คีตะ
"ทะเลาะอะไรกับน้องอีกล่ะเรา ไม่เบื่อบ้างหรือไงกันกับเจ้าขาก็อีกคน"
ตอนนี้ผมกำลังหัวเสียกับไอ้จอมพลเพราะมันไม่รับสายผม แถมยังให้ผู้หญิงที่ไหนมารับสายแทนด้วยไง นี่ถ้าผมกำลังจะตายผมคงพึ่งมันไม่ได้เถอะ
"มันผิดนัดตะอ่ะแม่ สองรอบแล้วนะ"
ผมบอกแม่ไป ทั้งที่มันเป็นคนนัดผมจะไปดูคอมเล่นเกมส์ซึ่งผมก็รอจนอยากจะฆ่ามันตายอยู่แล้ว และที่สำคัญผมไม่ชอบคนที่พูดแล้วไม่เป็นคำพูด
"น้องมีธุระด่วนหรือเปล่า"
"มันอยู่กับผู้หญิงครับนั่นแหละธุระของมัน ทั้งที่มันนัดตะแล้วนะแม่"ผมบอกแม่ไป
ครืด ครืด
ผมหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะดูชื่อที่โชว์อยู่ ตายยากก็มันนี่แหละ
"ถ้าคำตอบไม่ประทับใจ กูฆ่ามึงแน่ไอ้จอมพล"
(อยู่ข้างล่างลงมาดิ)
ผมเดินลงมาข้างล่างแล้วมองน้องชายตัวเองที่นั่งเล่นมือถืออยู่ก่อนที่มันจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้ นี่ถ้าไม่ใช่น้องของเจ้าขานะผมจะสั่งคนมาเก็บมันสะ
"อ่ะของฝาก และหวังว่าจะไม่โกรธเรื่องที่น้องคนนี้ผิดนัดนะครับ"ไอ้จอมพลยื่นถุงให้ผม
"ใครรับสายแทนมึง"ผมถาม
"คนที่แบ่งขนมมาให้ และเป็นเพื่อนของผมเอง น่ารัก นิสัยดีมาก"
ผมเปิดกล่องแล้วมองขนมที่อยู่ด้านในก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้จอมพลที่นั่งอยู่ข้างๆ ขนมอันนี้ไม่ค่อยมีคนทำและหากินยากด้วย ตามจริงผมก็อยากจะถามมันต่อนะแต่ดูท่าแล้วผมคงไม่ได้คำตอบอะไรจากมันหรอก
"มึงคงไม่อยากเป็นแค่เพื่อนหรอกมั้งจอมพล"ผมเอ่ยแซวเพราะนิสัยไอ้เวรนี่แม่งเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งสะอีก
"แล้วใครมันจะไปอยู่คนเดียวได้ตลอดวะ ไม่ต้องถามอะไรต่อนะเพราะผมไม่บอกอยู่แล้ว"ไอ้จอมพลรีบพูดตัดบทผม
"กูถามมึงหรือยังกูบอกมึงตอนไหนว่ากูอยากรู้จักผู้หญิงของมึง"ผมย้อนถาม
"คนที่เหมือนป้าหน่าคนที่คุณคีตะตั้งสเปคไว้สะจนคิดว่าชาตินี้จะไม่มีผู้หญิงแบบนั้นแล้ว แต่เธอกลับมีทุกอย่างที่พี่ต้องการคิดว่ายังไง"
อย่างที่จอมพลบอกผมตั้งสเปคผู้หญิงไว้ค่อนข้างสูง และมันไม่ใช่แค่เหมือนแม่ของผมอย่างเดียวหรอกเพราะผู้หญิงที่จะเข้ามาในชีวิตผมต้องรับกับนิสัยของผมให้ได้
"แล้วยังไงกูต้องตามหาเธอ"ผมถามก่อนที่ไอ้จอมพลจะมองหน้า
"หึ...ถึงพี่ตามเธอก็ใช่ว่าเธอจะยอมคุยกับพี่"
ผมเลิกสนใจไอ้น้องเวรก่อนจะหันมากินขนมของโปรดที่มันเอามาฝาก และผมก็ไม่สนใจมันจริงๆ จนมันกลับบ้านโดยที่ไม่คิดจะบอกผมเลยสักคำ
"พรุ่งนี้ไปวัดกับแม่มั้ยคีตะ"แม่ผมเดินเข้ามานั่งก่อนจะถาม
"ได้ครับ"
.
.
"แม่เข้าไปรอข้างใน จอดรถเสร็จตามแม่เข้าไปนะ"
ตอนนี้ผมอยู่ที่วัดและที่สำคัญผมยังไม่ได้นอนเลย แต่เพราะผมรับปากแม่ไว้แล้วผมก็เลยต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อมาวัดแต่เช้า
"เดี๋ยวผมช่วยถือครับคุณยาย"ผมรีบลงจากรถแล้วเข้ามาหาคุณยายที่ถือของอยู่
"ขอบใจมากลูก"
"คุณยายจะไปตรงไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง"ผมถาม
ผมเดินเข้าวัดมากับคุณยายและสิ่งที่ผมถืออยู่คือขนมไทยหลากหลายชนิด ผมมองคุณยายที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนที่คุณยายจะหันมามองผมเช่นกัน
"คุณยายทำขนมเองหรอครับ"ผมตัดสินใจถาม
"ใช่ลูกยายทำเอง ขอบใจมากเลยนะลูก"คุณยายตอบผม
"คุณยายมาคนเดียวหรอครับ"
"ยายมากับหลานสาว แต่ยายลืมของไว้หลานยายก็เลยกลับไปเอาให้ แต่อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว ยายขอบใจอีกครั้งนะลูก"คุณยายยิ้มให้ผม
หลังจากนั้นผมก็รีบเดินมาหาแม่ที่รออยู่ แต่ก็ต้องมาสะดุดกับผู้หญิงที่ยืนคุยกับแม่ของผมอยู่
"แม่คุยกับใคร"ผมรีบเดินเข้ามาถามแต่เธอก็ไม่อยู่สะแล้ว
"เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะหรอ เธอช่วยแม่ยกของน่ะเธอน่ารักมากเลยนะคีตะ พูดจาอ่อนหวาน"
ผมมองแม่อย่างจับผิดเพราะปกติแม่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชมใครง่ายๆ ผมมองเธอคนนั้นที่กำลังวิ่งไปอีกทาง
เอสเทล
"ใครช่วยยายถือมาคะ"
ฉันถามยายตัวเองที่นั่งอยู่เพราะยายลืมของไว้ที่บ้านฉันก็เลยกลับไปเอา แล้วก็รีบวิ่งกลับมาจะมาช่วยยายถือของ แต่พอมาถึงยายคือนั่งรอแล้ว
"พ่อหนุ่มคนนั้นช่วยยายถือมา"ยายชี้ไปที่ผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่กับคุณน้าคนที่ฉันช่วยท่านยกของนี่
"เขาคนนั้นหรอคะ"ฉันถามแล้วชี้ไปที่เขา
วันนี้วันเป็นครบรอบวันที่แม่ของฉันเสีย วันนี้ของทุกๆ ปีฉันจะตื่นมาเตรียมของไว้ทำบุญและฉันไม่เคยเหนื่อยเลยที่จะทำมัน
"เอสคิดถึงแม่นะคะ แม่สบายดีใช่มั้ยส่วนเอสกับยายสบายดีนะคะ"
หลังจากทำบุญเสร็จยายก็กลับไปพักผ่อนส่วนฉันก็รีบมาหาแม่ ชีวิตของฉันมีความสุขกับสิ่งที่เป็นฉันไม่เคยน้อยใจในโชคชะตาเลยสักครั้ง
"เอสกลับก่อนนะคะไว้เอสจะมาคุยกับแม่ใหม่"
ฉันเดินออกมาจากวัดตอนนี้จะสิบโมงกว่าแล้ว และวันนี้ฉันว่างไม่ได้ไปไหนแต่เพื่อนรักของฉันดันไม่ว่างเลยสักคน
ตุ้บ!!
"ขอโทษค่ะ ขอโทษที่เดินไม่ระวังค่ะ"ฉันรีบยกมือขอโทษเมื่อฉันเดินชนผู้ชายคนนึง
"ไม่เป็นไร"
"ขอโทษอีกครั้งนะคะ"ฉันรีบพูดอีกรอบก่อนจะมองหน้าคนที่ยืนอยู่
ทำไมแค่มองหน้าใจฉันมันถึงได้เต้นผิดจังหวะแบบนี้กันล่ะ และไม่ใช่แค่ฉันที่มองหน้าแต่เขาเองก็จ้องหน้าฉันกลับด้วยสีหน้าและแววตาทำไมมันดูอบอุ่นจัง
"ขอตัวนะคะ"ฉันรีบบอกก่อนจะวิ่งออกจากตรงนั้นทันที
บ้าไปแล้ว ทำไมใจฉันยังไม่หยุดเต้นแรงกันล่ะ หรืออาจจะเพราะฉันตื่นเช้าเกินไปมันต้องใช่แหละ ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นสักหน่อยเพราะเราไม่ได้รู้จักกัน
"ฉันเป็นโรคหัวใจแน่ๆ เลย"
เอสเทล"ถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันได้หรือยังเอสเทล"นี่เป็นคำพูดที่ฉันได้ยินเกือบทุกวันตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าฉันยังไม่ตอบรับการขอแต่งงานของพี่คีตะ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอด ฉันเองเรียนจบปริญญาโทและเข้าทำงานที่บริษัทของพี่คีตะเต็มตัวแล้ว"ไม่แต่งค่ะ"ฉันบอกพี่คีตะไป"เหลือหรือรออะไรไม่ทราบ จะเรียนต่ออีกมั้ยล่ะ"พี่คีตะพูดประชดฉัน"ก็คิดอยู่เหมือนกันนะคะ"ฉันบอกพรางยกยิ้มใส่"อยากทำอะไรก็เชิญ"เรื่องความรักของเราสองคนมันดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาจจะเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วย ฉันนั่งมองพี่คีตะที่งอนแบบนี้อยู่ทุกวันจนฉันชินแล้วล่ะ"วันเสาร์นี้ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ยคะ"ฉันเดินมานั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง"ไม่ไป ขี้เกียจ""ถ้าขยันก็ตามไปเจอเอสที่หัวหินนะคะ"ฉันบอกไป"เอสเทลจะให้พี่รอถึงเมื่อไหร่วะ ไม่มั่นใจพี่ตรงไหนบอกมาดิ"พี่คีตะพูดเสียงเบา"เอสมั่นใจในตัวพี่คีตะเสมอค่ะ แต่เอสเคยบอกเหตุผลไปแล้วนะคะ""มั่นใจ"พี่คีตะถามย้ำฉัน"ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่แต่งงานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ"ฉันถามพี่คีตะ"แต่พี่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง""มันไม่ถูก
เอสเทลฉันนิ่งไปพักใหญ่เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่คีตะพูด น้ำเสียงและสายตาของพี่คีตะคือไม่ได้ล้อเล่นเลย"แต่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้"ฉันบอกพี่คีตะไป"ทำไมอ่ะเอส ก็เรารักกัน""เราสองคนพึ่งกลับมาคบกัน ใช่ค่ะพี่คีตะโตขึ้นเอสโตขึ้น และการโตขึ้นมันทำให้เอสต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้"ฉันบอกแล้วยิ้มให้แฟนตัวเอง"ไม่มั่นใจในตัวพี่หรอ""ถ้าเอสไม่มั่นใจเอสคงไม่นอนอยู่แบบนี้ค่ะ แต่การใช้ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะคะ เพราะฉะนั้นเอสจะไม่รีบเร่งกับเรื่องนี้เด็ดขาด"ฉันพูดเสียงดุ"แล้วพี่ทำอะไรได้มั้ยล่ะ"พี่คีตะถามฉัน"ตอนนี้ทั้งกายทั้งใจเอสให้พี่คีตะไปหมดแล้ว และการแต่งงานมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่ค่ะ"ฉันอธิบายแต่ดูเหมือนว่าพี่คีตะจะไม่ยอมเข้าใจเลย"ไม่มีวันที่พี่จะยอมเสียเอสไปอีกแน่"พี่คีตะพูดเสียงดุ"แค่เราเข้าใจกัน ยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่ายได้เอสว่าการแต่งงานมันไม่จำเป็นเลยค่ะ เอสไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ เอสแค่อยากอยู่อยากใช้ชีวิตกับพี่คีตะ เอสว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว"ฉันบอกพี่คีตะไป ความฝันของผู้หญิงส่วนมากคือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต
เอสเทลพี่คีตะโตขึ้นและเปลี่ยนไปเยอะก็จริง แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่พี่คีตะไม่เคยเปลี่ยนเลยคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และจะให้ฉันทำยังไงกับแฟนตัวเองดีล่ะในเมื่อบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้รีบกลับบ้าน"แล้วทำไมเอสต้องไปคอนโดกับพี่คีตะคะ"ฉันถามตามตรง"ก็พี่อยากอยู่กับแฟน""ตอนแรกเอสว่าง แต่ตอนนี้เอสไม่ว่างแล้วค่ะ"ฉันบอกพลางเอามือถือให้ดูเพราะว่ายายของฉันโทรมาฉันรีบรับสายยายพลางมองพี่คีตะที่หน้าเศร้าจนฉันอดยิ้มให้ไม่ได้ ฉันวางสายยายก่อนจะเก็บกระเป๋าเพราะตอนนี้เลิกงานแล้ว"เอสต้องรีบกลับบ้านค่ะ"ฉันบอกไป"เดี๋ยวพี่ไปส่งครับ"พี่คีตะพูดเสียงอ่อยพลางเดินตามหลังฉันออกจากห้อง"ไปกันเอส"องศารีบเข้ามาเกาะแขนฉันไว้"ไม่ได้เว้ย วันนี้พี่จะไปส่งแฟนพี่ ส่วนน้องอย่างองศาก็กลับเองนะครับ"พี่คีตะรีบจับฉันแยกออกจากองศาหลังจากนั้นพี่คีตะก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้าน รู้มั้ยคะว่าคุณชายเขาขับรถเหมือนเต่าคลานเลยอ่ะ แถมยังทำหน้าเศร้าตั้งแต่ออกจากบริษัทด้วย"พรุ่งนี้ก็เจอกันนี่คะ"ฉันบอกไป"ก็คงงั้นแหละ"ฉันส่ายหน้าให้กับแฟนตัวเอง และที่ฉันรีบกลับบ้านเพราะว่าฉันต้องมาช่วยยายจัดกระเป๋า ยายจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดห้าวัน ฉันไม่ได้ซื่อจนไม
เอสเทลตอนนี้ฉันไม่สนว่าใครจะพูดก่อน เพราะความรู้สึกของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย สามปีที่ผ่านมาฉันทำตามที่พี่คีตะขอร้องไว้ทุกอย่างถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมันจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็ตาม "พี่คีตะจะนิ่งอยู่ทำไมคะ ที่เอสขอ พี่คีตะให้เอสได้หรือเปล่า"ฉันถามเสียงดุเพราะพี่คีตะเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันไม่พูดไม่จาฉันยืนยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า พี่คีตะคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าพูดอะไรแบบนี้สินะ สามปีมานี้ฉันเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเพื่อนรักของตัวเองและคนรอบข้าง มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรักหรอกนะแต่มันยังมีเรื่องการใช้ชีวิตเมื่อเจอคนหมู่มากและการรู้จักปฏิเสธคน"เอสคงคิดไปเองคนเดียวสินะคะ"ฉันถามเสียงสั่นเมื่อพี่คีตะเอาแต่นิ่งพรึ่บ"อย่าบอกเลิกพี่อีกนะเอส ไม่เอาแล้วนะเว้ย ฮึก"พี่คีตะเดินเข้ามากอดฉันก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ความกลัวของฉันมันก็ยังมีอยู่แต่ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ฉันขอแค่เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง เพราะการนับหนึ่งใหม่กับใครอีกคนฉันขี้เกียจแล้ว"ขอบคุณนะเอส ขอบคุณที่ยังรอพี่"พี่คีตะพูดเสียงเบา"ถ้าวันนั้นเอสวางสายไปก่อนเราสองคนจะยังกลับมา
สามปีผ่านไปเอสเทล"เอสเดี๋ยววันนี้ตอนห้าโมงเย็นเราฝากไปรับเจ้าขาที่สนามบินด้วยนะ เรามีคุยงานกับลูกค้า"ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสี่แล้วนะ และฉันเองก็กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทของคุณพ่อคุณแม่พี่คีตะ ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่นี่แต่คุณแม่ของพี่คีตะเป็นคนทำเรื่องและฉันเองก็ขัดไม่ได้ และสามปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้เจอหน้าไม่ได้พูดกับพี่คีตะเลย"พี่เจ้าขาพึ่งไปสองวันเองนะ"ฉันรีบบอกจอมพล เพราะพี่เจ้าขาไปคุยงานที่ต่างประเทศและไปตั้งเป็นอาทิตย์ด้วย"งานยกเลิก โทรถามมันได้เอส"จอมพลบอกฉันเสียงดุ"แล้วมีคุยงานอะไรที่นี่ไม่ทราบ"ฉันถามสามปีที่ผ่านมาฉันว่าฉันโตขึ้นมาเลยนะ ฉันขับรถยนต์เป็นแล้วด้วยซึ่งจอมพลเป็นคนสอนให้ ฉันสามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยไม่ต้องรอคนอื่น ฉันว่าฉันเก่งขึ้นมาก"มีคุยงานกับเพื่อนเอสน่ะ แล้วนี่องศาไปไหน"มาหาองศานี่เองฉันกับองศามาฝึกงานที่นี่ส่วนมอสกับตังเมไปฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อของมอสและจอมพลก็ฝึกงานที่บริษัทของครอบครัว"ไปหาลูกค้า"ฉันรีบบอก"หึ...ทำผิดมาน่ะสิถึงได้รีบออกไป"จอมพลกับองศาจนมาถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนรักของฉันสองคนปากแข็งกันทั้งคู่จนฉันไม่รู้จะช่วยใครก่อนด
เอสเทล"จะไปส่งมั้ยเดี๋ยวเราพาไป เพราะกว่าจะขึ้นเครื่องก็สามทุ่ม"จอมพลบอกฉันว่าวันนี้พี่คีตะจะไปต่างประเทศและไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และที่พี่คีตะไปเหตุผลทุกอย่างมันมาจากฉันทั้งหมด ฉันไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เลยนะแต่จะให้ฉันทำยังไง"ไม่ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว"ฉันบอกไปฉันเคารพในการตัดสินใจของพี่คีตะเสมอ ถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามอะไรพี่คีตะด้วย ฉันหวังแค่ว่าพี่คีตะจะคิดอะไรได้มากขึ้นเมื่อเราไกลกัน"พี่คีตะโทรหาหรือเปล่า"จอมพลถามฉัน"ไม่ได้โทร"ฉันพูดเสียงเบา"โอเคนะเอส""เอสต้องโอเคสิ"ฉันรีบบอกไปหลังจากนั้นฉันก็เดินมาทำขนมช่วยยาย เพราะตอนบ่ายองศากับตังเมชวนไปที่ร้านกาแฟ หน้าที่ของฉันตอนนี้คือตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องความรักฉันคงต้องพักยาวเลย รักครั้งแรกมันทำให้ฉันกลัวทุกอย่างไปหมด"ทำไมมองหน้าเอสแบบนั้นล่ะ"ฉันถามจอมพลที่เอาแต่จ้องมองฉัน"อีกนานเลยนะเอส"จอมพลบอกฉัน"แล้วเอสจะเอาอะไรไปห้ามพี่คีตะ เราสองคนเลิกกันแล้วนะจอมพล"ฉันรีบบอกไป"ก็ยังรักเขาไม่ใช่"จอมพลถามแล้วยิ้มให้ฉัน"เวลาเท่านั้นแหละที่จะให้คำตอบเอสได้