สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กก็รีบลุกไปตักข้าวแล้วกลับมานั่งที่เดิม แต่ไม่กล้าเงยหน้ามามองผม ยัยเด็กบ้านี่ทำให้ผมโมโหได้ตลอดเวลาเลยซินะ แต่ในทางกลับกัน เธอก็ทำให้ผมยิ้มได้ด้วย ตลกชะมัด ไอ้ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเธอ
เรานั่งกินข้าวกันมาสักพัก โดยที่ยังมีคนแอบมองผมอยู่เป็นระยะ แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า หึ! แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวในจานตัวเองต่อ ปล่อยให้เธอทำอะไรที่อยากจะทำตามสบาย จะว่าไป ฝีมือยัยเด็กนี่ใช้ได้เลยแหละ อร่อยกว่าที่บ้านผมอีกนะเนี่ย เก่งใช้ได้ เห็นต๊องๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะทำกับข้าวแถมทำได้ดีมากซะด้วย
“ชื่ออะไร” ผมหาเรื่องชวนเธอคุย เพราะดูเหมือนเธอจะเกร็งๆ และมันทำให้ผมกินข้าวไม่อร่อย
“เฌอค่ะ เฌอนารีน” เธอตอบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ
“หือ นี่อะไร” ผมเอ่ยถามทันทีที่ตักน้ำพริกถ้วยเล็กบนโต๊ะอาหารเข้าปาก เพราะมันอร่อย...อร่อยมาก ผมไม่เคยชอบกินน้ำพริกแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนมากมันจะเหม็นแล้วก็เผ็ด แต่สำหรับที่แม่ครัวตัวน้อยนี่ทำ มันทั้งหอมแล้วก็กลมกล่อม ไม่ได้เผ็ดโด่งเหมือนที่ผมเคยกิน
“น้ำพริกอ่องค่ะ คุณชอบเหรอคะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้น แววตาวาววับเป็นประกาย ราวกับว่าเธอปรารถนาและรอสิ่งนี้มาแสนนานยังไงยังงั้น
“อืม ก็อร่อยดีนะ” ผมตอบกลับพลางก้มลงกินข้าวต่อ ความจริงมันก็อร่อยมากแหละ แต่ไม่อยากพูดให้เด็กมันเหลิง
“จริงเหรอคะ เนี่ยเป็นสูตรคุณยายทวดของหนูเอง ที่ไม่มีใครเหมือนแล้วก็ไม่เหมือนใครแน่นอน”
“หึ ขนาดนั้น ทำไมมั่นใจ” ผมถามทั้งที่ปากก็ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“ก็เพราะว่าหนูใส่ใจลงไปด้วยไงคะ”
ผมชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอก็กำลังมองผมอยู่พอดีเลยทำให้เราสบตากัน อยู่ๆ ใจผมก็เต้นแรงขึ้นแบบไม่รู้สาเหตุ บ้าเอ๊ย!! ผมรีบก้มหน้าหลบสายตายัยเด็กบ้านั่นทันที นี่ผมหวั่นไหวกับคำพูดยัยเด็กบ้านี่เหรอวะ
“เหอะ! ไร้สาระ” ผมพูดว่าเธอเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนอาการที่ผิดปกติของตัวเอง นี่ผมกำลังโดนเด็กหยอดเหรอวะ บ้าไปแล้ว…
“หนูพูดจริงนะคะ หนูใส่ใจกับอาหารทุกจานที่ทำ ไม่ว่าใครจะเป็นคนกินมัน เขาก็ได้ใจจากหนูทั้งนั้นแหละ” เธอเอ่ยพลางส่งยิ้มหวานมาให้ผม และแม่ง!! ทำไมใจกูเต้นแรงนักวะ ยัยเด็กบ้านี่หยอดผมอีกแล้วใช่ไหม แต่ไม่น่า...ใช่ เพราะดูจากท่าทางเธอแล้ว คงพูดแบบไม่ได้คิดอะไร แต่ไอ้ใจจังไรของผมเนี่ย หวั่นไหวตามทำห่าอะไร
“พร่ำเพรื่อเนอะ คงทำให้ผู้ชายกินบ่อยล่ะสิ”
“เปล่าเลยนะคะ คุณเป็นผู้ชายคนที่สองรองจากพ่อ ที่ได้กินอาหารฝีมือหนู”
เออ!!! เอาเข้าไป หยอดเข้าไป ใจนี่แม่งก็กระหน่ำเต้นเข้าไป เอาให้แม่งหลุดออกมาอยู่ข้างนอกเลยไหม เอาให้สบายใจ ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนแหละ ก่อนที่ใจผมมันจะไหวเอนไปตามคำพูดของยัยเด็กบ้านี่ ผู้หญิงบ้าอะไร...หยอดแบบไม่รู้ตัวก็ทำให้คนอื่นหวั่นไหวได้ เหอะ!
“พอเลย...พอเลย เรียนคณะคหกรรมรึไงเราอะ”
“เปล่าค่ะ หนูเรียนพยาบาล”
“ฮะ!!” ผมอุทานเสียงหลง พลางเงยหน้ามองคนตัวเล็กแบบคาดไม่ถึง สงสารคนไข้ขึ้นมาเลยกู...แล้วเธอจะไม่ลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้ใช่ไหม สอบเข้าพยาบาลติดได้ไงวะ ป้ำๆ เป๋อๆ ขนาดนี้
“อ๊ะ...!” เธอตกใจเล็กน้อยกับเสียงผม ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
“เพิ่งลงใช่มะ ย้ายคณะเหอะ”
“ย้ายอะไรคะ หนูปีสามแล้วนะ”
“จริง? ฉันนึกว่าเธออยู่ปีหนึ่งซะอีก” ไม่อยากจะเชื่อเลย ยัยนี่ตัวเล็กมากแล้วก็หน้าเด็กมาก ผมคิดว่าเธอเพิ่งเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ นี่เธอยี่สิบเอ็ดแล้วเหรอเนี่ย
“หนูหน้าอ่อนใช่ม้า ใครๆ ก็บอกแบบนั้น” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ความจริงมันก็ถูกอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่วายอยากแกล้งเธอ
“เหอะ! ปัญญาอ่อนสิไม่ว่า”
“คุณอะ ว่าหนูอีกแล้ว” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยพลางย่นจมูกใส่ผม จนอดที่จะเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กนั่นไม่ได้
“งื้ออออ” มือเล็กจับมือผมออก ก่อนจะก้มหน้าก้มตากับจานข้าวตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู เธอกำลังเขินผมอยู่สินะ ทำไมผมถึงมองว่าเธอน่ารักได้วะ ประสาทไปแล้วไอ้ห่าวา หยุดคิดเลยมึง…
…..
พอกินอิ่ม ผมก็เตรียมตัวชิ่งกลับทันที อยู่นานกว่านี้ไม่เป็นผลดีหรอก ความจริงผมก็ไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการให้ความหวังเธอรึเปล่า แต่คิดอีกแง่ เราก็เป็นพี่น้องกันได้นิ และก็ไม่ผิดซะหน่อยที่ผมจะมากินข้าวกับน้องร่วมโลกใช่ไหม ผมรอเธอเก็บจานทำนั่นทำนี่จนเสร็จ ถึงเดินไปบอกเธอที่ยืนหยิบคุกกี้ใส่จานอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว
“ไปแหละ ขอบใจสำหรับมื้อค่ำ”
[Chernarin Talk]
ฉันหยุดชะงักไปในทันที ก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูง ที่กำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันยังไม่อยากให้เขาไปเลย ไวกว่าความคิดคือฉันเอ่ยปากเรียกเขาไปซะแล้ว
“คุณคะ!”
“ว่า” เขาหันกลับมาเลิกคิ้วให้ฉัน
“คุณ...จะมา...เออ...จะมาอีกไหมคะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามออกไปแบบนั้น กล้าถามได้ไงเนี่ย เขาจะมองว่าฉันแรดไหม
“หื้มม”
“คะ...คือ หนูหมายถึงคุณจะมากินอาหารฝีมือหนูอีกไหม” ฉันรีบแก้ตัว เหมือนจะดีขึ้นแต่ความหมายก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ มันก็คือการชวนเขามาห้องอยู่ดี
“.....” แล้วเขาก็เงียบไปเลย ส่วนฉันนี่ไม่กล้าเงยหน้ามองด้วยซ้ำ หยิบคุกกี้มาใส่ปากแก้เก้อแต่ยังไม่ทันได้กัดกิน ก็มีนามใบบัตรเล็กยื่นมาอยู่ตรงหน้าฉันซะก่อน
“ถ้าทำกับข้าวแล้วไม่มีใครกิน ก็โทรมาละกัน เสียดายของ”
ฉันเงยหน้ามองเขาแบบไม่เชื่อหูตัวเอง ทั้งๆ ที่ปากก็ยังคาบคุกกี้อยู่แบบนั้น เอื้อมมือหยิบนามบัตรใบนั้นอย่างเลื่อนลอย เขาให้ฉันโทรหาเขาได้อย่างงั้นเหรอ อร๊ายยย...หนูอยากกรี๊ดให้ห้องแตก
“งั้นอันนี้ฉันขอนะ”
ฉันกำลังจะหยิบคุกกี้ออกจากปากเพื่อถามเขาว่าขออะไร แต่มือยังไม่ทันถึงคุกกี้ก็ได้คำตอบซะก่อน ฉันเบิกตากว้างทันทีเมื่อเขาโน้มหน้าลงมาเอาคุกกี้ไปจากปากของฉันด้วยปากเขา ทำให้ริมฝีปากเราสัมผัสกัน
จังหวะนั้นเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านร่างกาย รู้สึกวูบวาบแปลกๆ ก่อนเขาจะดึงตัวกลับและเดินเคี้ยวคุกกี้ออกไปจากห้องฉันอย่างสบายใจ แต่ฉันยังอยู่ท่าเดิม เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ยังไงยังงั้น ใจกระหน่ำเต้นโครมครามไม่หยุด ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเหมือนคนจะเป็นไข้ นะ...หนูกำลังจะตาย อร๊ายยยย >//////<
สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กก็รีบลุกไปตักข้าวแล้วกลับมานั่งที่เดิม แต่ไม่กล้าเงยหน้ามามองผม ยัยเด็กบ้านี่ทำให้ผมโมโหได้ตลอดเวลาเลยซินะ แต่ในทางกลับกัน เธอก็ทำให้ผมยิ้มได้ด้วย ตลกชะมัด ไอ้ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเธอเรานั่งกินข้าวกันมาสักพัก โดยที่ยังมีคนแอบมองผมอยู่เป็นระยะ แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า หึ! แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวในจานตัวเองต่อ ปล่อยให้เธอทำอะไรที่อยากจะทำตามสบาย จะว่าไป ฝีมือยัยเด็กนี่ใช้ได้เลยแหละ อร่อยกว่าที่บ้านผมอีกนะเนี่ย เก่งใช้ได้ เห็นต๊องๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะทำกับข้าวแถมทำได้ดีมากซะด้วย“ชื่ออะไร” ผมหาเรื่องชวนเธอคุย เพราะดูเหมือนเธอจะเกร็งๆ และมันทำให้ผมกินข้าวไม่อร่อย“เฌอค่ะ เฌอนารีน” เธอตอบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ“หือ นี่อะไร” ผมเอ่ยถามทันทีที่ตักน้ำพริกถ้วยเล็กบนโต๊ะอาหารเข้าปาก เพราะมันอร่อย...อร่อยมาก ผมไม่เคยชอบกินน้ำพริกแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนมากมันจะเหม็นแล้วก็เผ็ด แต่สำหรับที่แม่ครัวตัวน้อยนี่ทำ มันทั้งหอมแล้วก็กลมกล่อม ไม่ได้เผ็ดโด่งเหมือนที่ผมเคยกิน“น้ำพริกอ่องค่ะ คุณชอบเหรอคะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้น แววตาวาววับเป็นประกาย ราวกับว่า
“ก็ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษ เรื่องที่เธอหาคำตอบให้ฉันไม่ได้ก็แล้วกัน”“.....” ฉันอึ้งไปเลย แบบนี้ก็ได้เหรอ แล้วสรุปคือฉันผิดใช่ไหมเนี่ย ก็พอจะรู้มาบ้างนะ ว่าคุณเขาเป็นคนมึนๆ แต่ไม่คิดว่าจะมึนขนาดนี้“เอ้า! ยืนเอ๋ออยู่ได้ ฉันจะได้กินข้าวไหมวันเนี้ย”“อะ...อ๋อค่ะ” ฉันกุลีกุจอตักข้าวใส่จานแบบร้อนรน มือไม้สั่นไปหมด เม้มปากกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม นะ...นี่เขากำลังจะลดตัวลงมากินอาหารพื้นๆ ฝีมือฉันจริงๆ เหนือความคาดหมายไปมากเลยฉันถือจานข้าวไปบรรจงวางตรงหน้าเขา ก่อนจะถอยออกมาก้าวหนึ่ง เอามือไขว้หลัง ทอดสายตามองไปยังผู้มาเยือนแสนพิเศษ ดีนะที่มื้อนี้ฉันตั้งใจทำสุดฝีมือ อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ฉันมีอะไรดีขึ้นมาบ้างในสายตาเขา แค่นี้ก็พอแล้ว…“ทำไมยืนค้ำหัวฉัน”เสียงทุ้มปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ ก่อนจะก้าวขาถอยหลังไปอีกสามก้าวยาวๆ ทีนี้ก็ไม่ค้ำหัวเขาแล้ว“ยัง!”ยังอีกเหรอ นี่มันก็ไกลมากแล้วนะ คิ้วบางขมวดเป็นปมอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป ทำได้แค่ถอยหลังไปอีกสามก้าว“ยังอีก”ฮะ!! ยังอีก ฉันเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังตัวเอง ก่อนจะหันกลับมามองคนตัวสูงที่นั่งมองฉันอยู่ที่โต๊ะอาหารโน่น คืออีกก้าวเดียวฉันจะออกไปอยู
วันต่อมา…@มหาวิทยาลัย Mฉันนั่งหมุนปากกาไปมา สายตาทอดมองไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมายพลางพ่นลมหายใจออกซ้ำไปซ้ำมา ในหัวฉันมีแต่เรื่องของเขาคนนั้นเต็มไปหมด คุณวาโย วรายุ เหมบดินทร์ ทายาทเจ้าของโชว์รูมรถนอกชื่อดังและยังเป็นเจ้าของสนามแข่งรถที่ใหญ่สุดในภาค หล่อ รวย เท่ เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง ผู้ชายที่ฉันเฝ้ามองมาตลอดหกปี รู้จัก...หมามองเครื่องบินไหม นั่นแหละฉันว่าแต่...ทำไมเขาถึงปีนมาห้องฉันในสภาพแบบนั้นได้นะ เขากำลังจะทำอะไรกับสาวห้องข้างๆ ฉันยังงั้นเหรอ แล้วทำไมโลกมันกลมแบบนี้ล่ะ ฉันยังไม่พร้อมที่จะเจอเขาเลยสักนิด ความจริงไม่เคยพร้อมเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะได้เจอ ได้คุย แถมยังอยู่ใกล้ในระยะกระชั้นชิดอีก ฉันเกือบช็อกตาย แต่จะเจอทั้งที สวรรค์ก็ไม่เป็นใจหน่อยเนอะ ฉันทั้งมอมแมม แต่งตัวก็โสโครก สภาพแบบว่ายับเยิน น่าอายสุดๆ ครั้งแรกไม่มีความประทับใจสักนิด มิหนำซ้ำยังไปตบหน้าเขาอีก เขาต้องเกลียดฉันไปแล้วแน่ๆเฮ้ออออ“อีหนูเฌอ!!!!”“โว๊ะ!! ตายๆๆๆ หายใจหายคอหมด” ฉันสะดุ้งสุดตัว พร้อมอุทานออกมาเสียงดังลั่นเมื่อ ปังปอนด์ เพื่อนสาวในร่างชายของฉัน ตะโกนเรียกใส่แก้วหูจนเกือบแตก พลางเอามือทุ
“ตะลึงในความหล่อของฉันขนาดนั้นเลยเหรอสาวน้อย หึ!”ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงผม ใบหน้าหวานเห่อแดงขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อะไรวะ นี่เธอกำลังเขินผมจริงๆ ระหว่างที่ผมกำลังพินิจพิจารณาเจ้าของห้องตัวน้อยอยู่ ฝ่ามือเล็กก็ฟาดมาบนใบหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นซะสะดุ้งโหยงเลยเพียะ!โอ๊ะ!!“ยัยเด็กบ้า!! กล้าตบหน้าฉันเหรอ ฮะ!!!” ผมหลุดตะคอกผู้ประทุษร้ายตรงหน้าสุดเสียงด้วยความโมโหพลางเอามือลูบแก้มตัวเองป้อยๆ ไม่ถึงกับแรงมากก็แค่แสบๆ คันๆ แต่ที่ปี๊ดสุดคือไม่มีใครกล้าตบหน้าผมมาก่อนเลยนะ ยัยเด็กบ้านี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถ้าเป็นผู้ชายผมคงสวนหมัดกลับไปแหละ“มะ...ไม่ใช่ฝันงั้นเหรอ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย“ฝันบ้าบออะไรของเธอ ฮะ! แล้วทำไมไม่ตบหน้าตัวเองเล่า ยัยเด็กบ้า!!!” ผมตอกกลับเสียงดังลั่น คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ฝันงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองฝันอยู่แล้วมาตบหน้าผมเนี่ยนะ น่าจับบีบคอให้ตายจริงๆ“นะ...หนู ขอโทษ! คะ...คุณเจ็บไหมคะ”ยัยตัวเล็กตรงหน้ายกมือไหว้ผงกๆ และถามผมด้วยความเป็นห่วง แต่นั่นไม่ได้ทำให้โทสะผมลดลงเลยสักนิดแค่แปลกใจเท่านั้นเองว่าเธอต้องห่วงคนแปลกหน้าที่เ
@SoSay Pubผัวะ!!โอ๊ยยย...“ของกู ไอ้สัส!!” ผมฟาดฝ่ามือลงกลางกระบาล ไอ้ยูตะ น้องชายตัวดีที่คลานตามกันมาเต็มแรงจนมันร้องลั่น เพราะมันทำเนียนล้วงมือเข้ามาในโหลคุกกี้สุดโปรดของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต“ขี้หวงฉิบหาย” มันค้อนขวับพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบหลังผู้หญิงที่นั่งถัดไปในตอนที่ผมยกมะเหงกขึ้นกลางอากาศ“เมียจ๋า ไอ้เฮียแกล้งเค้า”“โธ่ๆๆ น่ารักตายห่าละ ไอ้สัส!!” อาการผมแสดงออกชัดเจนว่าหมั่นไส้ขั้นสุด บีบเสียงซะขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ขนาด มิณ เป็นเมียมันแท้ๆ ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอา“มึงก็รู้ว่ามันหวงขนาดไหน ไม่เคยได้แดกสักปี ยังจะอยากโดนด่า” นี่เป็นเสียงของ ไอ้หมอไวน์ นายแพทย์หนุ่มหล่อ เก่งรอบด้าน มากไปด้วยประสบการณ์และยังเป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง ที่มีแต่นางพยาบาลแสนสวยพากันรุมล้อม ขนาดคนไข้สาวๆ ก็ยังแกล้งป่วยเพื่อมาหามันส่วนผมก็หันมาสนใจโหลคุกกี้ในอ้อมกอดต่อ ปกติผมไม่ได้ชอบกินขนมอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่คุกกี้เนี่ย ผมจะได้กินแค่ปีละสองครั้งเท่านั้นเอง วันเกิดแล้วก็วันวาเลนไทน์ มันถูกส่งมาเกือบห้าปีได้แล้วมั้ง แรกๆ ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่พอได้ลองชิมก