คีตะ
ผมยืนมองเด็กผู้หญิงที่ชนผมและกำลังวิ่งไปอีกฝั่งของถนน เสียงของเธอเมื่อกี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่ผมคิดไม่ออก
"มองอะไรลูก"ผมหันไปมองแม่ตัวเองที่เดินเข้ามาถาม
"มีคนวิ่งมาชนตะครับ"ผมบอกไป
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในรถแต่ยังไม่ได้ขยับไปไหนหรอก เพราะผมยังสงสัยเสียงของผู้หญิงคนเมื่อกี้อยู่ ทำไมผมเป็นคนขี้ลืมได้ขนาดนี้กัน
"ใจเต้นแรงไปแล้วคีตะ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก"แม่ผมพูดขึ้น
"เต้นแรงหรอครับ"ใจผมเต้นแรงอย่างที่แม่ผมบอก
"จะทะลุออกมาข้างนอกแล้วลูก"แม่ผมบอกแล้วยิ้มให้
"เพราะตะยังไม่ได้นอนครับคุณน้อยหน่า"ผมรีบบอกไป
"แม่ก็นึกว่าเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นสะอีก"แม่ผมเอ่ยแซว
"ตะจะใจเต้นแรงเพราะเธอได้ยังไงกัน เธอเป็นใครตะก็ยังไม่รู้จักเลย"ผมบอกไป
ผมขับรถกลับบ้านเพราะตอนนี้ผมอยากจะนอนมาก คือไม่น่ารับปากแม่ว่าจะไปวัดด้วยเลย ทันทีที่ผมถึงบ้านผมก็รีบเดินเข้าห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอน
ครืด ครืด
"กูจะนอนไอ้จอมพล"ผมตะคอกใส่ปลายสาย
(แค่จะถามว่าจะกินอีกมั้ยขนม จะเอาไปฝาก)
ผมดีดตัวขึ้นมานั่งเมื่อเป็นไอ้จอมพลที่โทรมาแต่สิ่งที่ผมสนใจคือคำถามที่มันถามผม ผมล่ะอยากเห็นหน้าคนที่มันตามจีบอยู่จริงๆ
(จะเอาหรือไม่เอา)
"สุดแล้วแต่มึงเลยจอมพล แค่นี้นะกูจะนอน"
(อยากเห็นหน้าคนทำมั้ยจะส่งให้ดู)
"กูจะนอน"
ผมตัดสายไอ้จอมพลก่อนจะทิ้งตัวลงนอน คือแม่งมันแค่อยากจะกวนผมไงเรื่องของเรื่อง แล้วยังไงทีนี้คือกูนอนไม่หลับแล้วไอ้จอมพลไอ้น้องเวร
"ไหนบอกจะไปนอน แล้วลงมาทำไม"พ่อผมถาม
"ตอนแรกก็จะนอนครับ แต่ตอนนี้นอนไม่หลับแล้ว"ผมบอกก่อนจะมานั่งที่โซฟา
ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูและไอ้เวรที่บอกว่าจะส่งรูปให้ผมดูจนถึงตอนนี้มันยังไม่ส่งมาเลยสักรูป ถ้าเจอกันอีกทีผมสัญญาเลยว่าผมจะฆ่ามันโดยไม่ต้องคิด
ติ้ง!!
"คุณยายคนนั้น"ผมดูรูปที่ไอ้จอมพลส่งมามันเป็นรูปของคุณยายคนเมื่อเช้า แต่ผู้หญิงอีกคนไอ้เวรนี่มันเบลอ
"ไปนอนสะคีตะ"พ่อผมพูดเสียงดุ
"ไปข้างนอกนะครับ"
ผมบอกก่อนจะเดินออกจากบ้านในเมื่อนอนไม่หลับและอยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรผมก็เลยเลือกที่จะออกมาข้างนอกเพื่อนแม่งก็ไม่ว่างสักคน ส่วนไอ้คนที่ว่างแม่งก็ไปเฝ้าแต่ผู้หญิง
"สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ"
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ร้านกาแฟเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน และผมไม่ชอบสถานที่ที่คนเยอะมันรู้สึกอึดอัด
"อเมริกาโน่เย็นแก้วนึงครับ"
"สักครู่นะคะ"
ผมเดินขึ้นมานั่งชั้นสองของร้านเพราะคนไม่ค่อนขึ้นมานั่งกัน ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะเลื่อนไปเจอรูปภาพที่ไอ้จอมพลส่งมาให้ผม คุณยายคนนั้นเป็นคนทำขนมอย่างนั้นหรอ แล้วผู้หญิงอีกคนก็คงจะเป็นคนที่ไอ้จอมพลชอบเพราะถ้าไม่ชอบมันจะไม่มีทางเบลอภาพแน่
เอสเทล
"ทิ้งองศาไว้แบบนั้นระวังจะโดนเอาคืนนะ"
ฉันกำลังนั่งคุยกับจอมพลอยู่ เพราะจอมพลพาองศาไปทำธุระแต่ดันปล่อยองศาไว้แล้วมานั่งกินขนมอยู่บ้านฉันเนี่ย องศายิ่งไม่ยอมคนอยู่ด้วยไง
"เดี๋ยวค่อยกลับไปรับอีก ตั้งสองชั่วโมงเลยนะเอส"
"งั้นเอสขอติดรถไปด้วยได้มั้ย เอสจะไปซื้อของ"
วันนี้ฉันว่างเพราะหลังจากที่ช่วยยายทำขนมเสร็จแล้วฉันก็เลยขอยายไปซื้อของ วันนี้ยายทำขนมของโปรดให้ฉันอีกแล้วเยอะสะฉันกินคนเดียวไม่หมดแน่
"เอสขอติดรถไปด้วยได้มั้ยอ่ะ เอสจะไปซื้อของ"ฉันถามย้ำจอมพลที่นั่งเล่นมือถืออยู่
"จะไปไหนคนเดียวเอส"
"ไปซื้อของ เดี๋ยวเอสกลับเอง"ฉันรีบบอกไป
"ขนมนี่แบ่งได้มั้ยเอส ถ้าเอสไม่หวงเราขอไปฝากพี่หน่อย"จอมพลถามฉันแล้วชี้ไปที่ขนม
"เอสเคยหวงของกินกับจอมพลด้วยหรอ ถึงไม่ถามเอสก็แบ่งให้อยู่แล้ว"
หลังจากนั้นจอมพลก็พาฉันมาส่งที่ร้านกาแฟซึ่งมันเป็นร้านที่ฉันมานั่งเป็นประจำที่ฉันชอบมานั่งกับเพื่อน และฉันก็สนิทกับพี่เจ้าของร้านด้วย
"สวัสดีค่ะพี่เอิน"ฉันเดินเข้ามาก่อนจะกล่าวทักทายพี่เอิน
"ว่างสินะถึงได้มีเวลามาหาพี่"ฉันรีบเดินเข้ามากอดพี่เอินทันที เพราะช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้มาหาพี่เขาบ่อย
"ขนมแทนคำขอโทษค่ะ เดี๋ยววันนี้น้องสาวคนนี้จะช่วยพี่เอินเอง"ฉันบอกไป
"แล้วใครมาส่งพี่เห็นเดินลงจากรถ"
"เพื่อนค่ะ พี่เอินก็เคยเจอแล้วนะ"ฉันรีบบอกไป
"เราน่ะเพื่อน แล้วได้ถามเขาหรือเปล่าว่าเขาอยากเป็นแค่เพื่อนหรือมากกว่านั้น"พี่เอินถามพรางมองฉันอย่างจับผิด
"เพื่อนกันค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"ฉันรีบบอกไป
ฉันกับจอมพลสนิทกันจะตายแล้วอีกอย่างจอมพลไม่ได้มีท่าทีว่าจะจีบฉันเลยนะ เจอกันก็คุยกันปกติและที่สำคัญฉันว่าเป็นเพื่อนกันมันก็ดีที่สุดแล้ว
"เอาขนมขึ้นไปให้ลูกค้าชั้นสองนะ ถ้าลูกค้าถามก็บอกเขาไปว่าวันนี้ที่ร้านให้กินฟรี"พี่เอินบอกพรางจัดขนมใส่จาน
"แล้วถ้าเขาไม่ชอบขนมไทยของเอสล่ะพี่เอิน"ฉันถาม
"ลูกค้าที่นี่ชอบขนมของเอสกันหมดแหละ"
ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นมาชั้นสองของร้าน ปกติไม่ค่อยมีลูกค้าขึ้นมาหรอกนะฉันมองหาลูกค้าก่อนจะสะดุดกับผู้ชายที่นั่งอยู่มุมในสุดของร้าน ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าเขาจัง
"พี่เอินให้เอาขนมมาให้ ไม่คิดเงินค่ะ"ฉันวางจานขนมก่อนที่ลูกค้าจะช้อนตามองฉัน
"ขอบคุณครับ"
ฉันเคยเจอเขาที่ไหนกันนะทั้งหน้าตาและน้ำเสียงฉันถึงได้คุ้นเคยจัง ฉันยืนจ้องหน้าเขาก็รู้ว่ามันเสียมารยาทแต่จะให้ฉันทำยังไงล่ะก็มันสงสัยไง ทำไมฉันถึงได้ขี้ลืมแบบนี้กันนะ
"ผมหล่อสินะครับถึงได้จ้องหน้าผมขนาดนี้"
"เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ยคะ"ฉันถาม
"คงเจอในฝันมั้งครับ"
เอสเทล"ถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันได้หรือยังเอสเทล"นี่เป็นคำพูดที่ฉันได้ยินเกือบทุกวันตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าฉันยังไม่ตอบรับการขอแต่งงานของพี่คีตะ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอด ฉันเองเรียนจบปริญญาโทและเข้าทำงานที่บริษัทของพี่คีตะเต็มตัวแล้ว"ไม่แต่งค่ะ"ฉันบอกพี่คีตะไป"เหลือหรือรออะไรไม่ทราบ จะเรียนต่ออีกมั้ยล่ะ"พี่คีตะพูดประชดฉัน"ก็คิดอยู่เหมือนกันนะคะ"ฉันบอกพรางยกยิ้มใส่"อยากทำอะไรก็เชิญ"เรื่องความรักของเราสองคนมันดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาจจะเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วย ฉันนั่งมองพี่คีตะที่งอนแบบนี้อยู่ทุกวันจนฉันชินแล้วล่ะ"วันเสาร์นี้ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ยคะ"ฉันเดินมานั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง"ไม่ไป ขี้เกียจ""ถ้าขยันก็ตามไปเจอเอสที่หัวหินนะคะ"ฉันบอกไป"เอสเทลจะให้พี่รอถึงเมื่อไหร่วะ ไม่มั่นใจพี่ตรงไหนบอกมาดิ"พี่คีตะพูดเสียงเบา"เอสมั่นใจในตัวพี่คีตะเสมอค่ะ แต่เอสเคยบอกเหตุผลไปแล้วนะคะ""มั่นใจ"พี่คีตะถามย้ำฉัน"ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่แต่งงานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ"ฉันถามพี่คีตะ"แต่พี่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง""มันไม่ถูก
เอสเทลฉันนิ่งไปพักใหญ่เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่คีตะพูด น้ำเสียงและสายตาของพี่คีตะคือไม่ได้ล้อเล่นเลย"แต่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้"ฉันบอกพี่คีตะไป"ทำไมอ่ะเอส ก็เรารักกัน""เราสองคนพึ่งกลับมาคบกัน ใช่ค่ะพี่คีตะโตขึ้นเอสโตขึ้น และการโตขึ้นมันทำให้เอสต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้"ฉันบอกแล้วยิ้มให้แฟนตัวเอง"ไม่มั่นใจในตัวพี่หรอ""ถ้าเอสไม่มั่นใจเอสคงไม่นอนอยู่แบบนี้ค่ะ แต่การใช้ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะคะ เพราะฉะนั้นเอสจะไม่รีบเร่งกับเรื่องนี้เด็ดขาด"ฉันพูดเสียงดุ"แล้วพี่ทำอะไรได้มั้ยล่ะ"พี่คีตะถามฉัน"ตอนนี้ทั้งกายทั้งใจเอสให้พี่คีตะไปหมดแล้ว และการแต่งงานมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่ค่ะ"ฉันอธิบายแต่ดูเหมือนว่าพี่คีตะจะไม่ยอมเข้าใจเลย"ไม่มีวันที่พี่จะยอมเสียเอสไปอีกแน่"พี่คีตะพูดเสียงดุ"แค่เราเข้าใจกัน ยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่ายได้เอสว่าการแต่งงานมันไม่จำเป็นเลยค่ะ เอสไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ เอสแค่อยากอยู่อยากใช้ชีวิตกับพี่คีตะ เอสว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว"ฉันบอกพี่คีตะไป ความฝันของผู้หญิงส่วนมากคือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต
เอสเทลพี่คีตะโตขึ้นและเปลี่ยนไปเยอะก็จริง แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่พี่คีตะไม่เคยเปลี่ยนเลยคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และจะให้ฉันทำยังไงกับแฟนตัวเองดีล่ะในเมื่อบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้รีบกลับบ้าน"แล้วทำไมเอสต้องไปคอนโดกับพี่คีตะคะ"ฉันถามตามตรง"ก็พี่อยากอยู่กับแฟน""ตอนแรกเอสว่าง แต่ตอนนี้เอสไม่ว่างแล้วค่ะ"ฉันบอกพลางเอามือถือให้ดูเพราะว่ายายของฉันโทรมาฉันรีบรับสายยายพลางมองพี่คีตะที่หน้าเศร้าจนฉันอดยิ้มให้ไม่ได้ ฉันวางสายยายก่อนจะเก็บกระเป๋าเพราะตอนนี้เลิกงานแล้ว"เอสต้องรีบกลับบ้านค่ะ"ฉันบอกไป"เดี๋ยวพี่ไปส่งครับ"พี่คีตะพูดเสียงอ่อยพลางเดินตามหลังฉันออกจากห้อง"ไปกันเอส"องศารีบเข้ามาเกาะแขนฉันไว้"ไม่ได้เว้ย วันนี้พี่จะไปส่งแฟนพี่ ส่วนน้องอย่างองศาก็กลับเองนะครับ"พี่คีตะรีบจับฉันแยกออกจากองศาหลังจากนั้นพี่คีตะก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้าน รู้มั้ยคะว่าคุณชายเขาขับรถเหมือนเต่าคลานเลยอ่ะ แถมยังทำหน้าเศร้าตั้งแต่ออกจากบริษัทด้วย"พรุ่งนี้ก็เจอกันนี่คะ"ฉันบอกไป"ก็คงงั้นแหละ"ฉันส่ายหน้าให้กับแฟนตัวเอง และที่ฉันรีบกลับบ้านเพราะว่าฉันต้องมาช่วยยายจัดกระเป๋า ยายจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดห้าวัน ฉันไม่ได้ซื่อจนไม
เอสเทลตอนนี้ฉันไม่สนว่าใครจะพูดก่อน เพราะความรู้สึกของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย สามปีที่ผ่านมาฉันทำตามที่พี่คีตะขอร้องไว้ทุกอย่างถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมันจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็ตาม "พี่คีตะจะนิ่งอยู่ทำไมคะ ที่เอสขอ พี่คีตะให้เอสได้หรือเปล่า"ฉันถามเสียงดุเพราะพี่คีตะเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันไม่พูดไม่จาฉันยืนยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า พี่คีตะคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าพูดอะไรแบบนี้สินะ สามปีมานี้ฉันเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเพื่อนรักของตัวเองและคนรอบข้าง มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรักหรอกนะแต่มันยังมีเรื่องการใช้ชีวิตเมื่อเจอคนหมู่มากและการรู้จักปฏิเสธคน"เอสคงคิดไปเองคนเดียวสินะคะ"ฉันถามเสียงสั่นเมื่อพี่คีตะเอาแต่นิ่งพรึ่บ"อย่าบอกเลิกพี่อีกนะเอส ไม่เอาแล้วนะเว้ย ฮึก"พี่คีตะเดินเข้ามากอดฉันก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ความกลัวของฉันมันก็ยังมีอยู่แต่ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ฉันขอแค่เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง เพราะการนับหนึ่งใหม่กับใครอีกคนฉันขี้เกียจแล้ว"ขอบคุณนะเอส ขอบคุณที่ยังรอพี่"พี่คีตะพูดเสียงเบา"ถ้าวันนั้นเอสวางสายไปก่อนเราสองคนจะยังกลับมา
สามปีผ่านไปเอสเทล"เอสเดี๋ยววันนี้ตอนห้าโมงเย็นเราฝากไปรับเจ้าขาที่สนามบินด้วยนะ เรามีคุยงานกับลูกค้า"ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสี่แล้วนะ และฉันเองก็กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทของคุณพ่อคุณแม่พี่คีตะ ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่นี่แต่คุณแม่ของพี่คีตะเป็นคนทำเรื่องและฉันเองก็ขัดไม่ได้ และสามปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้เจอหน้าไม่ได้พูดกับพี่คีตะเลย"พี่เจ้าขาพึ่งไปสองวันเองนะ"ฉันรีบบอกจอมพล เพราะพี่เจ้าขาไปคุยงานที่ต่างประเทศและไปตั้งเป็นอาทิตย์ด้วย"งานยกเลิก โทรถามมันได้เอส"จอมพลบอกฉันเสียงดุ"แล้วมีคุยงานอะไรที่นี่ไม่ทราบ"ฉันถามสามปีที่ผ่านมาฉันว่าฉันโตขึ้นมาเลยนะ ฉันขับรถยนต์เป็นแล้วด้วยซึ่งจอมพลเป็นคนสอนให้ ฉันสามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยไม่ต้องรอคนอื่น ฉันว่าฉันเก่งขึ้นมาก"มีคุยงานกับเพื่อนเอสน่ะ แล้วนี่องศาไปไหน"มาหาองศานี่เองฉันกับองศามาฝึกงานที่นี่ส่วนมอสกับตังเมไปฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อของมอสและจอมพลก็ฝึกงานที่บริษัทของครอบครัว"ไปหาลูกค้า"ฉันรีบบอก"หึ...ทำผิดมาน่ะสิถึงได้รีบออกไป"จอมพลกับองศาจนมาถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนรักของฉันสองคนปากแข็งกันทั้งคู่จนฉันไม่รู้จะช่วยใครก่อนด
เอสเทล"จะไปส่งมั้ยเดี๋ยวเราพาไป เพราะกว่าจะขึ้นเครื่องก็สามทุ่ม"จอมพลบอกฉันว่าวันนี้พี่คีตะจะไปต่างประเทศและไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และที่พี่คีตะไปเหตุผลทุกอย่างมันมาจากฉันทั้งหมด ฉันไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เลยนะแต่จะให้ฉันทำยังไง"ไม่ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว"ฉันบอกไปฉันเคารพในการตัดสินใจของพี่คีตะเสมอ ถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามอะไรพี่คีตะด้วย ฉันหวังแค่ว่าพี่คีตะจะคิดอะไรได้มากขึ้นเมื่อเราไกลกัน"พี่คีตะโทรหาหรือเปล่า"จอมพลถามฉัน"ไม่ได้โทร"ฉันพูดเสียงเบา"โอเคนะเอส""เอสต้องโอเคสิ"ฉันรีบบอกไปหลังจากนั้นฉันก็เดินมาทำขนมช่วยยาย เพราะตอนบ่ายองศากับตังเมชวนไปที่ร้านกาแฟ หน้าที่ของฉันตอนนี้คือตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องความรักฉันคงต้องพักยาวเลย รักครั้งแรกมันทำให้ฉันกลัวทุกอย่างไปหมด"ทำไมมองหน้าเอสแบบนั้นล่ะ"ฉันถามจอมพลที่เอาแต่จ้องมองฉัน"อีกนานเลยนะเอส"จอมพลบอกฉัน"แล้วเอสจะเอาอะไรไปห้ามพี่คีตะ เราสองคนเลิกกันแล้วนะจอมพล"ฉันรีบบอกไป"ก็ยังรักเขาไม่ใช่"จอมพลถามแล้วยิ้มให้ฉัน"เวลาเท่านั้นแหละที่จะให้คำตอบเอสได้