ฮูหยินสายรองทั้งสาม ต่างเบนหน้าไปทางอื่น ด้วยคำพูดนั้นของหญิงสาว แม้จะไม่เอ่ยถึงใคร แต่ความหมายนั้นยิ่งกว่าเอามีดมากรีดกลางใจ ใช่ว่าพวกนางไม่อยากมีทางเลือก แต่เพราะพวกนางนั้นมิรู้ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร หากต้องออกจากบ้านสามี เพื่อไปเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพัง
“พี่หญิงไป่หลิง ช่างรู้จักการพูด เพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นมาได้มากทีเดียวนะเจ้าคะ”
“สตรีที่รู้คุณค่าของตนเอง ย่อมรู้จุดยืนและเป้าหมาย จะสตรีหม้ายหรือยังอยู่ร่วมกับสามี ก็ต้องรู้จักการทำมาหากิน มิเช่นนั้นสักวันที่ไร้ปีกของคนเลี้ยงดูคุ้มภัย จะอยู่บนโลกใบนี้ลำบากเอาได้ และข้าต้องขออภัยทุกท่าน ที่มิอาจแจกแจงเรื่องของครอบครัวให้คนนอกรู้ได้ เพราะข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องภายใน ไม่ควรนำออกมาป่าวประกาศ และข้าไม่คิดจะเก็บเรื่องไร้สาระภายนอกเข้าบ้านเช่นกันเจ้าค่ะ”
คำพูดโดยรวมที่ไม่เจาะจงว่าเป็นคำตอบ ทำให้ชูเยี่ยนถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว ส่วนจ้าวฮูหยินนั้นยิ้มไม่หุบ เมื่อว่าที่สะใภ้พูดได้ถูกใจนางนัก ด้วยตัวนางคือสะใภ้สกุลจ้าว จะเอ่ยสิ่งใดย่อมต้องคิดให้มาก
“เราเข้าบ้านกันเถอะนะ”
จ้าวฮูหยินพูดกับว่าที่สะใภ้ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะประคองหญิงเดินหายเข้าไปในจวน โดยไม่คิดสนใจแขกที่นางมิได้เชื้อเชิญ คิดเองว่าจะเข้าจวนหรือกลับไป จะว่านางเสียมารยาทก็ตามแต่ใจคิด เพราะวันนี้นางมิได้เชื้อเชิญใครมาเป็นแขก ที่ยืนอยู่ล้วนมาเองทั้งสิ้น
“หากท่านอา และทุกคนยังอยากเข้าไปด้านใน ข้าขอรบกวนให้ช่วยระวังคำพูดกันด้วย เพราะในบ้านเป็นสิทธิ์ของฮูหยินที่ดูแลขอรับ”
เอ่ยจบร่างสูงของท่านมหาอำมาตย์ ได้ก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้จะเบื่อหน่ายกับเรื่องใดก่อนดี สกุลสายรองอยากที่จะแสดงตนให้เขานับถือ แต่ทุกคำพูดล้วนสิ้นคิดยิ่งนัก เห็นทีคงต้องปล่อยให้ได้รับบทเรียนเสียบ้าง
ท่านมหาอำมาตย์หัวเราะอยู่ภายในใจ เมื่อเขาตั้งใจที่จะไม่บอกถึงฐานะและกิจการของว่าที่สะใภ้ ปล่อยให้หยวนไป่หลิงเหลืออด แล้วตัดเส้นทางการค้าอันรุ่งริ่งของญาติผู้น้องของเขาให้ขาดสะบั้นไปเสียเลย เผื่อสกุลสายรองจะรู้จักสงบคำลงบ้าง
ชูเยี่ยนก้าวตามทุกคนเข้าไปภายในจวน แม้ว่าใจของนางในตอนนี้คิดอยากจะหันหลังกลับยิ่งนัก นี่เพียงแค่เริ่มต้นนางยังกลายเป็นตัวตลกในสายตาของใครหลายคน ถึงแม้ไม่มีผู้ใดหัวเราะออกมา แต่แววตาที่นางเห็นนั้น ล้วนกำลังมองนางเช่นนั้นทั้งสิ้น
แต่เพราะนางมีสิ่งที่ต้องทำ จึงเลือกที่จะก้าวตามทุกคนเข้าไปในจวน อีกส่วนหนึ่งคือนางเอง ก็อยากรู้นักว่าสตรีบ้านนอกชั้นต่ำ มีสิ่งใดมาเทียบเคียงนางที่เป็นบุตรสาวเสนาบดีได้
‘ผยองให้พอ ข้าจะเหยียบเจ้าให้จมดิน เมื่อถึงวันที่ข้าก้าวสู่อำนาจเหนือสตรีทั้งแผ่นดิน’
หญิงสาวยกยิ้มอย่างมีความนัย มีใครบ้างในเมืองหลวงที่ไม่รู้ ว่าแม่ทัพจ้าวลู่เชียนหวังให้นางรับไมตรีของเขาในฐานะคนรัก มิใช่เพียงสหายรู้จัก แค่นางตอบรับไมตรีของเขา จ้าวลู่เชียนก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อกำจัดหยวนไป่หลิงให้พ้นทาง เห็นทีไมตรีนี้นางต้องรับพิจารณาบ้างแล้ว แค่เพียงความสาแก่ใจชั่วคราวเท่านั้น ก็นับว่านางเมตตาคนเยี่ยงจ้าวลู่เชียนแล้ว
เรือนลู่เชียน
“ท่านแม่ทัพ!”
บ่าวคนสนิทรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหาผู้เป็นนาย ที่กำลังนั่งดูตำราสงครามอยู่ในห้องหนังสือ
“มีเรื่องอันใด!”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเสียงกร้าว โดยที่ยังไม่ละสายตาจากตำราในมือ
“นางมาถึงแล้วขอรับ ว่าที่ฮูหยินน้อย คุณหนูชูก็มาด้วยขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มเงยหน้ามองไปที่คนสนิท ก่อนร่างสูงรีบลุกขึ้นก้าวออกจากเรือนไปในทันที เมื่อได้ยินว่าใครอีกคนก็มาด้วย แม้ว่าหญิงสาวจะยังไม่ได้เอ่ยตอบรับไมตรีจากเขา แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังหวังว่าสักวันนางจะมาเคียงข้างเขาไปจนแก่เฒ่า
ใจของนางจะบอบช้ำเพียงใด เมื่อต้องมาพบเจอกับคู่หมั้นที่เขาไม่เต็มใจรับ โดยที่เขายังมิทันได้บอกกล่าวแก่นางไว้ล่วงหน้า ร่างสูงก้าวเข้าไปภายในห้องรับแขก ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังทุกคน แม่ทัพหนุ่มถึงกับคิ้วขมวดชิดกัน เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เขาไม่รู้จัก
“ท่านพี่ลู่เชียน”
เป็นชูเยี่ยนที่เอ่ยทักแม่ทัพหนุ่ม ทำให้จ้าวฮูหยินเบนสายตามองไปยังหญิงสาวในทันที ชูเยี่ยนยืดกายเชิดหน้า แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาของจ้าวฮูหยิน
หยวนไป่หลิงแสร้งยกน้ำชาขึ้นดื่ม ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี มีเรื่องให้ได้ดูมากมายกว่าที่นางคาดคิด
“ลู่เชียนเจ้ามาแล้ว ก็ดี!”
เป็นนายท่านสกุลสายรองที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะสายตาตวัดมองไปยังหยวนไป่หลิง ยิ่งเห็นท่าทางมิรู้ร้อนรู้หนาวของหญิงสาว ชายชราแทบอยากจะสั่งสอนให้นางรู้ที่ต่ำที่สูงเสียในตอนนี้
“ลู่เชียนคารวะท่านปู่รอง ท่านย่าทั้งสาม น้องชูเยี่ยน”
แม่ทัพหนุ่มคลี่ยิ้มละมุนให้แก่หญิงสาว โดยลืมไปว่าเขายังมิได้เอ่ยทักทายคนที่ยังเหลืออยู่ภายในห้อง
“พ่อแม่เจ้าคงเป็นเพียงตอไม้กระมัง จึงไม่คิดจะเอ่ยทักทาย”
จ้าวฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมิติดตลก แต่ประชดแกมด่าไปในตัว แค่คนที่นางมิได้เชื้อเชิญมาเยือนว่าทำให้ขุ่นเคืองมากแล้ว นี่เจ้าลูกตัวดียังไม่คิดที่จะไว้หน้าพ่อแม่อีก มันน่าโมโหนัก!
“ข้าย่อมต้องไม่ลืมท่านพ่อท่านแม่อยู่แล้วขอรับ”
“พ่อแม่ของเจ้ากำลังทำให้สกุลจ้าวของเราเสื่อมเสีย เจ้าต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องรู้หรือไม่ลู่เชียน”
จ้าวลู่เชียนลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อต้องเผชิญกับญาติฝั่งบิดา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายชราต้องการสิ่งใด
“ท่านปู่โปรดใจเย็นก่อนดีนะขอรับ”
“ใจเย็นเช่นนั้นรึ! เจ้าคิดที่จะยอมให้พ่อแม่ พาสตรีชั้นต่ำเข้าสกุลจ้าวของเราอย่างนั้นรึ! เจ้ารู้ไหมว่านางคือบุตรสาวหญิงหม้าย หากผู้คนภายนอกรู้ว่าเรารับนางมาเป็นสะใภ้สกุลสายหลัก เจ้าคิดว่าสายเลือดที่ต้องถือกำเนิดมาจะแปดเปื้อนแค่ไหน ให้นางเป็นเพียงอนุเท่านั้นดีที่สุด นี่นับว่าเมตตามากแล้ว”
“อะแฮ่ม!”
หยวนไป่หลิงกระแอมไอเล็กน้อย เพื่อที่จะหาช่องว่างให้นางได้พูดบ้าง นางมิได้อยากแต่งงานขนาดนั้น แต่การที่จะมานั่งให้คนพาดพิงถึงมารดาอยู่มิหยุดหย่อน เห็นทีชายชราผู้นี้คงต้องได้ลิ้มรสความรู้สึกไม่เหลือสิ่งใดเลยสักหน่อยคงจะดี
“เหนื่อยหรือไม่ลูกรัก”หยวนไป่หลีเดินเข้ามาหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้างามของมารดามิเคยจืดจางรอยยิ้มเลย แม้ในยามที่เหน็ดเหนื่อย สองพี่น้องเดินเข้าโอบประคองผู้เป็นแม่คนละข้าง“แค่ท่านแม่มีความสุข แค่นี้นับว่าน้อยมากเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิง ซบใบหน้าลงกับไหล่ของมารดาด้วยความรักใคร่ หยวนไป่หลียกมือขึ้นวางบนแก้มของบุตรสาวทั้งสอง“เจ้าสองพี่น้องล้วนคือความสุขของแม่ รวมถึงเจ้าตัวเล็กของแม่ทุกคนด้วย”หยวนไป่หลีมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะมีวันนี้นางสามแม่ลูก ล้วนผ่านการเสียน้ำตากันมาไม่น้อยเลย“ข้ารักท่านแม่เจ้าค่ะ”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน หากวันนั้นที่บิดาทอดทิ้ง มารดามิคิดถึงพวกนางที่อยู่ในท้อง ป่านนี้คงไร้ลมหายใจตั้งแต่มิทันลืมตาดูโลก“ท่านแม่ต้องกลับชายแดนเหนือกับข้านะเจ้าคะ คู่แฝดนั่นกำลังซุกซนนัก บิดาพวกนางล้วนมิเคยขัดใจลูกสักครั้ง”หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เพราะพี่สาวที่ใกล้คลอดมีแม่สามีอยู่เคียงข้างแล้ว แต่นางที่ต้องออกทำหน้าที่รักษาชายแดน ย่อมไม่มีเวลาที่จะดูแลคู่แฝดได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยให้สามีของนางเลี้ยงลูกลำพัง เห็นที่จะไร้ความเป็นสตรีอ
เป็นคำอวยพรของสหายทั้งหลาย ก่อนจะผลักร่างเมามายของเจ้าบ่าวเข้าภายในห้อง พร้อมปิดประตูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากประตูปิดลงร่างสูงพลันยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม สุราแค่นี้หรือจะทำอันใดเขาได้ แม่ทัพหนุ่มหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างภรรยา ก่อนจะค่อย ๆ เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก รอยยิ้มละมุนคือสิ่งที่เขาปรารถนาได้เห็นมันมาตลอดทั้งวัน “หิวหรือไม่!” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นเราไปกินข้าวกัน” แม่ทัพหนุ่มประคองภรรยาให้เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่มีการจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอท่าแล้ว โดยมีเตาอุ่นสำหรับทำให้อาหารยังคงความร้อน คู่สามีภรรยาต่างสบตากัน เมื่อสุรามงคลได้ถูกแลกเปลี่ยนแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากเมื่อแรกพบหน้า เรื่องราวที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย “จะอยู่ตรงนี้กันทั้งคืนเลยรึ! ดึกแล้วมิรู้จักกลับบ้านไปหลับนอน” แม่ทัพสาวเอ่ยถามสหาย ที่พากันแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้หน้าห้องหอ เสียงของนางไม่ได้เบาเลยสักนิด ป่านนี้คนด้านในคงได้ยินกันหมดแล้ว
สองวันถัดมาการเดินทางของคนจากชายแดน ได้แยกเป็นสองคณะ ซึ่งแขกคนสำคัญล้วนอยู่ในขบวนสินค้าจากชายแดน ส่วนในคณะจะเป็นคนของมวลเมฆา ที่ปลอมตัวเป็นคณะของแขกต่างแคว้น การเดินทางทั้งสองคณะนั้นจะแยกไปคนละเส้นทาง และจากสาสน์ลับที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคณะต่างเร่งเดินทางชนิดที่เรียกได้ว่ามิได้หลับนอนกันเลยทีเดียว เพราะหากล่าช้า อาจเกิดการสูญเสียที่ยากจะกู้คืนมาได้ หยวนไป่หลิงพยายามป้อนยาให้แก่จ้าวลู่เชียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาอาการไข้ของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผลคงมาจากความมั่นใจ ว่าตนเองทนไหวต่อการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนมันลุกลามเป็นหนักขึ้น “กินยาสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเราอาจต้องทิ้งท่านไว้ระหว่างทาง” หมับ! แม่ทัพหนุ่มรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะพยายามลืมตามองใบหน้าของสตรีใจร้าย ที่คิดจะทิ้งเขาเอาไว้กลางทาง นางช่างไม่มีหัวใจเอาเสียเลย “เจ้ากล้ารึ!” “ท่านเคยเห็นข้าขู่ใครหรือไม่เล่า” “แต่มันขม!” หยวนไป่หลิงได้แต่อมยิ้ม เมื่อคนตัวโตแสร้งเว้าวอนราวเด็กสิบขว
“โหวปู้หยา ข้ารู้จักเจ้าและอำนาจที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามันได้เป็นอย่างดี แค่ความคิดที่เจ้าจะแตะต้องเขา ข้าก็พร้อมที่จะปลิดลมหายใจเจ้าอย่างไม่คิดที่จะลังเล”หยวนไป่หลิงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน โหวปู้หยาขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว คนที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ‘เชียวอิง’อึก! หยวนไป่หลิงดันดาบในมือจนมิดด้าม มือบางอีกข้างที่ลูบยังลำคอของชินอ๋อง มันทำให้เขารู้สึกราวแมวข่วนเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างในครรลองสายตาจะพร่าเลือน“ตอนท่านสังหารสามีข้า แม้ความปราณีสักนิดก็ไม่มี การที่ข้าทำเยี่ยงนี้ใช่เมตตาต่อท่าน แต่ข้ามิอยากให้ลูกของข้าเห็นภาพที่ไม่ชวนมอง”หยวนไป่หลิงเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหมุนกายเดินกลับไปหาจ้าวลู่เชียน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มเองก็รีบถลามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกแล้วจับร่างงามหมุนไปมา เพื่อดูให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก่อนจะรวบกอดหญิงสาวอีกครั้ง“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ พวกท่านทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาข้าเป็นถึงโอรสฮ่องเต้นะ”ท่านหญิงโหวถลาเข้าสวมกอดร่างอ่อนแรงของบิดา ที่ตอนนี้มีลมหายใจเหลือเ
“หากเจ้ายังคิดขวางทางข้า เกิดอะไรขึ้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน” “เช่นนั้นรึ!” หยวนไป่หลิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเปิดทาง ในเมื่อวันนี้มาถึงนางก็จะจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม่ทัพหนุ่มคิดที่จะห้ามปราม ทว่าท่านชายลั่วกลับรั้งเขาเอาไว้ แววตาเชื่อมั่นของผู้เป็นนาย ที่มีต่อคู่หมั้นของเขา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นอยู่ในใจ เกรงว่าคู่แข่งทางหัวใจจะมาเหนือความคาดหมาย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอาไว้จบเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ลั่วหยางเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ ตอนที่ไม่เคยรักใคร่ ปากก็มีแต่จะถอนหมั้น แต่มาดูตอนนี้สิน่า! แทบจะสิงร่างของหยวนไป่หลิงแล้ว ทุกคนเดินออกมายืนอยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าเรือน เพื่อดูการต่อสู้ระหว่างฮูหยินแม่ทัพแคว้นเยี่ย กับอดีตองค์รัชทายาทจากแคว้นฉู่ หยวนไป่หลิงส่งสัญญาณให้อู่หรง นำอาวุธมามอบแก่โหวปู้หยา “จ้าวฮูหยิน เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนชำระความเองได้หรือไม่” เว่ยหลงก้าวเข้ามาเอ่ยขอต่อหญิงสาว “บิดาเจ้ายังตายใต้คมดาบของข้า เจ้าจะ...อ๊ะ!” ปลายกระบี
เสียงของบิดาที่ก้าวผ่าน ทำให้คนที่นอนน้ำตานองหน้า อยากที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แม้จะมิเสียกายแต่เมื่อใครมาเห็นนางในสภาพนี้ ชื่อเสียงของนางย่อมป่นปี้จะมีบุรุษสูงศักดิ์ใดเล่าจะต้องการนางอีก เกิดมามิเคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน หญิงสาวทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ ด้วยความบอบช้ำจนยากจะเยียวยาภายในห้องนอนแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น ทั้งคู่ต่างนั่งจ้องตากัน คล้ายกับว่าใครหลบสายตาก่อน ผู้นั้นพ่ายแพ้ในทันที“ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเจ้าคะ”“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าหมางใจ”หยวนไป่หลิงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าภายในใจของนางกำลังขำขัน เรื่องที่นางลงมือต่อท่านชายจากฉู่ คงทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วกระมัง“ที่ข้าทำเช่นนั้น เพื่อตัดทุกวงจรความมิรู้พอของเขา หากเขายังมีมันอยู่ มิแคล้ววนเวียนทำร้ายสตรีไปทั่ว โดยมิสนลูกใครเมียใครเจ้าค่ะ”“ข้าไม่คิดที่จะใช้มันพร่ำเพรื่อกับผู้ใด นอกจากภรรยา”แม่ทัพหนุ่มยังคงไม่วายกังวล เกรงว่าตนเองอาจเป็นรายต่อไป หากมีสตรีใดเข้าใกล้เขา เช่นที่ท่านหญิงแคว้นฉู่ได้ทำกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก