หนิงฮุ่ยหลิงรวบรวมความกล้าของตนเองอีกครั้ง จากนั้นนางจึงเริ่มเอ่ยสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา...
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ เรื่องที่ข้าอยากจะขอพูดคุยกับท่านก็คือเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราเจ้าค่ะ
หลังจากวันที่ท่านลุงจินได้เข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นและการแต่งงานระหว่างเรากับท่านพ่อของข้า แล้วในวันถัดมาท่านพ่อของข้าก็ได้เข้ามาขอปฏิเสธเรื่องงานมงคลทั้งหมดระหว่างเรากับท่านลุงจิน
ที่จริงแล้ว...ท่านพ่อเพียงทำตามคำขอร้องของข้าเจ้าค่ะ
เพราะที่ผ่านมา...ข้ารู้มาตลอดว่าสายตาที่ท่านแม่ทัพใช้มองข้า และทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติต่อข้า มันไม่ต่างอันใดเลยกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อเฟยฮวา แต่ถึงจะรู้เช่นนั้นข้าก็ยังคงแอบหวังเจ้าค่ะ ข้าหวังว่าสักวันท่านแม่ทัพคงจะมองข้าและปฏิบัติต่อข้าดั่งเช่นคนรักของท่าน
จนในวันนั้น...วันที่ท่านแม่ทัพได้กลับมาเจอกับคุณเหรินอีกครั้ง และก็เพราะสายตาของท่านในวันนั้น มันทำให้ข้าได้รู
หนิงฮุ่ยหลิงรวบรวมความกล้าของตนเองอีกครั้ง จากนั้นนางจึงเริ่มเอ่ยสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา... “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ เรื่องที่ข้าอยากจะขอพูดคุยกับท่านก็คือเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราเจ้าค่ะ หลังจากวันที่ท่านลุงจินได้เข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นและการแต่งงานระหว่างเรากับท่านพ่อของข้า แล้วในวันถัดมาท่านพ่อของข้าก็ได้เข้ามาขอปฏิเสธเรื่องงานมงคลทั้งหมดระหว่างเรากับท่านลุงจิน ที่จริงแล้ว...ท่านพ่อเพียงทำตามคำขอร้องของข้าเจ้าค่ะ เพราะที่ผ่านมา...ข้ารู้มาตลอดว่าสายตาที่ท่านแม่ทัพใช้มองข้า และทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติต่อข้า มันไม่ต่างอันใดเลยกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อเฟยฮวา แต่ถึงจะรู้เช่นนั้นข้าก็ยังคงแอบหวังเจ้าค่ะ ข้าหวังว่าสักวันท่านแม่ทัพคงจะมองข้าและปฏิบัติต่อข้าดั่งเช่นคนรักของท่าน จนในวันนั้น...วันที่ท่านแม่ทัพได้กลับมาเจอกับคุณเหรินอีกครั้ง และก็เพราะสายตาของท่านในวันนั้น มันทำให้ข้าได้รู
หลังจากที่จินเฟยหลงเล่าจบ หยางหมิงเซียนก็ได้เดินเข้ามาตบบ่าเขาไม่หนักไม่เบาสามครั้ง ซึ่งหากมองจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวคงจะกำลังรู้สึกเห็นใจเขาอยู่ แต่ในความรู้สึกของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขารู้ว่ายามนี้พี่เขยของเขาน่าจะกำลังรู้สึกสาแก่ใจในเรื่องความรักของเขาเสียมากกว่า... แล้วหลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันจบ ทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปยังห้องพักของตนเอง ยามนี้ภายในห้องพักจึงเหลือเพียงแค่จินเฟยหลงเท่านั้น ‘เหยียนชิง จากนี้ก็คงเหลือเพียงกำแพงความรู้สึกของเจ้าเท่านั้น ที่ข้าต้องฝ่ามันไปให้ได้ และในครั้งนี้ข้าก็จะไม่มีวันถอย และจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากเจ้าอีกครั้งเป็นแน่!’ รุ่งเช้า วันนี้เป็นวันที่คนตระกูลเยว่รวมไปถึงผู้ที่ร่วมกระทำผิดทั้งหมดจะถูกคุมตัวไปทำงานชดใช้ความผิดในเหมืองแร่... ซึ่งจินเฟยหลงได้รับหน้าที่เป็นผู้นำขบวนนักโทษระหว่างเส้นทางจากศาลไปจนถึงหน้าประตูเมืองหลวง &
จินเฟยหมิงมองบุตรชายคนรองที่กำลังนั่งคุกเข่าและใช้สายตามองมาทางเขา ซึ่งสายตาของเจ้าตัวในยามนี้มันแสดงออกให้เขารู้ว่า สิ่งที่จินเฟยหลงเอ่ยขอเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องการมันจากเขาจริง ๆ แล้วเมื่อจินเฟยหมิงมองไปทางจินเฟยฮวา ยามนี้นางก็กำลังแอบส่งสายตาคล้ายกับจะขอลุแก่โทษไปทางจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียน มันจึงทำให้เขารู้ว่าการที่นางพยายามยื้อให้เขานั่งเล่นอยู่ที่เรือนของสหายเก่าต่อนั้น มันคงเป็นแผนการเพื่อใช้ถ่วงเวลาเขาเอาไว้นั่นเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้จินเฟยหมิงจะรู้ถึงแผนการของคนทั้งสามแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดโปง เพราะด้วยแผนการนี้มันได้ทำให้เขารู้ว่า ภายใต้ใบหน้าอันเฉยชาของบุตรชายคนรองที่จริงแล้วเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่บ้าง “เฟยหลง พ่อบอกให้เจ้าลุกขึ้น! ยามนี้เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง เจ้าจะลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าผู้อื่นง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าจงรีบลุก! แล้วกลับขึ้นไปนั่งที่เตียงของเจ้าเดี๋ยวนี้!!” จินเฟยหมิงพูดยังไม่ทั
“เออ...จะว่าอย่างไรดีล่ะ หากข้าเป็นบรรพบุรุษแล้วมีโอกาสได้มองย้อนกลับมา และได้มาเห็นว่าลูกหลานของข้าทนเลือกเส้นทางเดินชีวิตที่ข้าเป็นผู้วางรูปแบบเอาไว้แล้วไม่มีความสุข ข้าก็คงจะรู้สึกเสียใจมากกว่าที่จะรู้สึกภูมิใจ แต่เอาเข้าจริงนะ...ข้าคิดว่ายามนี้บรรพบุรุษของพวกเราส่วนใหญ่ก็คงจะพากันแยกย้ายไปเกิดยังภพภูมิใหม่กันบ้างแล้วล่ะ” ท้ายประโยคจินเฟยเทียนได้ลดเสียงพูดของตนเองลง ด้วยกลัวว่าจะมีดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผ่านมาได้ยินสิ่งที่เขาพูด เพราะที่จริงแล้วจินเฟยเทียนเองก็มีความเชื่อเรื่องของดวงวิญญาณและมีอาการกลัวผีอยู่หน่อย ๆ เช่นกัน จากนั้นเขาจึงยืดตัวขึ้นแล้วเข้าไปตบบ่าของน้องชาย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเต็มเสียงเพื่อบอกสิ่งที่ตัวเองคิดอีกครั้ง “ดังนั้น...เฟยหลง เจ้าจงเลือกเส้นทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุขเถิด น้องชายของข้า!” แล้วเมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายเริ่มมีรอยยิ้ม จินเฟยเทียนจึงอดที่จะเอ่ยเย้าอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้ “แต่ข้าว่า ตัวเจ้าเองก็น่าจะเลือกเส้นทางชีวิตเดินของตนเอง
“ขอรับ” จินเฟยหลงตอบคำถามของจินเฟยเทียนตามตรง จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายต่อ “พี่ใหญ่ขอรับ หากในวันข้างหน้าข้าไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล หรือถ้าหากว่าข้า...ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแล้ว แต่ไม่สามารถมีทายาทให้กับตระกูลจินได้ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่ขอรับ?” “ข้าไม่มีวันผิดหวังในตัวน้องชายของข้า แต่เหตุใดการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลกับการมีทายาทให้กับตระกูลถึงได้กลายเป็นเรื่องเดียวกันไปได้ล่ะ?” “ก็หนึ่งในหน้าที่ของผู้นำตระกูลก็คือการต้องมีทายาทไว้สืบสกุล ไม่ใช่หรือขอรับพี่ใหญ่?” จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินคำถามของจินเฟยหลง ยามนี้เขาจึงเริ่มเข้าใจในปัญหาของผู้เป็นน้องชายแล้ว “สำหรับตระกูลอื่นข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ตระกูลจินของพวกเราข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น” กล่าวจบ เขาก็เห็นใบหน้าของจินเฟยหลงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ยามนี้เจ้าตัวกำลังแปลกใจในสิ่งที่เขาตอบ จินเฟยเทียนจึงเริ่มอธิบายต่อ “เฟยหลงท
จิงเสี่ยวจางเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงหันไปสนใจน้องชายต่างบิดา เขาจึงเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัยกับจินเฟยหลง “เฟยหลง ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าไปพูดอย่างไร อาเจี้ยนถึงได้กล้าเดินตามเยว่ซือซือออกไปแบบนั้น” “ข้าก็แค่บอกว่า หากอยากคุยก็ให้รีบตามไป” “แค่นั้น!” “อืม...” เมื่อได้รับคำตอบจากจินเฟยหลง จิงเสี่ยวจางก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เขาจึงเอ่ยพูดต่อ “ทีกับข้านะ ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งพูดประชด ไม่เห็นอาเจี้ยนจะกล้าเข้าไปพูดกับนางสักที แต่พอเจ้าเข้าไปพูดแค่นี้...อาเจี้ยนกลับกล้าขึ้นมาเฉยเลย” “ก็เพราะยามปกติเจ้ามักจะชอบพูดมากอย่างไรเล่า เลยดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ” “เหยียนชิง เจ้าก็พูดมากไม่ต่างไปจากข้าเลย” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำเย้าของเหรินเหยียนชิง และคิดจะเอื้อมมือไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเล่น แต่ติดตรงสหายหน้าตายบา