ชีวิตบัดซบ!
มีใครรันทด ดวงตก เทวดาไม่รักหนักเท่าฉันบ้างไหม? คงมีสินะคะ บนโลกนี้มีคนเป็นล้านคนฉันก็แค่คนหนึ่ง แค่ชีวิตเล็กๆ ที่ต้องเจอบททดสอบของชีวิตใช่ไหม
“ฮึก! ฮื่อ~” ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆ ของตัวเอง ฉันเกลียดการร้องไห้ ฉันไม่ชอบการร้องไห้ที่สุด เพราะไม่ว่าฉันจะร้องด้วยความเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน ร้องเป็นชั่วโมงหรือร้องทั้งวัน สุดท้ายก็มีแค่ฉันที่ต้องปลอบใจตัวเอง
...สุดท้ายก็มีแค่สองมือของฉันที่ต้องเช็ดน้ำตาของตัวเอง
“อีนับโว้ย! มึงไม่ไปทำงานทำการรึไงฮะ 2 ทุ่มแล้วนะ ถ้าไม่ไปทำก็เชิญเสด็จออกมาช่วยกูทำงานหน่อยเถอะอีคุณนาย! ว่างก็มาช่วยงานบ้านกูบ้าง!” เสียงคนที่ดังอยู่หน้าห้องทำให้ฉันต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ให้ทำงานบ้านอะไรตอน 2 ทุ่มกัน ถ้าไม่ใช่มาเรียกให้ฉันทำกับแกล้มไปให้วงไพ่ของแก
“นับกำลังจะไปทำงานป้า” ฉันตะโกนตอบไปด้วยเสียงที่พยายามให้มันปกติ ป้าจันทร์ไม่ใช่คนที่จะหวังดีกับฉันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรที่จะให้ป้าจันทร์รู้ว่าฉันร้องไห้ ไม่งั้นคงได้ตีความว่าฉันร้องไห้เพราะโดนผู้ชายทิ้งโดยที่ยังไม่ได้ถามความจริงจากปากฉัน ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะนะ
ฉันฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาแต่งตัว แต่ไม่ได้ไปทำงานหรอกนะคะ ฉันโทรไปลางานเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฉันแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย แต่ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า ไม่อยากฟังเสียงป้าจันทร์ตะโกนด่ากระแนะกระแหน ฉันเกรงใจชาวบ้านเขา
“นับ จะไปทำงานเหรอ” ฉันเดินออกมาจากบ้านจนจะถึงปากซอย รถของพี่อาร์ตก็ขับเข้ามา แล้วพี่เขาก็ชะลอรถทักทายฉัน
“พี่อาร์ต” ฉันมองหน้าพี่ชายข้างบ้านที่เป็นเพื่อนเล่นและคอยอยู่ข้างฉันในเวลาที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวมาตลอด ฉันเหมือนคนไร้ที่พึ่งจริงๆ พอเห็นหน้าเขาน้ำตามันก็ไหลออกมาในทันที
“เฮ้ยนับ! เป็นอะไร” พี่อาร์ตอุทานด้วยความตกใจแล้วก็รีบลงจากรถมาหาฉัน
“ฮื่อๆๆๆ พี่อาร์ต” ฉันโผเข้ากอดพี่อาร์ตเต็มแรงเหมือนคนที่ต้องการหาที่พักพิง แค่ใครสักคนก็ได้ที่พอจะรับฟังฉัน
“นับใจเย็นๆ ขึ้นรถพี่ก่อนเร็ว” พี่อาร์ตดูจะตกใจที่เห็นท่าทางของฉันในตอนนี้
มันไม่บ่อยที่ฉันจะร้องไห้ให้ใครเห็น เพราะหลังจากพ่อแม่ไม่อยู่ชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากที่เคยร้องไห้ให้กับทุกอย่างที่เจอในช่วงแรก ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะเช็ดน้ำตาทิ้งให้หมดเพื่อต่อสู้กับชีวิต แล้วพอยืนได้ ฉันก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย
“นับเป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม ไปทำงานไหวรึเปล่า” พอขึ้นมาบนรถพี่อาร์ต ฉันก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“ไม่ค่ะ ฮึก! นับลางานแต่ไม่อยากอยู่บ้าน ฮื่อๆ ขอนับไปหลบที่บ้านพี่อาร์ตก่อนได้ไหมคะ” ฉันตอบพี่อาร์ตไปเช็ดน้ำตาไป
“ได้สิ ไปบ้านพี่กันเนอะ” พี่อาร์ตตอบฉันแล้วก็บีบมือฉันเพื่อให้กำลังใจ
“ตามสบายนะนับ” พอเดินเข้ามาในบ้านพี่อาร์ตโดยการหลบสายตาจากบ้านรั้วข้างๆ จนเข้ามาในบ้านได้เรียบร้อย ฉันก็ไปนั่งทำใจอยู่ที่โซฟาโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นฉันในสภาพนี้ พี่อาร์ตอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เพราะพ่อกับแม่พี่เขาย้ายไปใช้บั้นปลายชีวิตที่ต่างจังหวัดแล้ว
“ขอบคุณนะคะพี่อาร์ต”
“อื้อ พี่ไม่รู้ว่าเรามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอกนะ แต่คงหนักจนเด็กเก่งของพี่ทนไม่ไหวใช่ไหม” พี่อาร์ตนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามแล้วก็พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และสายตาที่มองฉันด้วยความเป็นห่วง จนฉันน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ
“ฮื่อๆๆ ไม่ไหวค่ะ นับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรมันเข้ามาถาโถมนับนักหนา” ฉันปล่อยโฮอีกรอบเพราะความเก็บกดที่มีอยู่ในใจมานาน
“ถ้าสบายใจแล้วอยากเล่าหรืออยากระบายพี่พร้อมรับฟังนะนับ”
“นับอยากหายไปพี่อาร์ต นับคิดถึงพ่อกับแม่” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วก็ตอบพี่อาร์ตเสียงแผ่ว จะดีแค่ไหนนะถ้าฉันเหนื่อยหรือทุกข์ใจแล้วได้อ้อมกอดอบอุ่นของพวกท่าน ฉันว่าความเจ็บปวดในใจฉันมันจะต้องลดน้อยลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อแค่เพราะมีกอดที่อบอุ่นของพวกท่านแน่ๆ
...ฉันอยากได้อ้อมกอดของคนที่รักฉัน มากอดฉันเวลาที่ฉันทุกข์ใจ เสียใจ หรือมีปัญหากับทุกเรื่องที่เจอ ไม่ต้องช่วยฉันแก้ปัญหาก็ได้ แค่กอดฉันเอาไว้ก็พอ
“อย่าคิดแบบนั้น พ่อกับแม่นับท่านจะไม่สบายใจ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงไม่ใช่รึไง” พี่อาร์ตขยับมานั่งข้างๆ แล้วก็ดึงฉันเข้าไปกอด พร้อมกับตบหลังฉันเบาๆ
“นับเหนื่อย โดยเฉพาะตอนนี้ มันเหนื่อยมากเลยค่ะพี่อาร์ต”
“ไม่เป็นไรนะนับ ไม่เป็นไร” พี่อาร์ตยังคงปลอบฉัน โดยที่ไม่ได้เซ้าซี้ถามเลยสักนิดว่าฉันร้องไห้เพราะเรื่องอะไร ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วสำหรับฉัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่พร้อมที่จะบอกใคร
-2 เดือนต่อมา –
นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เรื่องเลวร้ายบัดซบที่สุดในชีวิตของฉันได้เกิดขึ้น ฉันก็ไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นอีกเลย เพราะฉันลาออกจากผับที่เคยทำงาน แล้วไปทำที่อื่นแทน ฉันกลัวการที่จะต้องพบเจอหน้าเขาค่ะ แค่นี้ก็เกลียดมากพอแล้ว ผู้ชายเฮงซวย!
“นับเงินๆ” เสียงแพรไหม เพื่อนในมหาลัยของฉันตะโกนเรียกฉันมาแต่ไกล จนทำให้ฉันต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงตัวนางก่อนที่นางจะตะโกนลั่นไปมากกว่านี้
“มาแล้วจ้า ตะโกนจนโรงอาหารแทบแตกแหนะ” พอไปถึงฉันก็ล้อแพรไหมเพราะนางตะโกนดังจริงๆ ค่ะ สมฉายาแพรไหมเสียงโทรโข่ง
“อิอิ ก็ไหมกำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาตินี่” แพรไหมบอกใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อนฉันคนนี้เป็นเด็กเรียนค่ะ รักการเรียนและชอบมากเวลาที่อาจารย์สั่งงานโหดหินมาให้ และพอนางบอกว่ากำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาติ ฉันก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างว่างานนี้จะต้องโหดมากแน่นอน
“แค่เห็นไหมตื่นเต้น นับก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าจนใจจะหยุดเต้นแล้ว” ฉันตอบแพรไหมไปพร้อมใบหน้าเซ็ง วันนี้อาจารย์ยกคลาส แต่สั่งงานที่เป็นโปรเจคสำคัญที่จะชี้ชะตาเกรดของวิชานี้โดยเฉพาะมาทางหัวหน้าแทน
“ไม่เอาสินับ งานน่ะยิ่งยากยิ่งท้าทาย เทอมหน้าต้องฝึกงานแล้วด้วย ถือเป็นการฝึกไปในตัวเลย ต่อไปต้องเจออะไรหนักกว่านี้อีกนะ” แพรไหมยิ้มตอบจนตาหยี แต่พอตัดมาที่อีนับเงินคนนี้ ขนาดยังไม่ได้รู้เลยว่างานคืออะไรก็จิตใจห่อเหี่ยวแล้ว
พอแพรไหมบอกว่าอาจารย์ให้ทำอะไรฉันก็แทบกรีดร้องให้ลั่นโรงอาหาร ให้ไปขอสัมภาษณ์ประสบการณ์การทำงานจากนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงเนี่ยนะ แถมยังกำหนดรายชื่อมาให้นักศึกษาแต่ละคนแล้วเรียบร้อย
นับเงินขอเน้นย้ำว่าแค่กำหนดชื่อของนักธุรกิจมาให้นะคะ แต่อาจารย์ไม่ได้บอกคนที่พวกเราจะไปสัมภาษณ์ให้รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาคือคนที่ถูกเลือก WTF!
นี่จะให้นักศึกษาไปหาวิธีเข้าถึงและขอสัมภาษณ์เองเนี่ยนะ! บ้าไปแล้ว เด็กใส่ชุดนักศึกษากะโปโลไปขอสัมภาษณ์ ใครเขาจะบ้าสละเวลาอันมีค่ามาให้กันเล่า หนังสือขอความอนุเคราะห์จากมหาลัยฯ ก็ไม่มี
Line!
เสียงไลน์กลุ่มคณะดังขึ้น มาทำให้ฉันกับแพรไหมรีบเปิดอ่านเพราะอาจารย์บอกว่าจะส่งรายชื่อมาให้ในไลน์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลุ้นกันตัวโก่งว่าจะได้ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านใด
“ครินทร์ ศิริวัฒนากูล...” ฉันพยายามลากสายตาตามช่องรายชื่อของฉันช้าๆ หลายรอบ เผื่อว่าฉันอาจจะตาลายจนสลับบรรทัด แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ ชื่อนั้นนั่นแหละถูกต้องแล้ว ชื่อของคนที่ฉันต้องไปขอสัมภาษณ์
“นับ นับเงิน! เป็นไรอ่ะหน้าซีดเชียว” แพรไหมเรียกฉันซ้ำๆ พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง
“ซวยแล้วไหม” ฉันมองหน้าแพรไหมเหมือนคนสติหลุด แล้วก็ตอบแพรไหมช้าๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง
“อะไรเหรอนับ ไหมไม่เข้าใจ” แพรไหมทำหน้างงหนัก เพราะท่าทีของฉันที่อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้
“นับซวยแล้ว เจอเจ้ากรรมนายเวร...”
ตอนนี้นับเงินเด็กนักศึกษาปี 3 มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งได้พาตัวเองในชุดนักศึกษาปกติบ้าน ๆ เสื้อพอดีตัวกับกระโปรงทรงเอยาวระดับเข่าและคัทชูสีดำมาหยุดอยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ของโรงแรมหรูที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ยืนตรงนี้ฉันเหมือนมดตัวเล็กกระจี๊ดริ๊ดไม่มีผิด“เฮ้อ! ใครจะบ้าให้เด็กนักศึกษาเข้าไปสัมภาษณ์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยวะ” ฉันถอนหายใจออกมา ความหวังริบหรี่ค่ะ ถึงจะรู้ว่าต้องมาสัมภาษณ์ใครแต่ความตื่นเต้นตรงนั้นมันหายไปแล้วเพราะรู้ดีว่าการเข้าไปขอสัมภาษณ์มันยากกว่า“ติดต่ออะไรคะ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้านหน้าถามฉันด้วยรอยยิ้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นับเงิน“สวัสดีค่ะ คือหนู...” ฉันแจ้งรายละเอียดให้พี่ประชาสัมพันธ์คนสวยฟังซึ่งมันดีมากที่พี่เขารับฟังฉันด้วยรอยยิ้ม ไม่มีอาการเหวี่ยงเพราะฉันไม่ใช่ลูกค้าของบริษัท“พี่ไม่แน่ใจนะคะว่าท่านประธานจะสะดวกให้สัมภาษณ์รึเปล่า” พี่เขาตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่แสดงความเห็นใจ หนูรู้ค่ะพี่ หนูรู้อยู่แล้ว“หนูรู้ค่ะพี่ อาจารย์โยนงานยากให้จริง ๆ ค่ะ” ฉันบอกพี่เขาด้วยน้ำเสียงเศร้า เอา F หรือ D ไปกินเถอะนะนับเงิน“แต่ยังไงน้องลองขึ้นไปยื่นเอกสารที่เลขาท่านประธานก่อนเนอ
ฉันมานั่งรอที่โซฟาตัวเดิมตั้งแต่ 7 โมงครึ่งตอนนี้บ่าย 2 ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของบริษัทที่เป็นคนพูดเองว่าให้มาแต่เช้า ไม่มีแม้แต่เงา มีแต่กรุ่นไอนางมารร้ายที่ลุกโชนออกมาจากตัวยัยเจ้เลขาเนี่ย“กลับได้แล้วมั้ง!” เสียงนางดังลอย ๆ กระแทกใส่ ซึ่งฉันก็ไม่ได้หันไปสนใจหรอกค่ะ ว่าจะกลับอยู่เหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้ก็จะไปพบอาจารย์แล้วก็บอกไปซะว่ามานั่งรอตามที่เขานัดแต่เขาไม่มาให้สัมภาษณ์ แค่นี้ก็มีเหตุผลให้เปลี่ยนคนสัมภาษณ์แล้วแต่เสียงของยัยเจ้เลขามันดังกระทบประสาทมาขัดจังหวะก็เลยยังไม่ไปดีกว่า ขอนั่งกวนอารมณ์นางต่อสัก 10-20 นาทีแล้วกัน“ท่านประธาน มาแล้วเหรอคะ” เสียงยัยเลขาที่เสียงอ่อนเสียงหวานดังขึ้นทำให้สันหลังฉันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา“ครับ บอกเขาตามผมเข้าไปได้เลยนะ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทำงาน บอกเขาตามผมเข้าไปได้เลยนะ ชิส์ นั่งอยู่ตรงนี้เรียกเองไม่เป็นรึไง“นี่เธอ” เสียงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นส้นตีนเชียวนะยัยเลขา ฉันก็เลยหันไปพูดกับนาง“ไม่ต้องบอกค่ะ ได้ยิน” พูดจบฉันก็เดินไปที่ประตูแล้วก็ผลักมันเข้าไปในทันที ไม่ต้องหวั่นอะไรหรอกนับเงินกับคนชั่วในห้องนี้ ร
“นับเงินอยู่เฉย ๆ” ผมบอกยัยขี้เมาที่ผลักมือผมที่กำลังเช็ดหน้าให้เธอเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ดิ้นจังวะ“อื้อ! มันเย็น~” เสียงคนเมาครางตอบในลำคอผมเลยทำได้แค่ยิ้มให้กับความงอแงของเธอแล้วก็เปลี่ยนเป็นเช็ดตามคอให้แทน“ปวดฉี่~” หือ? ปวดฉี่เหรอ“เดี๋ยวพี่พาไป” ผมบอกเธอแล้วก็อุ้มนับเงินขึ้นแนบอกเพื่อพาไปห้องน้ำ ผู้หญิงคนแรกแล้วก็คนเดียวเลยนะครับที่ผมยอมดูแลแบบนี้ แต่ผมทำเขาไว้เยอะดูแลแค่นี้อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ“ถอดกางเกงไหวไหมครับ” ผมวางนับเงินให้ยืนข้างชักโครก ถามไปก็ภาวนาให้เธอทำเองได้เถอะเพราะผมไม่อยากเห็นของดีในตอนนี้ไม่งั้นสติผมคงกระเจิงแน่“หึ~ ถอดให้หน่อย~” นับเงินส่ายหน้าแล้วก็เอามือมากอดเอวผมไว้เหมือนจะล้ม ถ้าเป็นเวลาปกติผมก็คงดีใจเนื้อเต้นแล้วเพราะถอดเสื้อผ้าผู้หญิงมันงานถนัด แต่ต้องไม่ใช่ในเวลาที่ผมเห็นแล้วทำอะไรไม่ได้แบบนี้สิวะ“เร็ว~ ฉี่จะราด~” นับเงินยืนบิดเหมือนจะทนไม่ไหวผมเลยต้องกลั้นใจถอดกางเกงให้เธอ เอาวะถ้ามันตื่นก็ใช้มือไปก่อนแล้วกันไอ้คริช แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเลยก็คือ อย่าปล่อยให้นับเงินไปกินเหล้าจนเมาอีกเป็นอันขาด เมาแล้วไม่มีสติ ดูสิครับขนาดจำไม่ได้ว
“คุณเชื่อทุกคำพูดของฉันแค่เพราะฉันเมา แต่คุณกลับไม่แม้แต่จะฟังฉันในเวลาที่ฉันมีสติครบถ้วนเหรอคะ คุณเห็นฉันเป็นคนแบบไหนกัน?”“นับเงิน...”“ฉันก็มีศักดิ์ศรีมีความเป็นคนเหมือนกันนะคุณ ฉันไม่ต้องการความรับผิดชอบที่เกิดจากความเมาหรอก คุณเก็บมันไว้เถอะ ฉันผ่านเรื่องบัดซบนั่นมาจนใช้ชีวิตปกติได้แล้ว คุณไม่ต้องมารู้สึกผิดหรือสงสารฉัน...ฉันไม่ต้องการ”คำพูดของนับเงินทำให้ผมนิ่งเงียบไป ผมรู้สึกจุกอยู่ข้างใน มันก็จริงอย่างที่เธอว่า วันนั้นเราตื่นมาด้วยสภาพดูไม่จืดทั้งคู่แต่ผมกลับไม่ฟังคำพูดของเธอ ผมเอาแต่เชื่อในความคิดของตัวเองจนเผลอดูถูกเธอไปตั้งเยอะ“นอนก่อนไหม” ผมมองตามนับเงินที่ลุกขึ้นยืนแล้วก็ถามบ้าอะไรออกไปก็ไม่รู้ เหมือนคนที่อยากพูดแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรทำให้นับเงินใช้หางตามองผมด้วยความไม่พอใจ“เสื้อผ้าฉันล่ะ” เธอถามผมด้วยเสียงเย็นชา สรุปคือไม่นอนต่อสินะ ไอ้ห่าคริชมึงก็ควายไปถามแบบนั้นใครจะนอนต่อบนเตียงของคนที่เปิดซิงเขาแต่หาว่าเขาโกหกเพื่อจับมึงลง“อยู่ในตะกร้า ใส่ชุดพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อชุดใหม่มาให้” ผมรีบบอกเธอแล้วก็ลุกจากเตียง รีบไปหาชุดใหม่ให้นับเงินก่อนเผื่อจะพอมีความดีขึ้นมาบ
“ไม่หิวข้าวเหรอครับ ไปกินข้าวก่อนค่อยเข้าบ้านดีไหม” ผมชะลอรถแล้วหันไปถามคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงเพราะมันเลยเวลามื้อเช้าจนจะถึงเวลามื้อเที่ยงอยู่แล้ว“ไม่ค่ะ” น้ำเสียงไร้อารมณ์ตอบผมมาอย่างไร้เยื่อใย ถามคำตอบคำยังใช้ไม่ได้กับนับเงินเลยครับ ใช้คำว่าถามห้าคำตอบหนึ่งวลีน่าจะเหมาะกว่า“แต่เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลยนะไปหาร้านแถวนี้กินก่อนไหม ร้านข้างหน้าก็ได้ท่าทางน่าอร่อย” ผมพยายามชวนต่อ ผมเชื่อว่าเธอก็คงหิวไม่ต่างกัน เผื่อว่าความหิวจะทำให้เธอเคลิ้มตามยอมไปกินข้าวกับผมก่อน“จอดค่ะถึงแล้ว” นับเงินไม่ตกลงและไม่ปฏิเสธแต่ตัดบทแทนผมเลยไม่กล้าเซ้าซี้ต่อต้องยอมทำตามความต้องการของเธอผมมองตามหลังนับเงินที่เดินเข้าไปในซอยเพราะหลังจากที่เห็นนับเงินร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสารแบบนั้นผมก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธออีก ยิ่งเป็นน้ำตาที่ผมเป็นต้นเหตุยิ่งไม่อยากเห็นเลยรีบหาเสื้อผ้ามาให้เธอแล้วก็พาเธอมาส่งถึงหน้าปากซอยตามที่เธอต้องการแต่ผมไม่ได้ล้มเลิกความต้องการหรอกนะครับแค่ขอตั้งหลักก่อน ผมคงรุกเร็วเกินไปเพราะทำระยำกับเธอมาหนักเหมือนกัน แบบนี้ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะบ้ามาเริ่มต้นใหม่กับผมวะดีแล้วล่ะครับที่นับเงิ
นับเงินรินเหล้าให้ผมถี่มากและผมเองก็ต้องกระดกถี่มากเช่นกัน เพราะพอรินเสร็จเธอก็ทำท่าจะเดินหนีอยู่ตลอดเวลาผมเลยต้องยกแก้วกระดกแล้วก็วางให้เธอรินใหม่ให้เร็วกว่าขาที่จะก้าวหนี พนักงานที่นี่ทำงานได้น่าฟ้องให้เจ้าของผับไล่ออกจริง ๆ เลยว่ะ กดดันลูกค้าให้กินเหล้าฉิบหาย ผ่านมาแค่ 5 นาทีเหล้าผมหายไปครึ่งขวดแล้ว“รินช้า ๆ ได้ไหมนับเงิน” ผมบอกนับเงินที่ยกขวดรินเหล้าด้วยความเร็ว 0.001 วินาทีแล้วก็วางมันลงตรงหน้าผมแต่เธอแค่ปรายตามองผมแล้วก็จะเดินหนีอีกครั้ง“ถ้าไม่ไหวก็ดื่มช้า ๆ สิคะ นี่ค่ะ ฉันขอตัวไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะอื่นนะคะ” นับเงินบอกผมแล้วยื่นแก้วเหล้าที่มีเหล้าเต็มแก้วมาให้ เต็มจนล้นกระฉอกออกมาแล้ว พนักงานเสิร์ฟที่ไหนเขารินเหล้าเพียวเต็มแก้วกันวะ“รินอะไรเต็มแก้วขนาดนี้นับเงิน” ผมถามคนตรงหน้าที่ยืนทำหน้ารำคาญผมได้น่าจับกดเป็นบ้าเลย“รินให้เต็มแก้วลูกค้าจะได้ดื่มนาน ๆ ไงคะ ขอตัวนะคะคุณลูกค้า” เธอพูดจบก็หันหลังจะเดินหนีแต่เวลานี้ผมงี่เง่าได้มากกว่าที่เธอคิดอีก“น้อง! รินเหล้าให้พี่หน่อย” ผมตะโกนเรียกนับเงินเสียงดังทำให้เธอหยุดขยับแล้วผมก็เห็นว่าเธอถอนหายใจออกมาเต็มแรง“...” นับเงินหันมามองหน้าผ
“...โอเค ถ้าง้อดี ๆ ไม่ได้ พี่จะทำให้เทอมหน้าเราต้องดร็อปเรียน”“อะไรของคุณ คุณจะแกล้งอะไรฉันอีก!”“ไม่ได้จะแกล้งอะไร แต่พี่จะเอาลูกยัดใส่ท้องเรา อยากป่องก่อนเรียนจบก็ดื้อไปเลยนับเงิน ใจดีแล้วไม่เห็นใจกันพี่คงต้องใจร้ายบ้างแล้วล่ะ”ฉันมองหน้าเขาที่เพิ่งขู่ฉันด้วยคำพูดและสีหน้าจริงจัง ไม่มีจุดไหนในตัวเขาที่บอกว่าเขาพูดเล่นเลยสักนิด มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยขึ้นมา พราะในความเป็นจริงเขาเปรียบเหมือนยักษ์ที่มีอำนาจทำได้ทุกอย่างส่วนฉันก็เป็นแค่มด แถมยังเป็นมดงานตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีที่พึ่งอะไรเลย ถ้าเขาทำจริงฉันก็แค่ตายอย่างช้า ๆ ให้กับความสนุกและสะใจของเขา แต่ฉันจะยอมง่าย ๆ แค่เพราะเขาขู่เองเหรอ บอกเลยว่าไม่มีทาง ชีวิตนับเงินผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะแล้วค่ะแค่สู้กับมันไม่ตายก็รอดแค่นั้นแหละ!“คุณใจดีอะไรฮะ คุณแกล้งให้ฉันยืนรอรินเหล้าให้คุณจนขาแข็งมาทั้งอาทิตย์อยู่แล้ว” ฉันตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้ ถึงจะหน้าแดงนิดหน่อยตอนที่เขาขู่ก็เถอะ คำขู่มันถึงลูกถึงคนแบบนั้นใครจะไม่อายบ้างล่ะ“พี่มานั่งตรงนี้กินเหล้าตั้งแต่ 3 ทุ่มยันตี 2 ทั้งอาทิตย์ ตับจะแข็งตายอยู่แล้วเพราะไม่อยากให้เราต้องไปเสิร์ฟข้า
“เราเริ่มต้นใหม่แต่ไม่เป็นแฟนกันได้ไหม”“หมายความว่าไงคะ ฉันไม่เข้าใจ”“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ก็เราได้เสียกันแล้ว พี่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่แบบแฟน แต่อยากให้เราเริ่มต้นใหม่แบบผัวเมียเลยได้ไหม”ฉันมองหน้าอีตาบ้านี่ด้วยอาการเหวอแบบที่ไม่เคยเหวอขนาดนี้มาก่อนพอตั้งสติได้ก็รีบหันหน้าหนีเขา ทำไมเขาถึงได้เป็นคนแบบนี้ วันแรกยังขนาดนี้ วันต่อ ๆ ไปนับเงินจะมีชีวิตอยู่โดยที่ใจเต้นปกติได้ยังไง“เขินเหรอครับ?” เขากอดเอวฉันแล้วก็เอาคางมาวางที่ไหล่แถมยังล้อฉันด้วยเสียงพร่าข้างใบหูทำฉันต้องย่นคอ สยิวเป็นบ้าเลยค่ะ -///-“ปล่อยค่ะอย่ามาเนียนกอด ยังไม่ได้ตกลงสักหน่อย” ฉันบอกเขาแต่ไม่ได้พยายามเอามือเขาออกหรอกนะคะ บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ความแรดที่เฮียแกเคยปลุกมันเริ่มจะกลับมาแล้ว แหะ ๆๆ“ไม่ปล่อยพี่จะกอดเมีย” เขาพูดขึ้นมาแล้วก็กอดฉันแน่นขึ้นอีก ไม่ไหวแล้วนะใจนับเงินเนี่ย จะอ้อนอะไรขนาดนี้คะคุณ อ้อนเก่งเกินไปแล้ว ไม่รู้กับผู้หญิงคนอื่นจะเป็นแบบนี้รึเปล่า“ไม่ใช่สักหน่อย อย่าพูดแบบนี้สิคะ” ฉันตอบกลับเขาเบา ๆ จนแทบจะจำเสียงตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ บอกแล้วไงคะว่าสยิว ลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดใบหูมันทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัวจุ๊บ!“
“ว่าไงครับ แต่งงานกับพี่ได้ไหม เราแต่งงานกันนะ” พี่คริชกอดฉันพร้อมกับจูบที่ผมแล้วก็พูดออกมา น้ำเสียงของเขามันมีแต่ความอบอุ่น ฉันอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน เฮียเร่งให้ตอบน้องก็อยากตอบ อยากตอบตั้งแต่เฮียพูดคำแรกแล้วแต่มันมัวแต่ตะลึงตื่นเต้นดีใจร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลยไม่ทันได้ตอบไงคะ“แต่งค่ะ นับจะแต่งงานกับพี่คริช” ฉันตอบชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตโชคดีเท่ากับการได้มีเขาคนนี้เข้ามาในชีวิตอีกแล้ว“ถ้างั้นก็มาปั๊มน้องรอเลยไหม~”“พี่คริช! หวานเกิน 10 นาทีก็ได้นะคะ” ฉันผละออกแล้วก็ตีเข้าที่แขนล่ำ ๆ ของพี่คริชด้วยความหมั่นไส้ เพิ่งตกลงก็จะชวนปั๊มลูกแล้ว ไม่เห็นใจจิตใจที่อ่อนไหวของฉันเลย“ฮ่า ๆๆ ไม่ปั๊มก็ได้ครับ ไม่อยากให้เมียกับลูกโดนคนนินทาเหมือนกัน ทำให้คนอื่นอิจฉาหนูที่มีสามีโคตรดีดีกว่า”“ขอบคุณนะคะ”“ขอบคุณเหมือนกันครับที่รักพี่” พี่คริชส่งยิ้มมาให้แล้วก็เอามือปัดปอยผมไปทัดหูให้ช้าๆ หล่อ~ มองยังไงก็หล่อทั้งกายและใจ“ขอบคุณนับทำไมคะ มีแต่นับสิคะที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณที่ให้อภัยนับ ขอบคุณที่ถึงนับจะทำตัวไม่น่ารักแค่ไหนแต่พี่คริชก็ไม่เคยทิ้งนับไปไหนเลย”“พี่ทำผิดกับหนูก่อนจำไ
เมียผมเป็นตัวร้าย! นอกจากความคิดความอ่านจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้วสกิลการยั่วยังก้าวกระโดด ตอนแรกที่ก้มหน้าลงมาจูบผมก็ไม่ได้ว่าหรอกนะครับ อยากจูบแฟนอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าจะกล้าขนาดล้วงเข้าไปจับลูกชายของผมคลึงเล่นขนาดนั้น พอห้ามเหมือนทุกครั้งก็นึกว่าจะฟัง ที่ไหนได้ดันเอานมมายัดปากแทน แล้วผมจะปฏิเสธการดื่มนมก่อนนอนได้เหรอครับในเมื่อมันเข้าปากไปแล้ว เวลานี้สภาพสุดที่รักของผมก็เลยเละ ไม่ได้เละแค่เธอแต่หมายถึงผมด้วย ห่างหายการมีเซ็กส์ไปตั้งหลายเดือนมีแต่แม่นางทั้ง 5 ที่คอยช่วยพอไอ้นกเขาลูกรักได้กลับไปหาแม่มัน มันก็เลยคึกทั้งคืน กว่าจะสงบก็ปาไปเกือบสว่างยิ่งรักมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งแสดงออกไปเท่านั้น ใส่ไม่ยั้งไม่มีออมแรง เดี๋ยวน้องหาว่าผมรักน้อยลง อีกอย่างก็คือเอาให้สมกับที่กล้ามายั่วแล้วก็รุกผมก่อนซะหน่อยจุ๊บ!“อื้อ~ อย่าเพิ่งกวนค่ะ” ผมก้มลงไปจูบไหล่เนียนที่โผล่พ้นผ้าห่มออกม แล้วก็ไล้จมูกตามไหล่ขึ้นไปหาต้นคอขาว ๆ แต่นับเงินกลับเอามือมาผลักหัวผมออก ยัยขี้เซาตัวแสบ“กล้าผลักหัวพี่เหรอ หืม~” ผมกระซิบถามข้างหู โคตรมันเขี้ยวเธอเลย ผู้หญิงบ้าอะไรวะสวยฉิบหาย ไม่ต้องแต่งหน้าก็หลงหัวปักหัวปำ
Line...แก๊งนางฟ้ากับเมียมโนMilan : พี่คริชทำแสบ!Mintra : ใช่ ใช่ไหม?Milan : ชัวร์! ไอ้บ้าแอลบอกมาWahn-Wahn : ฮือ~ หวานโดนคุณพอร์ชบ่นหูชา ยังบ่นไม่จบแต่หวานแกล้งปวดอึ๊วิ่งเข้าห้องน้ำก่อน T_TKaNom : พี่คริช! น้องนับแฟนหนูขี้ฟ้อง!Milan : คราวหลังนับเงินต้องหัดโกหกเฮียเขาบ้างนะลูก!!!!!Manny : เกิดอะไรขึ้นคะชะนี ผัวรู้ผัวเห็นแล้ว?Nub-nuB : ฮือ~ หนูผิดเอง ขอโทษนะคะแต่อย่าด่าเฮียเลย เฮียแค่ไม่อยากให้หนูไปManny : โอ๊ย สรุปชะนีอดทุกนางเพราะผัวรู้ทันแล้ว ลำไยพวกมีผัวหล่อ!Nub-nuB : คุณแม่อย่าว่าพี่คริชนะคะ ผิดที่หนูอ้อนไม่เก่งเอง T_TManny : ปกป้องผัวมากค่าMintra : สุดฤทธิ์ค่ะบอกเลย อิอิMilan : เป็นคนแรกในแก๊งที่ไม่โขกสับพ่อบ้านWahn-Wahn : เด็กดีของเฮียคริช ทีหลังอย่ารายงานทุกเรื่องนะลูกพี่หวานขอร้อง~KaNom : โกรธพี่คริชมากตอนนี้ อุตส่าห์หลอกพี่วินได้ T_TNub-nuB : ฮือ~ หนูผิดเอง อย่าว่าพี่คริช หนูรักของหนู หนูไม่อยากโกหกเฮีย หนูขอโทษนะคะกลุ่มไลน์ร้อนเป็นไฟเพราะความหวังดีของเฮียที่กลัวน้องจะอดไปนั่งเม้าท์กับเจ้ ๆ อยู่คนเดียวเลยทำให้พวกอาเฮียหนุ่มหล่อที่เหลือรู้ทันแผนของบรรดาเมีย จั
ชีวิตนับเงินหลังจากโดนแทงจนต้องไปนอนแอ้งแม้งในโรงพยาบาลก็จะงง ๆ หน่อยนะคะ โดนลดสถานะก็เลยวางตัวไม่ถูก ไม่ได้วางตัวลำบากกับเฮียนะคะ แต่มันยังงง ๆ ว่าต้องวางตัวแบบไหน นี่ก็ผ่านมา 1 เดือน หมดเวลาพักฟื้นและย้ายจากบ้านพี่คริชมาอยู่ที่คอนโดแล้วเพราะต้องกลับไปฝึกงานฉันกลับมาอยู่ที่คอนโดเหมือนเดิมค่ะ นอนห้องเดิมที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือพี่คริชย้ายไปนอนอีกห้อง ตอนที่พักฟื้นที่บ้านใหญ่พี่คริชก็ไปนอนเฝ้า นอนที่โซฟาในห้องเขานั่นแหละ คนอะไรบทจะใจแข็งก็หักดิบได้สุด ๆ ไปเลย จากที่เคยหื่นตลอดเวลากลับกลายเป็นเหมือนคนตายด้านพี่คริชทำมากที่สุดแค่กอด หอม จุ๊บแก้ม จุ๊บปาก แต่ถ้าน้องนับเงินคนนี้เกิดคิดใจกล้าบ้าบิ่นจะไปจูบปากนุ่ม ๆ ของเฮียก็จะโดนมือผลักหัวให้ไสหัวไปไกล ๆ ในทันที รู้สึกวางตัวลำบากกับเรื่องนี้มาก ๆ อยากจูบ อยากนอนกอดแต่เฮียไม่อนุญาต T_T“อ้าว! ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” พี่คริชเปิดประตูออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพกางเกงนอนขายาว และอกแกร่งที่เปลือยเปล่าแถมผมที่เพิ่งสระมันเปียกหมาด ๆ ยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่ให้เฮียเป็นล้านเท่าตัว“ออกมาดื่มน้ำค่ะ พี่คริชล่ะคะ” ฉันตอบพี่คริชแล้วก็พยายามไม่มองไปที่หุ่นทรมานใจ
“ร้องไห้ทำไมเจ็บแผลเหรอครับ หรือว่าเสียใจเรื่องไอ้อาร์ต”“...เปล่าค่ะ แค่เจ็บแผล” พอเห็นความเย็นชาจากพี่คริชนับเงินคนนี้ก็เลยต้องรีบเช็ดน้ำตาป้อย ๆ แล้วก็รีบตอบอย่างรวดเร็ว“ให้เรียกหมอให้ไหม” พี่คริชเดินมาหยุดที่ข้างเตียงแล้วก็มองหน้าฉันแบบที่ไม่หลงเหลืออารมณ์พิศวาสใด ๆ ในสายตา ขอพับเก็บการขอโอกาสจากเฮียเลยแล้วกันนะคะเพราะดูทรงเฮียคงไม่มีอารมณ์มาฟังนับเงินอ้อนวอนขอโอกาสหรอก“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหมอก็ให้ยาแก้ปวดหลังอาหาร” ฉันตอบพี่คริชแล้วก็ส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้ ไม่รู้จะวางตัวยังไง อยู่ในสถานะแฟนเก่าที่อยากกระโดดกอดเฮีย อยากกอด อยากจุ๊บแต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ขนาดจะมองหน้าสบตาที่คุ้นเคยยังไม่กล้าเลย...“ครับ จะกินข้าวเลยไหม คุณแม่ให้คนทำอาหารมาให้ ขนมไปบ่นว่าอาหารโรงพยาบาลไม่น่ากิน เมื่อกี้เขาเอาอาหารมาเสิร์ฟพอดีแต่พี่ให้เอากลับไปแล้วล่ะ” พี่คริชถามฉันแล้วก็หันหลังเดินไปตรงเค้าเตอร์ก่อนที่จะหยิบกล่องอาหารออกมา“ค่ะ ทานเลยก็ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่าย เลิกดื้อไปเลยค่ะ ไม่เอาแล้วจริง ๆ เข็ด ถึงเขาจะไม่รักแล้วก็จะเลิกดื้อ จะเปลี่ยนนิสัยของตัวเองฉันนั่งกินอาหารที่มาจากบ้านพี่คริชเงียบ ๆ
“ไหนมาคะอีแมนนี่”“ไปจัดการอีเกย์ไร้คุณธรรมนำจิตใจมาค่ะ อีอาร์ตี้นั่นแหละกูจัดหนักให้แล้ว”“อีแมน! มึงไปทะลวงมาเหรอ”“แมนนี่ค่ะอีมิ! อีผี! แล้วใครว่ากูจะไปทะลวงมัน กูสาวรับค่ะ! หรือต่อให้กูรุกกูก็ไม่เอาเวอร์จิ้นของกูไปเปื้อนราคีมันหรอก!” สวัสดีค่ะลูกสาวทุกคน นี่คุณแม่เองค่ะ คุณแม่แมนนี่คนดีหน้าหล่อหุ่นแมนแต่ใจเป็นหญิง หญิงทั้งสี่ห้องหัวใจเองค่ะลูกสาว“แล้วมึงไปจัดการมันยังไง” อีมิลานคนดี อีชะนีที่ปากหมาที่สุดในกลุ่มถามขึ้นอีกครั้ง แต่นังลูกสาวที่เหลือก็ทำหน้าเหมือนว่าเปิดต่อมรับรู้ทุกอณูในร่างกายเอาไว้แล้ว ยกเว้นลูกนับคนงามของคุณแม่ที่นอนแอ้งแม้งไม่ยอมตื่นคนเดียวที่ดูจะไม่อยากรู้อยากเห็นกับเรื่องนี้“ที่จริงกูไม่ได้ไปจัดการหรอกแค่ไปแอบดูพี่คริชจัดการ สยองมากค่ะกูบอกเลย” คุณแม่ตอบยัยพวกชะนีน้อยแล้วก็ทำหน้าผะอืดผะอม คิดแล้วสยองไม่หาย“ยังไงคะพี่แมนนี่” ยัยลูกหวานคนสวยชะโงกหน้ามาถามก่อนใคร“ก็เริ่มจากไปพลิกฟ้าตามจิกหัวมันมาภายในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง แล้วก็จับมันขึง 4 มุมเมือง เสร็จแล้วก็กรอกยาปลุกเซ็กส์ชนิดต้องการมีผัว 10 คนใน 5 นาทีให้มัน แล้วก็ปล่อยมันมันทุรนทุรายร้องโหยหวนต้องการราคะตั้ง
“ทำไมคุณคริชถึงมาส่งนับ”“คะ? อะไรนะคะ”“จะถามซ้ำทำไมในเมื่อได้ยินชัด! ทำไมคุณคริชถึงมาส่งนับ!”“พี่อาร์ตเป็นอะไร ออกไปนะคะ”“ตอบสิ! เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเขามาส่งนับทำไม อยากให้พี่คลั่งใช่ไหม!”“พี่อาร์ต...พี่อาร์ตอย่า! กรี๊ด!!!”ฉันกรี๊ดออกมาลั่นบ้านเพราะพี่อาร์ตตรงเข้ามากระชากแขนฉันเต็มแรง“พี่อาร์ตจะทำอะไรคะ” ฉันถามด้วยความกลัวลนลานไปหมดเพราะไม่รู้ว่าพี่อาร์ตต้องการกันแน่“ไปยุ่งวุ่นวายกับคุณคริชอีกทำไม เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ! แล้วจะไปวุ่นวายกับเขาอีกทำไม!”“พี่อาร์ตปล่อย!” ฉันไม่ตอบคำถามเพราะมันไม่ใช่เรื่องของพี่อาร์ตสักหน่อย ตอนนี้ฉันโกรธมากกว่าที่เขาเข้ามาอาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่ฉันเพี๊ยะ!“...พี่อาร์ต~” ฉันโดนพี่อาร์ตตบจนล้มลงไปกองที่พื้น ฉันหันกลับไปมองพี่อาร์ตช้า ๆ ทั้งงงทั้งกลัวไปหมดแล้ว“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่พลาดโอกาสจากความรักมาแล้วครั้งหนึ่งแล้วพี่ก็จะไม่ยอมพลาดอีกครั้ง!” ไม่ใช่การหึงฉันแน่นอน ไม่มีทาง ฉันมั่นใจว่าพี่อาร์ตไม่ได้คิดเกินเลยกับฉัน ไม่อย่างนั้นพี่เขาไม่หายไปเลยตอนที่ฉันโสดหรอก นอกซะจาก...“พี่อาร์ตชอบพี่... / ไม่ได้ชอบแต่กูรัก!” ฉันยังถามไม่จบพี่อาร์ตก
“อย่าให้ผมเห็นพวกคุณสองคนมาทะเลาะกันที่บริษัทผมอีก ไม่งั้นผมจะแจ้งมหาลัยของพวกคุณแล้วส่งตัวกลับ!”ฉันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะไม่มีแรงจะทำอะไร ส่วนซิลเวียร์ก็รีบเผ่นไปตั้งแต่ที่พี่คริชพูดจบแล้ว“น้องนับ”“พี่ขนม...ฮึก” ฉันหันไปตามเสียงที่เรียกชื่อถึงได้เห็นว่าเป็นพี่ขนมที่ยืนมองฉันอยู่ พอเห็นพี่ขนมเท่านั้นฉันก็กลั้นสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” พี่ขนมรีบเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้แล้วก็ปลอบพร้อมกับลูบหัวฉันไปด้วย มันเจ็บมากนะคะ เจ็บจนไม่รู้จะทำอะไรนอกจากกอดใครสักคนเอาไว้#NUB NGERN END#KRICHB TALKใครคิดว่าคนที่เย็นชาจะไม่เจ็บ ผมโคตรเจ็บเลยที่เห็นเธอโดนทำร้าย โคตรโกรธที่ซิลเวียร์กล้าทำร้ายคนดีของผม ยิ่งเห็นเลือดที่มุมปากผมยิ่งอยากเข้าไปกอดเธอให้แน่นที่สุดแล้วถามว่าเจ็บมากไหม ขอโทษที่ปล่อยให้คนอื่นกล้ามาทำร้ายเธอแบบนี้แต่จะให้ผมเสนอตัวไปทำแบบนั้นด้วยสถานะไหน?ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด“อืมว่าไง”(ไปผับไอ้ตินไหมเฮีย)“ไม่ว่ะ เหนื่อยวันนี้ประชุมทั้งวัน ไม่ต้องมากวนเฮียด้วยเฮียอยากนอน” ไอ้เควินโทรมาชวนผมให้ออกไปเปิดหูเปิดตาแบบนี้หลายครั้งแล้วแต่ผมไม่อยากไป บางครั้งพอผมปฏิเสธมันก็เป็นฝ่าย
“อย่าพูดเหมือนจะเลิกกับพี่นับเงิน”“พี่คริชก็น่าจะรู้ว่าที่นับพูดมามันหมายความว่ายังไง แต่ถ้าไม่อยากสรุปเอาเองก็ใช่ค่ะ เราเลิกกัน ถ้าโกรธจะฆ่านับให้ตายตอนนี้ก็ทำได้เลย แต่รู้เอาไว้นะคะไม่ว่าพี่คริชจะทำยังไงกับนับ นับก็ไม่มีวันกลับไป”ฉันพูดจบแววตาของพี่คริชก็ลดความแข็งกร้าวลงกลายเป็นสั่นไหว พร้อมกับความเจ็บปวดที่มันออกมาทางสายตานี่ฉัน...พูดบ้าอะไรออกไป“พี่คริช.../ หึ! ตลกว่ะนับเงิน” พี่คริชแค่นยิ้มออกมาก่อนที่จะมองฉันแค่เสี้ยววินาทีเดียวแล้วเขาก็หันหลังให้ฉันทันที“พี่คริช นับ... / พี่เคยบอกว่าจะไม่ปล่อยมือเราเด็ดขาด ยกเว้นเราจะเป็นคนปล่อยมือพี่เองนับเงิน” พี่คริชหยุดนิ่งตอนที่ฉันเรียกชื่อเขาอีกครั้งพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดฉันไม่กล้าเรียกเขาอีกครั้งได้แต่มองเขาเดินออกไป ค่อย ๆ ไกลออกไปทีละนิด จนตอนนี้ฉันมองไม่เห็นเขาแล้วฉันทำอะไรลงไป ฉันปล่อยให้ความโกรธที่เขาหึงหวงฉันเพราะรักฉันมากมาเป็นต้นเหตุทำให้เราต้องเลิกกัน ทั้งที่พี่คริชพยายามบอกให้ฉันกลับห้องอยู่หลายครั้ง ความจริงถ้าฉันค่อย ๆ พยายามขอร้องเรียกสติพี่คริชให้เขาเย็นลงมันก็ทำได้ แต่ฉันกลับเลือกที่