“ก็ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษ เรื่องที่เธอหาคำตอบให้ฉันไม่ได้ก็แล้วกัน”
“.....” ฉันอึ้งไปเลย แบบนี้ก็ได้เหรอ แล้วสรุปคือฉันผิดใช่ไหมเนี่ย ก็พอจะรู้มาบ้างนะ ว่าคุณเขาเป็นคนมึนๆ แต่ไม่คิดว่าจะมึนขนาดนี้
“เอ้า! ยืนเอ๋ออยู่ได้ ฉันจะได้กินข้าวไหมวันเนี้ย”
“อะ...อ๋อค่ะ” ฉันกุลีกุจอตักข้าวใส่จานแบบร้อนรน มือไม้สั่นไปหมด เม้มปากกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม นะ...นี่เขากำลังจะลดตัวลงมากินอาหารพื้นๆ ฝีมือฉันจริงๆ เหนือความคาดหมายไปมากเลย
ฉันถือจานข้าวไปบรรจงวางตรงหน้าเขา ก่อนจะถอยออกมาก้าวหนึ่ง เอามือไขว้หลัง ทอดสายตามองไปยังผู้มาเยือนแสนพิเศษ ดีนะที่มื้อนี้ฉันตั้งใจทำสุดฝีมือ อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ฉันมีอะไรดีขึ้นมาบ้างในสายตาเขา แค่นี้ก็พอแล้ว…
“ทำไมยืนค้ำหัวฉัน”
เสียงทุ้มปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ ก่อนจะก้าวขาถอยหลังไปอีกสามก้าวยาวๆ ทีนี้ก็ไม่ค้ำหัวเขาแล้ว
“ยัง!”
ยังอีกเหรอ นี่มันก็ไกลมากแล้วนะ คิ้วบางขมวดเป็นปมอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป ทำได้แค่ถอยหลังไปอีกสามก้าว
“ยังอีก”
ฮะ!! ยังอีก ฉันเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังตัวเอง ก่อนจะหันกลับมามองคนตัวสูงที่นั่งมองฉันอยู่ที่โต๊ะอาหารโน่น คืออีกก้าวเดียวฉันจะออกไปอยู่นอกห้องแล้วนะ ยังค้ำหัวเขาอยู่อีกเหรอ แต่สุดท้ายฉันก็ถอยไปอีกก้าวจนติดกำแพง
“ยังๆ ยังไม่เดินกลับมานั่งอีก ฉันบอกให้ถอยไปรึไงฮะ!” เสียงทรงพลังแผดขึ้นจนฉันสะดุ้งเฮือก ก่อนเท้าเล็กจะสาวกลับไปที่โต๊ะอาหารลากเก้าอี้ออกมานั่งอย่างไว พลางก้มหน้างุดลงกับจานเปล่าตรงหน้า เอ่ยบอกเขาแบบรีบๆ
“นั่งแล้วค่ะ หนูนั่งแล้ว”
[Warayu Talk]
“เธอนี่มัน...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัวให้กับความไร้เดียงสาของคนตัวเล็กตรงหน้า ที่นั่งก้มหน้างุดพลางหดคอหลับตาปี๋
เหอะ! ยังยเด็กบ้าเอ๊ย! จะกลัวอะไรขนาดนั้นไม่เข้าใจ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนละไปสนใจจานข้าวของตัวเองและอาหารตรงหน้าแทน
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงนึกสงสารยัยเด็กนี่ขึ้นมาตอนที่เธอจะเทอาหารพวกนี้ทิ้ง ผมคิดว่าเธอน่าจะถูกปฏิเสธ แต่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาคนนั้นเป็น...ใคร คงเป็นคนที่สำคัญมากๆ แววตาเธอเปลี่ยนไปเลยและผมโคตรไม่ชอบแววตาน่าสงสารแบบนั้นของเธอเลย ผมกลับชอบแววตาที่เธอกำลังมองผมอยู่ตอนนี้มากกว่า
ไม่สิ...ต้องบอกว่าทุกครั้งเธอจะมองผม ด้วยแววตาที่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงกำลังจ้องมองเจ้าของของมัน ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น สิ่งเดียวที่ผมรู้และมั่นใจมาก คือยัยเด็กนี่ชอบผม คุกกี้นั่นก็คงเป็นของเธอ
ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะดูอาการคนไม่ออกหรอกนะ แล้วยิ่งเป็นยัยเด็กนี่ เก็บอาการอะไรไม่อยู่สักอย่าง ที่มาวันนี้ก็แค่มาตอกย้ำความมั่นใจของตัวเองก็เท่านั้น แต่ที่ผมทำแบบนี้ไม่ได้แปลว่าผมชอบยัยเด็กบ้านี่นะ อย่างผมไม่มีทางชอบยัยเด็กติ๊งต๊องแบบนี้แน่ แค่ตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีให้ก็เท่านั้น
แต่การที่มีคนมานั่งจ้องแบบนี้ ผมจะกินข้าวลงได้ยังไงกันเล่า ผมไม่หน้าด้านถึงขนาดจะไม่รู้สึกอะไรเลยไหมล่ะ
“ถ้าไม่เลิกจ้อง ฉันจะกลับ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบพลางวางช้อนลงเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เพิ่งหยิบมันขึ้นมาได้ไม่นาน ก่อนที่คนตัวเล็กจะรีบห้ามผมเป็นพัลวัน
“ยะ...อย่านะคะ อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ ไม่มองแล้วค่ะ ไม่มองแล้วก็ได้”
“งั้นก็ไปตักข้าวมากินซิ ต้องให้บอกทุกอย่างเลยรึไงกัน”
“ค่ะๆๆ”
หลายวันต่อมา...“เฮียสุดหล่อของมึงมารับไหมวันเนี่ย” ใยไหมลุกขึ้นมาถามในตอนที่ฉันกำลังเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋า“น่าจะไม่นะ” วันนี้ฉันไม่ได้บอกเฮียวาโยว่าจะเลิกเร็ว คิดว่าเวลานี้เขาน่าจะทำงานอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันกลับหอเองดีกว่า“ว้า…อดเห็นหน้าเลย” ปังปอนด์เดินมาเกาะไหล่ใยไหมและพูดด้วยท่าทางอิดโรยหมดอาลัยตายอยาก บ่งบอกมากว่ามันเสียดายแค่ไหนที่ไม่ได้เห็นหน้าเฮียวาโยของฉัน“เกินไปค่ะ เพื่อน” ฉันพูดเสียงเรียบ ตวัดตามองพร้อมกับหยิบหนังสือไว้ในมือและลุกเดินผ่ากลางพวกมันสองคนออกมาจากคลาสทันทีแน่นอนฉันมีจุดหมายปลายทางในใจอยู่แล้วจะไปแวะซื้อของสด แล้วก็จะรีบกลับไปทำอาหารไว้รอเฮียวาโย รู้สึกช่วงนี้เขาไม่ได้กินอาหารฝีมือฉันเลย ต้องเพิ่มเสน่ห์ปลายจวักมัดใจซะหน่อยแล้ว@อพาร์ตเมนต์JJฉันหอบของพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือยืนล้วงกุญแจอยู่หน้าห้องตัวเองสักพัก นี่มันกระเป๋าหรือหลุมดำเนี่ย กุญแจห้องไปหลบอยู่ตรงไหนนะ ต่อไปต้องหาตุ๊กตาตัวใหญ่ๆ มาห้อยซะละ ฉันควานหาอยู่นาน
“รอด้วยค่ะ”ผมเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดลิฟต์ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นรัวบ่งบอกว่าได้ถึงความรีบร้อน กลัวว่าจะไม่ทันลิฟต์แค่ไหน พอประตูลิฟต์เปิดจนสุด เผยให้เห็นร่างบางของหญิงสาวที่คุ้นตา ยืนพักหายใจสักพักก่อนจะเงยหน้ามองผม“คุณวาโย/ผิงผิง”เราต่างหลุดเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาพร้อมกัน แต่มันต่างกันที่ความรู้สึก ดูจากประกายระยับในดวงตาหญิงสาวตรงหน้า เธอคงดีใจไม่น้อยที่เจอผม แต่สำหรับผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเกิดหายนะยังไงก็ไม่รู้ ทุกครั้งที่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นมักจะจบลงแบบไม่แฮปปี้ตลอดผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่เพราะผมไม่เคยเจอเธอที่นี่สักครั้งตั้งแต่เราแยกกันคืนนั้น มันเลยทำให้ผมชะล่าใจ“มาหาผิงเหรอคะ ไม่เห็นโทรบอกก่อนเลย” เธอโผเข้าหาผม กางแขนออกสองข้างเป็นเชิงว่าจะกอดผมให้หายคิดถึง แต่ผมอาศัยแขนที่ยาวกว่าดันไหล่เล็กทั้งสองข้างไว้ได้ก่อนเธอจะเข้าถึงตัว“เปล่าไม่ได้มาหาเธอ” ผมพูดพร้อมกับถอยห่างและผลักให้เธอไปยืนด้านข้างแทน ประตูลิฟต์ปิดลงพร้อมก
[Warayu Talk]หลังจากที่ผมนั่งคุยกับพ่อแม่หนูเฌอ สักพักท่านทั้งสองก็ขอตัวออกไปตลาดในเมือง เพื่อจะซื้อของมาทำกินกันตอนเย็น ตอนแรกผมอาสาจะพาไป แต่ท่านไม่ยอม บอกให้ผมพักผ่อนอยู่บ้านผมลุกเดินสำรวจไปรอบๆ พลางเหลือบมองคนตัวเล็กที่ยังยืนล้างจานอยู่ในครัว ก่อนจะเลี่ยงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ผมไม่ได้เสียมารยาทนะ ขอพ่อกับแม่เรียบร้อยแล้ว แถมท่านยังบอกเองด้วยว่าห้องนอนลูกสาวอยู่ฝั่งไหน‘ห้องริมสุด ขวามือ’ผมหมุนลูกบิดประตูเปิดเข้ามาในห้องนอนสีหวาน ก่อนจะนิ่ง…ไปพักใหญ่และค่อยๆ ไล่สำรวจตามจุดต่างๆ ของห้อง นี่มันคือแกลอรี่ของผมชัดๆ รูปเล็ก รูปใหญ่ ทุกท่วงท่า ทุกช่วงอายุ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหกปี ถูกติดอยู่รอบห้อง เธอต้องชอบผมถึงขั้นไหนวะ หนังสือเกี่ยวกับรถแข่งก็มาอยู่ในห้องนอนผู้หญิงต๊องๆ แบบหนูเฌอได้ด้วยว่ะ เจ๋งสุดสมุดไดอารี่หกเล่มตั้งเรียงกันบนหัวเตียงเริ่มจากหนึ่งก่อนเลยเธอเริ่มเขียนจากเหตุการณ์เมื่อหกปีก่อนวันแรกที่เจอผม วันที่วิ่งตามหาผมในโรงพยาบาล[หนูรู้ชื่อคุณแล้วนะ วาโย
“แม่คะ หนูมาแล้ว” ฉันเอ่ยทักทายพร้อมกับเปิดประตูเดินเข้าบ้านโดยมีเฮียวาโยตามหลังมาติดๆ“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงหวานคุ้นหูจากผู้เป็นแม่ตอบรับดังมาจากในครัวก่อนจะปรากฏร่างหญิงสูงวัยเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มและจานกับข้าวในมือฉันรีบเดินตรงเข้าหาท่าน หอมแก้มซ้ายขวาตามที่เคยทำเป็นประจำ พร้อมรับจานอาหารไปวางไว้โต๊ะทานข้าวที่อยู่ถัดไปทางซ้ายมือ บนโต๊ะมีกับข้าววางไว้อยู่ก่อนแล้วสี่อย่าง“สวัสดีครับ”เสียงเอื้อนเอ่ยอย่างนอบน้อมจากเฮียวาโยดังขึ้นโดยที่เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ส่วนแม่ของฉัน ท่านนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยกมือรับไหว้จากเฮียวาโยโดยไม่พูดอะไรสักคำ ใจฉันดิ่งลงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นสีหน้าของแม่ รอยยิ้มในตอนแรกค่อยๆ จางหายไป แถมยังทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้อีกความเงียบเข้าปกคลุมทันที บรรยากาศอึมครึมเหมือนมีเมฆนับร้อยเคลื่อนตัวอยู่บนหลังคาบ้านฉัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่งมากฉันควรเดินเข้าไปไหมนะหรือฉันควรพูด…พูดว่าอะไรดีล่ะ“ผมขอโทษครับ” เฮียวาโยเอ่ยขึ้นหลังจากที
Chernarin Talkเช้าวันต่อมาร่างหมดสภาพของฉันถูกลากขึ้นจากที่นอนมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าตรู่ เพราะเรามีนัดสำคัญที่ไม่ว่าจะเลื่อนหรือเบี้ยวก็ไม่ได้เด็ดขาด เฮียวาโยปลุกปล้ำฉันอยู่นานหลายสิบนาที กว่าจะได้เป็นสภาพที่ดูดีขึ้นมานั่งสง่าอยู่บนรถสปอร์ตคันหรูคู่ใจของเขาแบบนี้ได้แต่พอล้อรถเริ่มหมุน ฉันก็รู้สึกนั่งไม่ติดเบาะ พยายามปรับพื้นที่ พลิกซ้าย พลิกขวา หาจุดที่สบายที่สุด สำหรับการพักผ่อนตลอดระยะการเดินทางนี้ฉันใช้ความพยายามอย่างมากที่จะข่มตาให้หลับ เพราะถ้าหลับจะไม่รู้สึกอะไรและมันก็จะดีมากๆ ถ้าฉันไปตื่นอีกทีตอนถึงที่หมายแล้ว…แต่มันไม่ง่ายอย่างงั้น มันไม่หลับ แถมยังมีแต่ความกระอักกระอ่วนตีวนอยู่ในท้องตลอดเวลาเพลงโปรดที่ดังก้องอยู่ตอนนี้ก็ไม่ช่วยสุดท้ายฉันเลือกที่นั่งนิ่งๆ เพราะถ้าขยับอีกที มันมาแน่… สักพักความเร็วของรถก็ผ่อนลงจนรู้สึกได้ ก่อนจะเลี้ยวเข้าจอดสนิทในปั๊มน้ำมันข้างทาง ฉันเปิดประตูพุ่งตัวเข้าห้องน้ำทันทีโดยไม่ได้สนใจประตูที่ยังเปิดคาไว้แบบนั้นอ้วกกกกฉันโก่งตัวอ้วกในคอห่านห้องน้ำอย่างเอาเป็
หลายวันต่อมา....“แชร์โลมาไว้เลยนะ เดี๋ยวสักสี่ทุ่มเฮียไปรับ”ผมวางสายพร้อมเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตัวเอง เดินตรงไปยังห้อง VIP อย่างอารมณ์ดี ผ่านมาเกือบอาทิตย์ได้แล้วมั้งที่ผมรู้สึกโคตรมีความสุข ได้ใช้ชีวิตสงบสุขกับผู้หญิงที่รัก โดยไม่ต้องระแวงว่าจะมีหมาตัวไหนมาลอบกัดหรือทำร้ายเธอ โคตรดีเลย การมีหนูเฌอเข้ามาในชีวิตนี่มันดีจริงๆ นะ“เชรดดดด ห่างจากเมียเด็กได้แล้วเหรอวะ” เสียงทักทายจากไอ้น้องชายตัวดีดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป“เสือก!” ผมตอบแบบชัดถ้อยชัดคำพลางก้าวเท้าเดินเลยไอ้แม็กซ์เข้าไปแล้วทิ้งตัวนั่งข้างมัน จะว่าไปวันนี้มันดูเงียบๆ แปลกๆ มีอะไรเกิดขึ้นช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามารึเปล่าวะ“เป็นห่าไร ทำหน้าเหมือนส้นตีนเลย”“เสือก!” มันสวนผมกลับพร้อมมองตาขวาง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะผมดังลั่นห้อง แม้แต่ไอ้ฟิวส์ยังหลุดยิ้ม เหอะ…ไอ้พวกแม่ง“อ้าว ไอ้เวรนี่” ความจริงผมต้องตบหรือถีบมัน แต่วันนี้มันดูเครียดจริงจัง ผมเลยไม่อยากกวนมัน เดี๋ยวมันพร้อมก็คงจะเล่า