออกมา มีเสน่ห์มากเป็นพิเศษใบหน้าหลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ขณะคิดจะฉวยโอกาสหาความสำราญตามใจปรารถนา“นายท่าน! แย่แล้วขอรับ!”เสียงร้องตะโกนขัดแผนการของหลู่จงหมิงพ่อบ้านพาบ่าวหนึ่งกลุ่มวิ่งลนลานเข้ามา บนหน้าผากล้วนคือเหงื่อเม็ดใหญ่สีหน้าหลู่จงหมิงโกรธจัด พูดเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องใดขึ้น ลนลานถึงเพียงนี้? ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตอนข้าดื่มสุราห้ามรบกวน!”พ่อบ้านคุกเข่าบนพื้น หมอบตัวแนบพื้นและพูดเสียงเคร่งขรึม “นายท่าน รัชทายาท...รัชทายาทมีความเคลื่อนไหวแล้ว!”“เจ้าเด็กนั่นทำอันใด!”หลู่จงหมิงขมวดคิ้ว
หลี่หลงหลินยิ้มจางๆ และพูดว่า “พี่สะใภ้รอง ต่อให้เสด็จพ่อถามออกมา นั่นแล้วอย่างไรเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพียงแต่เสนอแนวความคิดอย่างหนึ่งเท่านั้น ยามลงมือปฏิบัติยังต้องทำการทดลองและผ่านการทดสอบจำนวนมาก ถึงจะสามารถคิดค้นปูนคอนกรีตที่แท้จริงออกมาได้”“ภายในนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบากหลากหลายอย่าง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พี่สะใภ้รองต้องรับมือด้วยตนเอง ต่อให้ฝ่าบาทเอ่ยถามขึ้นมา ท่านก็ไม่ต้องหวาดหวั่น”กงซูหว่านได้ยินถ้อยคำของหลี่หลงหลิน ทันใดนั้นตกอยู่ในห้วงแห่งความลังเล “แต่องค์ชาย...เดิมทีผลงานนี้ก็สมควรเป็นของท่าน หม่อมฉันเพียงทำตามคำสั่งขององค์ชายเท่านั้น ไม่สมควรรับผลงานเพียงลำพังคนเดียว”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “พี่สะใภ้รอง ท่านเป็นสตรีมีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของใต้หล้า คิดค้นปูนคอนกรีตเป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ อย่าได้ดูแคลนตนเองเป็นอันขาด ต่อให้ข้าเป็นผู้เสนอความคิด แต่คิดค้นและสร้างขึ้นมาต่างหากสำคัญที่สุด หากเพียงแต่พูดปากเปล่าก็ไร้ความหมาย”ลั่วอวี้จู๋ทางด้านข้างพูดเสริมขึ้นว่า “ใช่แล้วน้องรอง ปัญหาและความยากลำบากที่ต้องฝ่าฟันระหว่างนี