หลังทานข้าวและล้างถ้วยชามเอาไว้แล้ว ซูหนิงจิงก็ขึ้นไปเอากระเป๋าของตัวเองลงมาด้านล่างและบอกลูกสาวเอาของไปเก็บในรถก่อนไปเปิดประตูรั้ว ส่วนเธอจะล็อกประตูบ้าน
ซูหนิงจิงถอยรถออกจากบ้านและรอให้ลูกสาวปิดประตูรั้วก่อนที่จะมาขึ้นรถและคาดเข็มขัดนิรภัย ซูหนิงจิงจึงขับรถออกจากหน้าบ้านไป
“หนิงเซียวอยากเรียนโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนรัฐลูก แม่จะได้หาโรงเรียนให้ถูก”
“หนูเรียนที่ไหนก็ได้ค่ะแม่ แต่เอกชนน่าจะมีสอนภาคภาษาอังกฤษหรือเปล่าคะแม่ ที่โรงเรียนเดิมหนูก็เรียนนานาชาตินะคะ”
“อืม นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราหาโรงเรียนนานาชาติดูก่อน ถ้าไม่มีค่อยดูว่ามีโรงเรียนไหนที่สอนภาคภาษาอังกฤษก็แล้วกัน เพราะในอนาคตลูกต้องใช้ภาษาอังกฤษเยอะแน่ ๆ”
“ได้ค่ะแม่ แล้วแม่พอจะรู้บ้างไหมคะว่าโรงเรียนอยู่แถวไหนบ้าง”
“แม่ยังไม่ได้หาข้อมูลเลยลูก แค่เราลองขับรถวนดูในเมืองก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรมั้ง เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนเมืองหลวงนะลูก แม่คิดว่าน่าจะมีโรงเรียนแค่ไม่กี่แห่ง”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่ต้องขับเร็วมากนะคะ เราจะได้มองเห็นโรงเรียนกันทัน”
“จ้า ลูกช่วยแม่มองดูข้างทางด้วยล่ะ”
“ได้ค่ะแม่”
สองคนแม่ลูกขับรถไปเรื่อย ๆ ภายในเมืองก้านโจวอย่างไม่เร่งรีบ พวกเธอหันมองข้างทางกันบ่อย ๆ เพื่อหาดูว่ามีโรงเรียนแถวไหนบ้าง กว่าที่ซูหนิงจิงจะขับรถรอบก้านโจวก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง พวกเธอเห็นมีโรงเรียนเพียงแค่สามแห่งเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในสามนั้นเป็นโรงเรียนเอกชนที่ดูไม่เลวนัก
“ลูกอยากเรียนโรงเรียนเอกชนที่ผ่านมามั้ยหนิงเซียว แม่ว่ามันดูดีนะ”
“เราลองเข้าไปถามดูก่อนก็ได้ค่ะแม่ ความจริงหนูเรียนที่ไหนก็ได้ค่ะ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปสอบถามดูก่อนก็แล้วกัน”
ซูหนิงจิงเลี้ยวรถวกกลับไปยังโรงเรียนที่ผ่านมาแล้วเพื่อเข้าไปสอบถามอาจารย์ในโรงเรียนว่าที่นั่นมีการเรียนการสอนเป็นอย่างไรบ้าง เพราะซูหนิงจิงอยากให้ลูกสาวได้เรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ เธอไม่อยากย้ายไปที่มณฑลเหอที่อยู่ไม่ไกลซึ่งมีโรงเรียนให้เลือกมากกว่า แต่ความปลอดภัยที่นั่นเธอไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร จึงไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในเมืองที่ใหญ่นัก
เมื่อซูหนิงจิงขับไปถึงหน้าประตูโรงเรียนที่ปิดอยู่ เธอก็ลงไปสอบถาม รปภ. ที่อยู่หน้าโรงเรียนเรื่องขอเข้าไปสอบถามข้อมูลการเรียนการสอนสำหรับลูกสาว
“คุณรอสักครู่นะครับ ขอผมโทรสอบถามอาจารย์ด้านในก่อน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
รปภ.คุยโทรศัพท์ไม่นานนักก็วางสายไป
“คุณรอที่นี่ก่อนนะครับ เลื่อนรถขึ้นไปจอดอีกหน่อยนะครับจะได้ไม่ขวางทางเข้าออก อีกสักครู่จะมีอาจารย์แนะแนวมาพาคุณกับลูกไปดูโรงเรียนเองครับ”
“ค่ะ ขอบคุณที่ช่วยติดต่อให้นะคะ เดี๋ยวดิฉันเลื่อนรถให้ค่ะ”
ซูหนิงจิงรีบขึ้นรถแล้วขับเดินหน้าไปเพื่อไม่ให้ขวางประตู เมื่อจอดรถเสร็จแล้วเธอก็ชวนลูกสาวลงจากรถแล้วล็อกเอาไว้ ก่อนจะจูงมือซูหนิงเซียวเดินกลับไปที่ป้อม รปภ.
ทั้งสองคนรออยู่เกือบ 15 นาที กว่าที่อาจารย์แนะแนวจะเดินมาถึงหน้าป้อม รปภ. ซูหนิงจิงรีบพาลูกสาวทักทายอาจารย์ทันที
“พวกคุณต้องการเข้าไปดูโรงเรียนใช่มั้ยคะ แล้วเด็กอายุกี่ขวบแล้วคะ”
“ 7 ขวบค่ะ คือเรามีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่เลยต้องหาโรงเรียนใหม่ที่เมืองนี้ค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่สามารถรับเด็กช่วงกลางเทอมได้หรือเปล่าคะ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาค่ะ หากเด็กมีเอกสารรับรอง โรงเรียนเราสามารถรับเด็กเข้ามาเรียนช่วงกลางเทอมได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนอาจารย์ช่วยพาดิฉันกับลูกเดินดูภายในโรงเรียนก่อนได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำโรงเรียนและหลักสูตรต่าง ๆ ภายในโรงเรียนให้นะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เชิญคุณกับลูกตามดิฉันมาได้เลยนะคะ”
“ตกลงค่ะ ไปกันเถอะลูก”
ซูหนิงจิงเดินจูงมือลูกสาวตามหลังอาจารย์แนะแนวไปติด ๆ ระหว่างทางนั้นก็มีเสียงอาจารย์บอกถึงเรื่องราวของโรงเรียนนี้ว่าเป็นโรงเรียนสองภาษา เด็กสามารถเลือกเรียนได้ว่าจะเรียนแบบไหน อาคารเรียนของที่นี่ก็มีไม่น้อย และโรงเรียนนี้สอนเด็กตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงชั้น ม.ปลาย จึงทำให้โรงเรียนกว้างมากอย่างที่เห็น
ซูหนิงจิงฟังไปด้วยและสอบถามอาจารย์ในบางคำถามที่เธอสงสัย กระทั่งทั้งสามคนเดินทั่วโรงเรียนที่กว้างขวางจนครบทุกอาคารแล้วนั่นแหละ อาจารย์จึงพาสองแม่ลูกไปนั่งในห้องแนะแนวของเธอ
“ทานน้ำก่อนนะคะ พวกคุณน่าจะเหนื่อยแล้ว โรงเรียนของเราแยกอาคารเรียนออกตามระดับการศึกษาอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ นักเรียนจึงได้ไม่วุ่นวายกันมากนัก เพราะแต่ละระดับก็จะมีพื้นที่ของตัวเองแยกต่างหาก” อาจารย์บอกเล่าต่อหลังวางแก้วน้ำเอาไว้ให้ซูหนิงจิงกับซูหนิงเซียวแล้ว ตัวเธอเองก็ดื่มน้ำด้วยเช่นกันก่อนจะนั่งลงสอบถามว่าพวกเธอพอใจกับโรงเรียนหรือไม่
“อืม ถ้าหากว่าลูกสาวดิฉันเข้าเรียนในระบบภาษาอังกฤษ จะต้องมีการทดสอบอะไรก่อนเข้าเรียนหรือเปล่าคะ เพราะโรงเรียนเก่าลูกสาวดิฉันก็เรียนนานาชาติมาค่ะ”
“ถ้ามีหนังสือรับรองจากโรงเรียนนานาชาติก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบความรู้ค่ะ คุณแม่มีหนังสือรับรองหรือเปล่าคะ”
“มีค่ะ ก่อนมาที่นี่ดิฉันขอทางโรงเรียนเอาไว้แล้วค่ะ เชิญอาจารย์ตรวจดูก่อนค่ะ หนิงเซียว ส่งเอกสารให้อาจารย์สิลูก”
“ค่ะแม่ นี่ค่ะอาจารย์ เอกสารรับรองการเรียนของหนูก่อนหน้านี้ค่ะ”
ซูหนิงเซียวยื่นซองเอกสารให้อาจารย์ตรวจสอบพร้อมรอยยิ้ม อาจารย์แนะแนวเห็นเด็กคนนี้ดูอัธยาศัยดีและมีมารยาทก็นึกชอบไม่น้อย นับว่าแม่ของเธอสอนมาได้อย่างดีทีเดียว ทั้งที่ปกติเด็กเจ็ดขวบมักจะเอาแต่ใจไม่น้อย แต่เด็กคนนี้กลับดูเชื่อฟังมากจริง ๆ
อาจารย์ตรวจสอบเอกสารและคะแนนโดยรวมของซูหนิงเซียวไม่นานนักก็พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกรายละเอียดเพิ่มเติมของโรงเรียน
“เอกสารนี้สามารถใช้เข้าเรียนในระบบภาษาอังกฤษได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องค่าเทอม ค่าหนังสือและชุดนักเรียน คุณแม่สะดวกจ่ายวันไหนคะ ดิฉันจะได้ส่งเรื่องขึ้นไปให้ผู้อำนวยการอนุมัติการเข้าเรียนของลูกคุณในวันนี้เลย”
“ดิฉันจ่ายได้วันนี้เลยค่ะ ไม่ทราบที่นี่รับระบบการโอนเงินผ่านธนาคารหรือเปล่าคะ”
“รับค่ะ คุณแม่ยังสามารถใช้บัตรเครดิตได้ด้วยนะคะ เรามีเครื่องอ่านบัตรค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอรบกวนอาจารย์พาไปจ่ายค่าเทอมกับเรื่องค่าหนังสือและชุดนักเรียนด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ พวกคุณตามดิฉันมาได้เลยค่ะ ดิฉันจะพาไปทำเรื่องให้เสร็จภายในวันนี้เลย แล้วพรุ่งนี้ลูกสาวคุณก็สามารถมาเรียนได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้นะคะ ไปกันเถอะลูก ตามอาจารย์ไปกันพรุ่งนี้ลูกจะได้เรียนกับเพื่อนใหม่เสียที”
“ค่ะแม่”
อาจารย์ได้ยินสองแม่ลูกคุยกันก็ได้แต่ยิ้ม เธอไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะมีเงินมากถึงขนาดส่งลูกเข้าเรียนที่นี่ได้ แต่จากเอกสารโรงเรียนเก่าของเด็กก็เป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีค่าเทอมไม่ใช่น้อย ๆ ดังนั้นอาจารย์จึงคิดว่าบ้านนี้น่าจะรวยไม่น้อยไปกว่าครอบครัวเด็กคนอื่น ๆ ในโรงเรียนเช่นกัน
กว่าที่จะเสร็จธุระในโรงเรียนก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ตอนนี้ซูหนิงเซียวได้รับหนังสือเรียน ตารางเรียน ชุดนักเรียนพร้อมกับบัตรประจำตัวนักเรียนเรียบร้อยแล้ว ซูหนิงจิงที่รบกวนอาจารย์มานานก็ได้แต่บอกลาและแจ้งเวลาว่าเธอจะมารับส่งลูกด้วยตัวเอง โดยที่โรงเรียนไม่ต้องไปรับลูกสาวเธอที่บ้าน ก่อนที่ทั้งสองคนแม่ลูกจะขอตัวกลับไป
ซูหนิงจิงสอบถามลูกสาวว่าชอบโรงเรียนใหม่หรือไม่
“หนูชอบค่ะแม่ ที่นี่ดูสงบเงียบกว่าโรงเรียนเก่าหนูซะอีก แถมอาจารย์ยังดูไม่ดุด้วย”
“ถ้าลูกชอบก็ดีแล้ว หลังจากนี้ก็ตั้งใจเรียนนะลูก ก่อนเข้าบ้านแม่พาลูกไปกินข้าวที่ห้างก่อนดีกว่า เมื่อเช้าเราผ่านห้างในเมืองนี่นา เผื่อว่าลูกอยากหาซื้อหนังสืออ่านเพิ่มเติมด้วย”
“ตกลงค่ะแม่ ตอนนี้หนูหิวแล้วด้วย เรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลยนะคะ”
“นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็นั่งดี ๆ ล่ะ แม่จะรีบพาไปกินข้าวแล้วซื้อของไปไว้ทำอาหารเย็นให้ลูกด้วย ที่บ้านไม่มีวัตถุดิบกับเครื่องปรุงเลยสักอย่าง วันนี้เรากลับเย็นหน่อยคงไม่เป็นไร”
“หนูจะช่วยแม่ถือของนะคะ ฮิ ฮิ”
“ฮ่า ฮ่า ขอบใจมากลูก แต่แม่ว่าลูกน่าจะถือไม่ไหวนะ แม่คิดจะซื้อของใช้จำเป็นหลายอย่างเลยล่ะ”
“อืม… ถ้าอย่างนั้นหนูจะถือแค่ที่ตัวเองไหวค่ะแม่”
“จ้าลูก ขอบใจมากนะที่หนูคอยช่วยแม่ตลอด”
ซูหนิงเซียวได้แต่ยิ้มรับคำแม่ของตัวเองอย่างร่าเริง เธอดีใจที่แม่ไม่ได้คิดถึงเรื่องของพ่อเธอแม้แต่น้อยหลังจากที่เธอกังวลมาทั้งคืนจนกระทั่งวันนี้
ระหว่างอาหารค่ำวันหนึ่ง ซูหนิงเซียวที่กำลังจะกินทอดมันกลับรู้สึกเหม็นกลิ่นอาหารยังไงพิกลจนเธอต้องลุกขึ้นวิ่งไปอาเจียนที่ห้องน้ำ ทำเอาทุกคนแตกตื่นตกใจกันไปหมดเพราะคิดว่าเธอพักผ่อนไม่เพียงพอจากการไลฟ์สดต่อเนื่องกันมานานหลายวัน จ้านเการีบสั่งคนให้เตรียมรถไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นซูหนิงเซียวเดินหน้าซีดออกมาจากห้องน้ำ เขาก็รีบเข้าไปอุ้มเธอและเดินดุ่ม ๆ ออกไปหน้าบ้านโดยไม่รอใครสักคน ทำเอาคนอื่น ๆ ต้องรีบเดินตามเขาไปแทบไม่ทัน บอดี้การ์ดพาทุกคนไปถึงโรงพยาบาลใกล้ ๆ ในเวลาเพียง 20 นาที ซูหนิงเซียวเห็นจ้านเกาจะอุ้มเธอลงไปอีกก็เกิดอายคนในบ้านขึ้นมา เธอจึงขอเดินเองจนจ้านเกาต้องยอมแพ้ภรรยาตัวน้อยและประคองเธอลงจากรถตู้เอง หลังส่งซูหนิงเซียวเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจอาการแล้ว บรรดาผู้อาวุโสที่คาดเดาว่าครั้งนี้น่าจะเป็นข่าวดีต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จ้านเกาที่เป็นห่วงภรรยากลับไม่รู้เรื่องอะไร เขาเอาแต่เดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะกลัวว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรง
ในห้องหอที่เป็นห้องของจ้านเกา ซูหนิงเซียวนั่งอยู่ที่เตียงอย่างเขินอาย ก่อนที่จ้านเกาจะจูบหน้าผากภรรยาตัวน้อยของเขาอย่างอ่อนโยน“น้องหนิงเซียวไม่ต้องเครียดมากนะครับ พี่ไม่ทำอะไรน้องก่อนจะเรียนจบแน่นอนครับ เราไปกินข้าวมงคลกันดีกว่า” จ้านเกาจับมือเล็กของซูหนิงเซียวแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะนั่งลงข้างเธอและเริ่มตักอาหารใส่ถ้วยข้าวให้เธอกินไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับครอบครัว ซูหนิงเซียวอดคิดไม่ได้ว่าทำไมสามีเธอไม่อยากมีอะไรกับเธอ หรือว่าเธอจะไม่สวยพอที่เขาจะหลงใหล จ้านเกาเห็นภรรยาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดจะถามไม่ได้“น้องหนิงเซียวคิดอะไรอยู่ครับ ทำไมทำหน้าตาแบบนี้ล่ะ”“เอ่อ… หนูแค่คิดว่าวันนี้หนูไม่สวยพอที่สามีอย่างพี่จ้านจะทำหน้าที่สามีหรือเปล่าน่ะสิคะ เพื่อนหนูบอกว่าเจ้าบ่าวส่วนใหญ่ต้องอดใจไม่ไหวแน่ถ้าเห็นเจ้าสาวนั่งบนเตียง” ซูหนิงเซียวก้มหน้าตอบอย่างอาย ๆ“ฮ่า ฮ่า น้องหนิงเซียวคิดมากเกินไปแล้ว พี่แค่กลัวว่าน้องจะยังไม่พร้อมเท่านั้นเองครับ ถ้าน้องหนิงเซียวอนุญาต พี่ก็จะทำห
ก่อนเวลาตามฤกษ์งามยามดี 10 นาที พิธีกรขึ้นมากล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจำนวนนับร้อยคนที่มาในครั้งนี้ จากนั้นเขาจึงเชิญผู้อาวุโสของตระกูลจ้านทั้งสองขึ้นไปนั่งรอบนเวที ไม่นานนักซูหนิงจิงก็เดินมาพร้อมลูกสาวโดยมีกู่ซิงเดินตามหลังพร้อมรอยยิ้มเข้ามาในงาน จ้านเการีบไปยืนรอเจ้าสาวของเขาที่หน้าเวทีก่อนจะรับเธอมาจากซูหนิงจิง เขายังรับปากซูหนิงจิงว่าจะดูแลซูหนิงเซียวเป็นอย่างดี หลังฟังจ้านเกาพูดแล้ว ซูหนิงจิง กู่ซิงก็เดินนำสองเจ้าบ่าว เจ้าสาวขึ้นไปบนเวทีเพื่อเริ่มทำพิธีการในลำดับต่อไป พิธีกรประกาศของรับขวัญเจ้าสาวที่ตระกูลจ้านมอบให้ ทำเอาแขกในงานฮือฮากันไม่น้อย เนื่องจากของขวัญมากมายทั้ง 28 รายการล้วนแต่เป็นของโบราณและมีค่าควรเมือง ไม่รวมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเมืองต่าง ๆ ที่ผู้อาวุโสทั้งสองมอบให้อีกหลายแห่ง ซูหนิงเซียวถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาที่คุณตา คุณยายของจ้านเกาเอ็นดูเธอถึงเพียงนี้ หลังจบรายการของขวัญฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว พิธีกรก็ประกาศของรับขวัญเจ้าบ่าวที่ซูหนิงจิงมอบให้เช่นกัน คราวนี้แขกในงานยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเมื่อกี้เสียอีก เพราะซูหนิงจิงมอบหุ้นทั้งหมดข
ก่อนถึงงานแต่งสามวัน วันนี้มีข่าวใหญ่ที่สื่อทุกสำนักนำเสนอ จากหลักฐานที่ตำรวจได้รับมาก่อนหน้านี้ หลังจากตรวจสอบที่มาที่ไปและพบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริง ตำรวจได้นำส่งหลักฐานให้ศาลพิจารณาออกหมายจับนักการเมืองหลายสิบคนที่มีส่วนร่วมในการทุจริตและคอรัปชั่นมาตลอดหลายสิบปี เจียวจิ้งเหอที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้แต่เหงื่อตกหลังจากดูข่าวที่กำลังฉายในทีวี เขาไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้ทำไมถึงไปอยู่กับตำรวจได้ วันที่ทนายมาทำพินัยกรรมให้กับเขา ทนายก็ไม่ได้บอกว่าหลักฐานหายไป เจียวจิ้งเหอยิ่งดูข่าวก็ยิ่งเครียดจนความดันขึ้นสูงและเครื่องวัดความดันดังเตือนไปยังพยาบาลด้านนอก พวกเธอรีบเข้ามาดูคนไข้ที่กำลังช็อคทันที แต่เสียดายที่ตอนนี้เจียวจิ้งเหอเส้นเลือดในสมองแตกไปจากความเครียดที่เกิดขึ้น หมอรีบเข้ามาดูอาการแล้วก็ได้แต่ต้องรีบพาเขาไปห้องผ่าตัดเพื่อดูดลิ่มเลือดในสมองออกก่อนที่อาการจะหนักมากไปกว่านี้ หลงฮ่าวกับเจียวจูได้รับข่าวจากโรงพยาบาลในเวลาต่อมา พวกเขารีบไปที่โรงพยาบาลกันอย
สามวันต่อมา จ้านหย่งเหอ จ้านเซียงชิง จ้านเกา ซูหนิงจิง ซูหนิงเซียวและกู่ซิงเดินทางไปลองชุดที่ร้านตามที่จ้านเซียงชิงจองเอาไว้ก่อนหน้านี้ ร้านนี้มีแต่ชุดสวย ๆ และดูหรูหราเหมาะสมกับงานแต่งงานของเด็กทั้งสองคน ส่วนผู้ใหญ่ต่างก็ดูชุดราตรีแบบต่าง ๆ ที่ร้านนำมาให้ก่อนจะลองชุดกันอย่างสนุกสนาน สองผู้อาวุโสเองก็เลือกชุดแบบโบราณที่ดูเหมาะสมกับวัย กว่าที่ทุกคนจะลองชุดเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงบ่ายกว่าแล้ว พวกเขาเห็นว่าเลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักใหญ่จึงให้คนขับรถหาร้านใกล้ ๆ เพื่อทานอาหารก่อนจะกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าน ระหว่างทานอาหาร จ้านหย่งเหอก็ถามถึงเรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอกับหลานชาย“คดียังต้องเลื่อนการสอบพยานนัดแรกออกไปอยู่ครับคุณตา เพราะเจียวจิ้งเหอต้องรักษาตัวมากกว่าสามเดือนครับ”“ฮึ หวังว่าคราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเขาอีกนะ”ซูหนิงจิงไม่อยากให้จ้านหย่งเหอกังวลมากนัก เธอจึงคิดจะบอกถึงเรื่องที่คนของเติ้งโหย่วได้หลักฐานส่งตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจ้านหย่งเหอคงไม่สบายใจ
เจียวจิ้งเหอฟื้นขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันต่อมาหลังจากผ่าตัด หมอตรวจอาการของเขาพบว่าร่างกายช่วงล่างของเขาไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เนื่องจากกระดูกสันหลังและเส้นเลือดเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ เจียวจูกับหลงฮ่าวพอได้ข่าวก็รีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อพวกเขารู้ว่าเจียวจิ้งเหอไม่สามารถใช้ร่างกายช่วงล่างได้อีกก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เรื่องคดีของเจียวจิ้งเหอก็ยังไม่ได้รับการตัดสิน หากเจียวจิ้งเหอต้องไปอยู่ในคุกข้อหาจ้างวานฆ่าจริง ๆ พวกเขาคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากหมั่นไปเยี่ยมเท่านั้น หลังจากรู้เรื่องว่าต่อไปตัวเองต้องเป็นคนพิการ เจียวจิ้งเหอก็ได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง เขาไม่สนใจว่าเป็นฝีมือใครแล้วในตอนนี้ ถึงเขาจะแก้แค้นกลับก็ไม่ช่วยให้เขาสามารถใช้งานร่างกายที่พิการไปแล้วได้อยู่ดี เจียวจูเห็นพ่อของตัวเองเงียบลงไปแบบนี้ก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นไปอีกจนหลงฮ่าวต้องคอยกอดปลอบเธอเอาไว้ ไม่นานนักเจียวจิ้งเหอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อคุยกับลูกสาวและลูกเขยถึงเรื่องสำคัญ“หลงฮ่าว อาจู พรุ่งนี้เรียกทนายมาหาพ่อที่นี่ด้วยนะ พ่อจะทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกกับหลาน ส่วนเรื่องคดีของพ่อคงอีก