ติ๊ง!
: เดี๋ยวพี่ไปรับรอก่อนนะ
Panhya : สัพเพสัพตา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด~
: กวนตีน
Panhya : ...
: จะกินไร
Panhya : ไม่รู้
: โอเคค่ะ เดี๋ยวค่อยเลือกก็แล้วกัน
Panhya : ไม่ต้องไปกินข้าวด้วยกันสักวันได้ไหมเนี่ย
: เด็กมันกลัวตกหลุมรักสินะ
Panhya : รีบมาเถอะสุดหล่อ ยืนรอกลางถนนแล้ว
หึ ๆๆ ความกวนส้นตีนไม่สิ้นสุด ผมนึกสภาพเรียนจบไปเป็นหมอตรวจคนไข้ไม่ได้เลย ต้องกวนตีนคนไข้จนคนไข้รักษากับหมอหยาเสร็จต้องไปตรวจสุขภาพจิตต่อแน่นอน
ปัง!
“ปิดแรงขนาดนี้คงมั่นใจว่าจะไม่ได้มันเป็นเจ้าของสินะถึงไม่คิดจะทนะถนอม” ผมทักทายยัยเด็กนี่ที่ปิดประตู Ferrari เหมือนมันเป็นรถกระป๋องที่ปิดเบา ๆ ประตูจะไม่สนิท กระแทกซะรถสะเทือน สะเทือนมายันไข่กูเลยครับ
“เหอะ!”
“อยากไปไหนเป็นพิเศษไหมคะ”
“ไปส่งที่หอก็พอได้ไหม” ปั้นหยาหันมาบอกผมด้วยเสียงเหนื่อย ๆ หน้าตาก็ดูล้าสงสัยช่วงนี้คงเรียนหนัก ช่วงใกล้สอบแล้วด้วย
“ไม่ได้ หยายังไม่ได้กินข้าว พี่พาไปกินข้าวก่อนแล้วเดี๋ยวไปส่ง” เห็นสภาพแล้วก็อดสงสารไม่ได้หน้ามันแผล็บหัวก็โคตรฟู ก่อนขึ้นรถไม่คิดจะเช็คสภาพความสวยของตัวเองเลยรึไงวะ โคตรไม่ให้เกียรติความหล่อของผมเลย
“นี่ ถามจริง” หลังจากขับรถออกมาสักพักปั้นหยาก็หันมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อื้มว่าไง”
“แฟนไม่ว่าเหรอมาวอแวฉันแบบนี้ นางแบบคนนั้นอ่ะ”
“พี่ไม่มีแฟน”
“ชิส์~ ถ้ามีคนเอาน้ำกรดมาสาดหน้าฉันรับรองว่านายคือคนแรกที่ฉันจะล้างแค้น” ปั้นหยาคิดได้ไงวะว่าจะมีใครเอาน้ำกรดมาสาดหน้า ผมไม่มีแฟนหรอกครับ ถ้ามีผมคงไม่เอาเวลามายุ่งกับผู้หญิงคนอื่นให้แฟนผมเสียใจหรอก ถึงผมจะควงผู้หญิงเยอะแต่ก็เพราะความเต็มใจของทุกคน ผมไม่มีทางปล่อยให้คนที่ผมรักต้องทุกข์ทรมานเหมือนแม่ผมแน่นอน
“นี่นาย ฉันว่ากินแถว ๆ นี้แหละร้านก๋วยเตี๋ยวอะไรแถวนี้ก็ได้รถมันติดมากอ่ะ ฉันเหนื่อย”
“เมื่อไหร่จะเรียกพี่ดี ๆ พี่มีชื่อนะหยา” ผมหันไปมองหน้าเธอด้วยความอ่อนใจ เชื่อไหมครับตั้งแต่รู้จักกันมาปั้นหยาไม่เคยเรียกผมว่าพี่เลยสักครั้ง ชื่อผมเธอยิ่งไม่เคยเรียก ไม่เคยหลุดจากปากจนผมเริ่มสงสัยว่ายัยเด็กนี่รู้จักชื่อผมรึเปล่าวะ
“เหรอ? ไม่อยากเรียกอ่ะ” ปั้นหยาหันมาตอบด้วยใบหน้าอึน ๆ แล้วก็ยิ้มใส่ผมจนตาหยีหลังจบประโยค หึ ๆๆ ไม่อยากจะบอกว่าโคตรกวนตีนแต่ก็โคตรน่ารัก แค่น่ารักนะครับแต่ไม่ได้รักอย่าคิดไปไกล
“โอเคเดี๋ยวทำให้เรียกเอง สักวันจะพี่กราฟคะพี่กราฟขา~” กูแม่งไม่เคยทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ใครแบบนี้เลย เมื่อก่อนกูแค่ถ่อยแต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้สึกเหมือนไร้สติแล้วก็ปัญญาอ่อน แค่เรื่องเล็ก ๆ คนอย่างกูต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอวะ ดีนะที่มันสนุกไม่งั้นไม่มีทางลงทุนทำอะไรแบบนี้แน่ ๆ
“อี๋~ มั่นหน้ามาก~”
“หึ ๆๆ กินไรดี ก๋วยเตี๋ยวใช่ไหม ขับไปอีกนิดมีร้านก๋วยเตี๋ยวไก่นะกินไหม”
“จริงเหรอ! กิน ๆๆ” ปั้นหยาชอบก๋วยเตี๋ยวไก่ใส่ตีนเยอะ ๆ ครับ ไม่ได้ตั้งใจจำหรอกว่าชอบอะไร แต่เด็กมันชี้นิ้วสั่งให้พาไปกินเมื่อ 3 วันก่อนพร้อมกับยัดลงกระเพาะด้วยปริมาณพิเศษ 2 ชาม ซดหมดจนหยดสุดท้าย แถมยังแย่งตีนผมไปกินอีก 2 ตีน กูจำไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป มะระสดก็ไม่แบ่งผม ผู้หญิงอะไรกินตีนเก่งฉิบหาย
หลังจากพาไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่เสร็จผมก็เลยไปส่งปั้นหยาที่หอ วันนี้ไม่ตื้อเพราะท่าทางยัยหมากระเป๋าจะเหนื่อย ส่วนผมก็มีธุระต้องทำเหมือนกัน ธุระสำคัญที่เกี่ยวกับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
-เช้าวันต่อมา-
ผมตื่นแต่เช้าพร้อมกับออกไปตักบาตรหน้าบ้านตอนเช้าเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันที่แม่จากผมไป
…7 ปีแล้วนะครับแม่ 7 ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน รอผมนะครับ รออยู่ข้างบนนั้น
ผมตักบาตรเสร็จก็นั่งรอเวลา รอให้พ่อลงมาเพราะเมื่อคืนผมมัวแต่ไปซื้อของ กลับมาก็ดึกพ่อขึ้นนอนไปแล้ว แต่ยังไงพ่อก็ต้องจำได้ครับ พ่อต้องจำได้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันครบรอบของแม่แล้วเราจะไปเยี่ยมแม่พร้อมกัน
ผมนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นนานมาก 8 โมงเกือบจะ 9 โมงแล้ว แต่พ่อยังไม่ลงมาผมก็เลยตัดสินใจขึ้นไปหาที่ห้องทำงานเพราะถ้าพ่อไม่ลงมากินข้าวข้างล่างก็จะมีแม่บ้านยกขึ้นไปให้ที่ห้องทำงาน ที่ไม่เจอก็คงเพราะจัดการกับงานอยู่ละมั้ง พ่อผมบ้างานจะตาย
“คุณคะ คุณกราฟนั่งรอนานแล้วนะ ลงไปเถอะค่ะ” ผมเดินไปถึงหน้าห้องทำงานพ่อก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นลอดออกมา
“ตากราฟมันจะนั่งรอทำไม ไปบอกให้มันไปคนเดียวเถอะแก้วผมไม่ไปหรอก” เสียงพ่อพูดขึ้น แสดงว่ารู้สินะว่าผมนั่งรอเพื่อจะไปที่ไหน ทำไมพ่อทำแบบนี้วะ!
“คุณ...อย่าทำแบบนี้เลยนะคะแกจะเสียใจนะ วันนี้เป็นวันครบรอบของคุณพิณนะคะ” หึ! น้ำเสียงโอบอ้อมอารีเวลาที่พูดถึงแม่ผมของผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมโคตรอยากจะอ้วกเลย
“ผมไม่ไป ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีกคุณก็รู้ดีแก้ว จากกันไปคนละโลกแล้วก็ให้จบไป ต่างคนต่างอยู่” ถ้ามีใครมาได้ยินพ่อตัวเองพูดถึงแม่ที่เสียไปแล้วแบบนี้เหมือนอย่างผมจะมีใครทนฟังต่อได้ไหมวะ
“คุณ.../ พอแล้วแก้ว คุณลงไปเถอะ ถ้ามันอาละวาดหรือถามหาผมก็บอกไปว่าผมงานยุ่ง”
ผมทนฟังไม่ไหวหรอกครับ แล้วก็ไม่อยากเข้าไปฟาดงวงฟาดงาให้กับคำพูดแย่ ๆ ของพ่อด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงเข้าไปต่อว่าพ่อแล้ว แต่เพราะวันนี้ผมมีผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักให้ต้องไปหา แม่รออยู่ แม่มีแค่ผมคนเดียวในบ้านหลังนี้ที่รักแล้วก็อยากไปเยี่ยมท่าน แล้วผมจะมาเสียเวลาเถียงกับพ่อเพื่อลากพ่อไปทั้งที่ใจพ่อไม่อยากไปงั้นเหรอ ไม่ว่ะผมทำไม่ลง ในเมื่อไม่อยากไปไม่มีใจไปหาผู้หญิงที่รักพ่อที่สุด รักจนวันสุดท้ายของลมหายใจก็ไม่เป็นไร ผมไม่อยากให้ใครมาสงสารแม่
-เวลาต่อมา-
ผมใช้เวลาอยู่ในวัดที่เก็บกระดูกของแม่ทั้งวัน ทำความสะอาดเปลี่ยนดอกไม้ที่แม่ชอบให้ท่าน นั่งคุยกับแม่จนเริ่มเย็นถึงได้ออกมา พอออกมาความอัดอั้นที่เก็บไว้ทั้งวันเพราะไม่อยากเศร้าต่อหน้าแม่ ถึงตอนนี้จะมีแค่รูปถ่ายและเถ้ากระดูกก็ตามแต่ผมก็ไม่อยากเศร้าให้ท่านเห็นอยู่ดี ความรู้สึกพอถูกเก็บไว้นาน ๆ มันก็เลยระเบิดออกมา ผมพยายามขับรถไปเรื่อยเปื่อยเพื่อคลายเครียด แต่มันก็ยังไม่หายเลยลองจอดรถข้างทางที่มันเงียบหน่อย
“แม่งเอ๊ย!”
ผลั๊วะ ผลั๊วะ ผลั๊วะ!
ผมต่อยเสาไฟที่อยู่ข้างทางจนเหนื่อยถึงได้นั่งสงบสติอารมณ์ที่ฟุตบาท เหตุการณ์แย่ ๆ ในครอบครัวเหมือนฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ พ่อทำทุกอย่างให้แม่เจ็บ วันที่ผมเกิดมาก็ยังตามใจผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่อยากแย่งความรักทั้งหมดไปจากเราสองคนแม่ลูกด้วยการไปผ่าคลอดไอ้กันต์ในวันเดียวกันกับที่แม่คลอดผม!
แย่งตัวพ่อไปอยู่ด้วยทั้งที่พ่อควรจะเข้าไปให้กำลังใจแม่ที่ปวดท้องด้วยการเลือกผ่าคลอดวันเดียวกันกับเมียหลวง มีใครเจอเมียน้อยหน้าด้านกว่านี้ไหมวะ!
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
ใครโทรมาผมไม่อยากรับรู้หรอก ปล่อยให้มันดังไปเถอะ ผมไม่มีอารมณ์คุยกับใครทั้งนั้น
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
แต่มันดังไม่หยุด ดังติดต่อกันซ้ำ ๆ จนรำคาญถึงได้หยิบมันออกจากกระเป๋าเพื่อปิดเครื่อง แต่ผมก็ดันเห็นชื่อคนที่โทรมาซะก่อน ไม่รู้ว่าโทรมาทำไมร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมาเลยสักครั้ง
…PANHYA
ติ๊ด!
“ว่าไงครับคุณหมอ คิดถึงพี่เหรอ” ผมเครียดแต่ก็ฝืนกดรับสายเธอแล้วพยายามพูดให้เป็นปกติ
“เหอะ! มโนเหรอพ่อคุณ” เสียงใส ๆ ที่ดังออกมาจากปลายสายทำให้ผมเผลอยิ้ม ยัยเด็กนี่พูดดี ๆ กับผมเป็นบ้างไหม คงไม่หรอก ถ้าพูดดีได้ก็ไม่ใช่ปั้นหยา
“ฮ่า ๆๆ แล้วมีไรถึงได้โทรมา คิดถึงหรือเหงาวันนี้ผมไปหาไม่ได้หรอกนะคุณหมอ”
“หือ~ ใครจะคิดถึงคนอย่างนายกัน ไม่มีความจำเป็นฉันไม่โทรมาหรอก” คำพูดนี้ของปั้นหยากระแทกใจคนที่ไม่มีใครต้องการอย่างผม ผมที่มีพ่อก็เหมือนไม่มีเพราะเขามีลูกชายสุดที่รักอยู่แล้ว ผมที่ไม่มีใครในบ้านต้องการ...
“อื้ม~ มีธุระอะไรล่ะ”
“ฉันว่าฉันลืมหนังสือไว้ที่รถนาย เมื่อวานฉันถือขึ้นรถนะน่าจะลืมเอาลงไม่ก็ตกอยู่ข้างเบาะ นายเห็นไหมอ่ะ”
“เดี๋ยวพี่ดูให้รีบใช้รึเปล่า”
“รีบสิ แต่ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปยืมเพื่อนซีร็อกมาทำงานก่อน”
“รอแป๊บนะ พี่ไปดูที่รถให้” ผมลุกขึ้นจากฟุตบาทแล้วก็เปิดรถดูหนังสือให้ปั้นหยา แล้วก็เจอมันหล่นอยู่ข้างเบาะจริง ๆ ไม่แปลกหรอกที่จะหล่น แต่ละวันเธอแทบจะวิ่งลงจากรถทันทีที่ล้อมันหยุดหมุน ลืมของบ้างทำของตกบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
“มีนะ เดี๋ยวพี่เอาไปให้เลยแล้วกัน อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้พอดี”
“ไม่รบกวนเหรอ”
“ไม่หรอก เผื่อคะแนนพิศวาสจะเพิ่มขึ้น”
“ชิส์! มาถึงแล้วบอกเดี๋ยวลงไปเอา”
“ครับ” คุยกับปั้นหยานี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ ช่วยดึงผมออกจากอารมณ์โสโครกนั่นได้นิดหนึ่ง
ผมมาถึงหอพักของปั้นหยาได้ในเวลาไม่ถึง 15 นาที พอมาถึงก็เลยโทรหาเธอให้ลงมาเอาหนังสือ เสร็จคงต้องไปนั่งแดกเหล้าให้เมาจะได้หลับ ๆ ไป
“มาเร็วมาก~” ปั้นหยาเดินลงมาที่รถพร้อมกับใบหน้าที่โคตรสดฉิบหาย ผมก็ไม่หวีให้เรียบร้อย นี่ผู้หญิงจริง ๆ ใช่ไหมทำไมกล้าออกมาให้คนอื่นเห็นด้วยสภาพครูเพ็ญศรีแบบนี้วะ
“บินมาไง อ่ะนี่หนังสือ” ผมยื่นหนังสือให้ปั้นหยาทั้งที่อยู่บนรถ จะให้ลงไปได้ยังไงล่ะครับ สภาพผมก็ดูไม่จืดจะตาย นี่ก็อาศัยความมืดในรถซ่อนสภาพของตัวเองเอาไว้
“ขอบจะ...ขอบคุณ” หึ ๆๆ พอเป็นเรื่องที่รบกวนผมเองรีบใช้คำพูดดีเชียว อีเด็กจิ้งจกเปลี่ยนสี
“พี่กลับเลยนะ รีบขึ้นไปอ่านหนังสือเถอะ”
“อือ แต่วันนี้มาแปลกแฮะ อย่าบอกนะว่าเจอผู้หญิงคนใหม่แล้วเพราะถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะโคตรแฮปปี้เลย” ปั้นหยาทำหน้าแปลกใจเพราะปกติผมจะชวนคุยก่อนหรือไม่ก็กวนประสาทเธอสักนิดแต่ครั้งนี้ผมคุยกับใครต่อไม่ไหวจริง ๆ
“ฝันสูง”
“ชิส์~ แต่ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมาก ๆ นะที่อุตส่าห์เอาหนังสือมาให้ บาย~” ปั้นหยาโบกมือให้ผม ผมก็เลยยิ้มตอบก่อนที่จะหันมาสนใจกับรถ ไปไหนต่อดีวะร้านไหนดีที่นั่งดื่มเงียบ ๆ คนเดียวได้
“เดี๋ยว...มือนาย” ผมกำลังจะขยับเกียร์รถเพื่อออกไปแล้วแต่ปั้นหยากลับเรียกเอาไว้พร้อมกับชี้ไปที่มือของผม ผมก็เลยต้องรีบลดมือลง
“หืม? มีไร”
“มือนายมีแผล ฉันขอดูหน่อย”
“ไม่มีหรอกตาฝาดแล้ว พี่ไปก่อนนะ”
“ไม่ ๆๆ มือนายมีแผลเอามาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้จะหลบทำไม” ปั้นหยาเกาะประตูรถเอาไว้ทำให้ผมไม่กล้าออกรถไม่งั้นคงได้เกิดอุบัติเหตุกับเธอแน่ ๆ
“ไม่มีจริง ๆ กลับห้องไป แกล้งทำตาฝาดเพราะอยากคุยกับผมเหรอครับคุณหมอ” ผมแกล้งแซวกลับเพื่อให้ปั้นหยายอมถอยแต่หน้าตาเธอโคตรเอาเรื่องก่อนที่จะโยนหนังสือเข้ามาในรถแล้วก็วิ่งอ้อมหน้ารถมาฝั่งตรงข้าม
ปัง!
พรึ่บ!
ปั้นหยาวิ่งมาขึ้นรถพร้อมกับเปิดไฟในรถด้วยความเร็วก่อนที่เธอจะมองมาที่ผมด้วยความตกใจ
“นาย...ไปทำอะไรมา?”
“ไม่มีไรพี่แค่ไปต่อยกับไอ้พวกกร่างมา มันหาว่าพี่ไปมองแฟนมันก็เลยซัดเข้าให้ หล่อแบบพี่นี่นะต้องไปมองผู้หญิงที่มีผัวแล้ว ใช่ไหมล่ะ”
“แค่ต่อยหน้าคนมือมันแตกจนเลือดสาดทั้งมือได้เลยเหรอ? หน้าคนหรือปูนอินทรีย์? เลือดมันเลอะเสื้อนายเยอะมากเลยนะ” ปั้นหยาถามจี้ผมด้วยสายตาที่บอกให้รู้ว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมกำลังโกหก
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ขึ้นห้องไปเถอะเดี๋ยวพี่จะไปแล้ว”
“ไปไหน?”
“บ้าน...พี่จะกลับบ้าน” เป็นครั้งแรกเลยครับที่ผมเศร้าแล้วมีคนมองเห็น เพราะปกติผมจะอดกลั้นมันเอาไว้แล้วมาระบายคนเดียว แต่ครั้งนี้ปั้นหยามาอยู่ตอนที่ผมกำลังระบายความเศร้าพอดีผมก็เลยไม่รู้วิธีที่จะปิดบังความเศร้าที่มันปะทุออกมาแล้วยังไงดี
“นายเป็นอะไร?” ปั้นหยามองผมด้วยสายตาที่มันเจือไปด้วยความเป็นห่วง ถึงมันจะมีแค่บางเบาก็ตามมันเลยยิ่งทำให้ผมอ่อนแอมากขึ้น ผมโคตรเกลียดอารมณ์ตัวเองตอนนี้เลย
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร”
“เป็น นายเป็นแน่ ๆ ตานายกำลังสั่นเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้”
“ลงไปได้แล้วปั้นหยาพี่จะกลับแล้ว” ผมรีบหันหน้ากลับมามองที่ถนนแล้วก็ขยับตัวเพื่อให้ปั้นหยารู้ว่าผมเตรียมที่จะออกรถแล้ว
“ไม่ ฉันไม่ลงจนกว่าจะรู้ว่านายเป็นอะไรแล้วก็ไปทำอะไรมาถึงได้มือแตกแบบนี้”
“...”
“ตอบฉันมาสิ นายเป็นอะไร” ปั้นหยายังคงถามด้วยคำถามเดิม แต่ผมตอบไม่ได้หรอกครับ เรื่องบัดซบที่ผมไม่เคยอยากได้แบบนั้นผมเล่าให้ใครฟังไม่ได้
“ตอบสิ!”
“...”
“นาย...เป็นอะไร” ปั้นหยาเสียงเบาลงแต่ผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี ทำยังไงปั้นหยาถึงจะยอมลงไปวะ ผมจะกลั้นความอ่อนแอความเสียใจของตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว
“...”
“นายทำร้ายตัวเองใช่ไหม?” เสียงปั้นหยาเบาลงเรื่อย ๆ พร้อมกับการที่เธอเอื้อมมือมาแตะที่มือผมเบาๆ มือที่มันมีแผลสดทั้งสองข้าง
“...ปล่อยพี่ ลงไปได้แล้วหยา ไปพักผ่อนซะ”
“ไม่ ตอบมาก่อนว่าเป็นอะไร”
“ลงไปหยา”
“...พี่กราฟ พี่เป็นอะไร”